บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1460 เสียดายไม่มีกล้องถ่ายรูป
หยู่เหวินเห้าจ้องนางพลางพูดว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกรำคาญใจอยู่น่ะ”
ตอนนี้เขากังวลเรื่องผลได้ผลเสียของตัวเอง ระมัดระวังทุกย่างก้าว เพราะทุกครั้งที่เขาคาดหวังรอคอยที่จะได้จัดงานใหญ่กับเจ้าหยวน สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นงานเล็ก ๆ ไปหมด ซึ่งเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก จะมีใครที่เข้าใจเขาบ้าง? เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าจะมีสักครั้งที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นดั่งใจหวังบ้าง ให้เขาได้จัดงานแต่งงานที่แท้จริงกับเจ้าหยวนอย่างมีความสุข ไม่ใช่ว่ามีคนพูดไว้หรอกหรือ? ว่าชีวิตนี้ของคนเราจำต้องมีความรู้สึกร่วมแห่งพิธีกรรม เขาสนใจที่จะได้สัมผัสความรู้สึกร่วมในพิธีกรรมที่ว่านี้ ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร?
หยวนชิงหลิงรู้ถึงความกังวลใจของเขา จึงกุมมือของเขาแล้วปลอบว่า “เจ้าอย่าตีตนไปก่อนไข้เลยนะ นี่มันเป็นแค่ความปรารถนาของคุณหนูโจว พวกเราอย่าดูถูกความสามารถในการแบกรับปัญหาของจิ้งเหอดีกว่า ในเมื่อนางตัดสินใจที่จะปล่อยวาง เลี้ยงดูเด็ก ๆ เหล่านั้นอย่างดี บางทีนางอาจจะไม่พังทลายง่าย ๆ ก็ได้นะ”
หยู่เหวินเห้าถามว่า “แล้วเจ้ายังโกรธอยู่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ที่ข้าโกรธ ก็เพราะคิดว่าอ๋องเว่ยพาผู้หญิงกลับเมืองหลวงมาด้วย อันที่จริง ต่อให้เขาอยากจะแต่งงานจริง ๆ พวกเราก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ ก็แค่หวังว่าเขาจะไม่พานางกลับมาด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ให้เวลาจิ้งเหอสักสองสามปี ใช่หรือไม่ล่ะ? ”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้ารับ “อื้ม ข้าก็รู้สึกเป็นห่วงจิ้งเหอเหมือนกัน แต่สิ่งที่ข้าสนใจมากที่สุด ก็คือการแต่งงานของเรา ที่มันไม่ควรจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีกแล้ว ข้าถึงกับไปสวดมนต์ไหว้พระมาแล้วด้วย”
หยวนชิงหลิงถึงกับหลุดหัวเราะคิก “จริง ๆ แล้วต่อให้เป็นแค่งานที่เรียบง่าย มันก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราแต่งงานกันไปในยุคปัจจุบันครั้งหนึ่งแล้วนี่”
บนใบหน้าอันหล่อเหลาของหยู่เหวินเห้า มีคำว่าไม่พอใจตัวใหญ่ ๆ เขียนติดไว้เด่นหรา “โดยหลักการแล้ว นั่นไม่เรียกว่างานแต่งงาน เป็นแค่การเรียกสมาชิกในครอบครัวมากินข้าวกันอย่างพร้อมหน้า เจ้าเคยบอกว่า หวังว่าทุกคนที่เจ้าห่วงใยจะสามารถมาร่วมงานแต่งงานได้ ดังนั้นเรื่องนี้ก็คือเรื่องสำคัญที่สุดของเราในปีนี้”
หยู่เหวินเห้าร้อนอกร้อนใจไปหมด ไม่ว่าใคร หรือเรื่องอะไร ก็มาหยุดเขาไม่ได้
แล้วเขาก็ควรจะเห็นแก่ความสุขส่วนตัวสักครั้งในชีวิตได้แล้ว
หยวนชิงหลิงรู้ถึงความในใจของเขาดี จึงอาศัยจังหวะที่อ๋องเว่ยยังมาไม่มาถึงเมืองหลวง รีบไปหาจิ้งเหอเพื่อคุยเรื่องนี้ทันที ให้นางได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางรู้เรื่องนี้แบบกะทันหัน แล้วจะเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมา
เมื่อมาถึงบ้านของจิ้งเหอ นางกำลังทำขนมให้เด็ก ๆ อยู่ในครัว พอได้ยินว่าหยวนชิงหลิงมา จึงสั่งให้ข้ารับใช้ทำต่อ แล้วรีบล้างมือก่อนจะออกมาต้อนรับหยวนชิงหลิงทันที
สองพี่น้องสะใภ้นั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ นางชงชาให้หยวนชิงหลิงด้วยตัวเอง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นใบชาที่ข้าเคยปลูกไว้ที่สำนักนางชีเมื่อก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเทียบกับใบชาคุณภาพสูงไม่ได้ แต่ก็มีรสชาติที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ พระชายารัชทายาทลองชิมดู”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าวิธีการชงชาของนางดูแล้วสง่างามมาก แต่มือทั้งสองข้างกลับค่อนข้างหยาบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางทุ่มเทดูแลเด็ก ๆ ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่จริง ๆ
นางกดใบชาแล้วยกขึ้นดื่ม กลิ่นหอมไม่นับว่าแรงมาก แต่รสชาติของชาเข้มข้นดี เมื่อดื่มแล้วทำให้รู้สึกชุ่มคอ คลายความกระหายน้ำ
“อร่อยหรือไม่?” จิ้งเหอถาม
“ ไม่เลวเลย ยังมีอีกหรือไม่? ก่อนกลับเอาให้ข้าสักหน่อย” หยวนชิงหลิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ มีสิ ก่อนกลับข้าจะให้คนห่อให้เจ้าเอากลับไปด้วย” จิ้งเหอวางถ้วยชาลงแล้วมองนาง “เจ้าตั้งใจมาครั้งนี้ เป็นเพราะมีอะไรจะบอกข้าอย่างนั้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตรองว่าควรคุยกับจิ้งเหอก่อน หรือควรพูดเรื่องนี้ออกไปเลยตรง ๆ ดี จึงมองนางแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าพี่สามกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมาเมืองหลวง แต่ ลูกสาวของเจ้าเมืองโจวแห่งเจียงเป่ยที่ชื่อว่าคุณหนูโจวก็ไล่ตามเขากลับมาด้วย คุณหนูโจวคนนี้ มีใจปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อเขา เจ้าห้าได้ไปสอบถามมาแล้ว พบว่าพี่สามไม่ได้มีใจแบบนั้นกับนางโดยสิ้นเชิง”
จิ้งเหอฟังคำพูดของหยวนชิงหลิงเงียบ ๆ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยังคงไม่แยแสเช่นเคย แต่ปลายนิ้วที่จับถ้วยชากลับสั่นเล็กน้อย
“โอ้!”
นางแค่ร้องโอ้ออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ชั่วขณะนั้นก็มองไม่ออกด้วยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หยวนชิงหลิงมองนาง แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือไม่?”
ขนตาของจิ้งเหอสั่นไหวระริก มองน้ำชาในถ้วยแล้วพูดเบา ๆ ว่า “หากจะบอกว่าข้าไม่รู้สึกอะไรเลย ก็เท่ากับว่าโกหกเจ้า แต่ถ้าจะบอกว่าไม่สบายใจ ก็ไม่ใช่อีก อันที่จริง ข้าเองก็เคยเตรียมใจไว้แล้ว คิดว่าสุดท้ายเขาจะต้องแต่งงานใหม่แน่ ๆ เพราะในเมื่อข้าเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด ก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป”
นางวางถ้วยน้ำชาลง ยื่นมือไปจับมือหยวนชิงหลิง ดวงตามีแววซาบซึ้ง “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็ขอบคุณมากที่เจ้ามาบอกข้าในคืนนี้ ไม่อย่างนั้น รอจนเขากลับมาถึงเมืองหลวงแล้วพาผู้หญิงมาด้วยจริง ๆ ข้าก็กลัวว่าตัวเองอาจยากจะทำใจรับเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าอีกแล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกสงสารนางมาก แต่พอได้ยินนางพูดแบบนี้ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก “ดี เช่นนั้นก็คุ้มแล้วที่ข้าได้มาเยี่ยมเยียนเจ้าในครั้งนี้”
จิ้งเหอยิ้ม “เรื่องนี้ทำให้เจ้าตกใจอย่างนั้นรึ? ตอนนี้สิ่งที่ข้าให้ความสำคัญก็คือเด็ก ๆ ที่จริงพี่สะใภ้รองก็เคยมาคุยกับข้าว่า เราสองคนช่างน่าเสียดายเหลือเกินแล้ว แต่เพราะเรื่องในอดีตมันย้อนกลับคืนมาไม่ได้ พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ แต่ในใจกลับรู้สึกสั่นไหว ความทรงจำของนางถูกกดให้จมลงไปในส่วนลึก ถามขึ้นว่า “อื้ม ใช่แล้ว แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ว่ายังจะย้อนกลับไปให้เป็นเหมือนในอดีตได้?”
“นั่นเป็นไปไม่ได้” จิ้งเหอตอบ
หยวนชิงหลิงมองดูใบหน้าของจิ้งเหอ “สิ่งที่เจ้าเกลียดที่สุดคือ เขารู้ว่ากู้จือต้องการฆ่าลูกของเจ้า แต่เขาก็ไม่ยอมเข้าไปยับยั้ง ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว” จิ้งเหอหันหน้าไป นัยน์ตาแดงเรื่อ “เอาเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้กันดีกว่า ข้าจะให้คนไปห่อใบชาให้เจ้านะ!”
“ได้!” หยวนชิงหลิงเห็นว่ามันก็ดึกแล้ว จึงไม่ได้รั้งอยู่ต่อ รอจนนางสั่งคนห่อใบชาเสร็จ ก็กล่าวลาแล้วกลับไป
ตลอดทางกลับ ในใจนางได้แต่กระสับกระส่าย
กลับมาถึงจวน หยู่เหวินเห้าก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? สภาพจิตใจนางเป็นอย่างไร?”
“ นางไม่เป็นไร สามารถยอมรับได้ เพราะถึงอย่างไร อ๋องเว่ยก็ไม่ได้ดีกับคุณหนูโจวคนนั้นมากมายอะไรนัก ” หยวนชิงหลิงฝืนยิ้มขณะตอบคำถาม
หยู่เหวินเห้าหันไปมองนาง “นั่นไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีหรอกหรือ? ทำไมเจ้าถึงยังดูมีสีหน้าหนักใจแบบนั้นล่ะ?”
หยวนชิงหลิงเอนตัวลงไปข้างเขา ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่มีอะไร แค่คิดว่า…..ทำไมตอนนั้นอ๋องเว่ย ถึงได้ทำแบบนั้นนะ? เขาปิดตายเส้นทางทุกเส้นจนหมด ไม่เหลือที่ว่างให้ถอยได้เลยสักนิด”
หยู่เหวินเห้าอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ “บางทีพวกเขาอาจไม่มีวาสนาต่อกันจริง ๆ ก็ได้นะ? ตอนแรกก็เป็นการบังคับเพื่อให้ได้มา ตอนนี้ค่อยมารู้สึกเสียดายก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว อย่าไปคิดถึงมันอีกเลยนะ ไปนอนเถอะ ”
หยวนชิงหลิงส่งเสียงตอบรับไปเสียงหนึ่ง แต่ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในใจไม่หยุด จึงฝืนกดมันลงไป ไม่ให้มันผุดขึ้นมาอีก
แต่มันไม่ได้จริงๆ!
เพราะการย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวเรื่องหนึ่ง มันจะเกิดผลกระทบที่เรียกว่าทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (The Butterfly Effect) ซึ่งจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไป
นางไปอาบน้ำ เมื่อกลับมาก็เห็นเจ้าห้ากำลังอุ้มเสี่ยวกวาจื่อหยอกเย้าไปมาอยู่บนเตียงหลัวฮั่น แม่หนูน้อยง่วงนอนมากแล้ว หาวติด ๆ กัน ดวงตาสะลึมสะลือแทบจะปิดให้ได้ แต่เจ้าห้ากลับเอาแต่คุยกับนางไม่หยุด
“ กลับมาครั้งนี้ ของพื้นฐานทุกอย่างที่สามารถเอามาได้ ล้วนเอามาทั้งหมดแล้ว แต่กลับลืมเอาสิ่งหนึ่งกลับมาด้วย นั่นก็คือกล้องถ่ายรูป พ่ออยากช่วยเจ้าถ่ายรูปให้เยอะ ๆ เลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก รอให้ท่านยายของเจ้ามา ค่อยขอร้องให้นางซื้อติดตัวมาด้วยสักตัวหนึ่ง ”
ดวงตาของเสี่ยวกวาจื่อค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ น้ำเสียงของพ่อเหมือนบทสวดที่ใช้สะกดจิตเลย พูดพร่ำไม่ยอมหยุด
หยวนชิงหลิงแขวนเสื้อคลุม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเอามาที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าจะใช้ถ่ายได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าไม่มีแบตแล้วก็ถ่ายไม่ได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินท่านพี่ภรรยาพูดว่า มีของสิ่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก พวกเราพอจะซื้อมันกลับมาที่นี่ด้วยได้หรือไม่?”
“ เจ้าควรหยุดทำสิ่งที่มันขัดกับยุคสมัยเหล่านี้ได้แล้ว ถ้าเจ้าอยากถ่ายรูปช่วงเวลาที่น่าสนใจของนางจริง ๆ ก็ไปเรียนการวาดรูปเสียสิ เจ้าวาดรูปนางด้วยมือของตัวเอง ไม่แสดงถึงความรักได้มากกว่าหรือ? ”หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป อุ้มเสี่ยวกวาจื่อขึ้นมา แล้วตบหลังกล่อมนางเบา ๆ
“วาดอย่างไรล่ะ?” เจ้าห้ามีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขารู้ทุกอย่าง ทั้งพิณ หมาก พู่กันจีน ภาพวาด แต่แค่รู้กับรู้กระจ่างมันต่างกัน “อย่างไรก็ยังดีไม่เท่ากล้องถ่ายรูปนี่ ถึงตอนนั้นลองถามท่านพี่ภรรยาดูนะ ว่าช่วยเอาแบตสำรองมาสักหลาย ๆ อันได้หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พลางอุ้มเสี่ยวกวาจื่อไปส่งให้แม่นม เสี่ยวกวาจื่อยังต้องกินนมตอนดึก จึงต้องให้แม่นมคอยดูแลด้วยอีกแรง