บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1461 แต่ไรมาข้าก็ยุติธรรม
เช้าวันถัดมาก็ได้ยินสวีอีบอกว่าอ๋องเว่ยกลับมากลางดึก และบอกว่าจะพักที่จวนอ๋องฉู่
เจ้าห้าตะลึง “เหตุใดจึงพักที่จวนอ๋องฉู่?”
“ทรงตรัสว่าจะประทับที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” สวีอีเอ่ย
“แล้วเขาล่ะ?” หยู่เหวินเห้าถาม
“บรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังมิทรงตื่นบรรทม”
หยวนชิงหลิงไปอุ้มเสี่ยวกวาจื่อมาที่ห้องโถงเล็ก ได้ยินการสนทนาของสวีอีกับเจ้าห้า นางจึงเงยหน้าขึ้นถาม “เขามาเองกระมัง?”
“เสด็จมาเองพ่ะย่ะค่ะ ข้ารับใช้ก็ไม่พามาด้วยสักคน” สวีอีเดินเข้าไปหา ยื่นมือแตะแก้มเสี่ยวกวาจื่อเบาๆ เผยรอยยิ้มยิงฟันตามแบบฉบับการค้า “จวิ้นจู่น้อยราวกับหยาดน้ำค้างแน่ะพ่ะย่ะค่ะ ใสจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าตีมือเขา “ดูแต่ตามืออย่าต้อง!” เขายังทำใจหยิกไม่ได้เลย ให้สวีอีมาแตะได้ตั้งแต่เมื่อไร?
สวีอีเบ้ปาก “ขี้เหนียว ถังกั่วเอ๋อของกระหม่อมยังให้พระองค์อุ้มเลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถังกั่วเอ๋อเป็นลูกบุญธรรมข้า จะอุ้มไม่ได้หรือ?” หยู่เหวินเห้ากรอกตาขาวใส่เขา “ไป ฉุดอ๋องเว่ยตื่นแล้วเชิญไปห้องโถง จะได้เข้าวังไปถวายบังคมพร้อมกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ครั้นแล้วสวีอีก็หันตัวไป
หยวนชิงหลิงเอ่ย “เจ้าก็ให้เขานอนอีกหน่อยเถอะ เมื่อคืนเพิ่งกลับมา คงเหนื่อย”
“ข้าจะเข้าวังพอดี เขามาถึงเมืองหลวงแล้วอย่างไรก็ต้องเข้าวังไปถวายบังคม ก็ไปเสียด้วยกันเลย เสด็จพ่อจะได้ไม่บ่นเขา หากเขาดื้อดึงขึ้นมา จะเถียงกับเสด็จพ่ออีก อีกอย่าง ข้าต้องถามสถานการณ์จวนเจียงเป่ยทางนั้นด้วย” หยู่เหวินเห้าก้มหน้าหอมเสี่ยวกวาจื่อ อิ่มเอมใจ ครั้นเงยหน้าเห็นใบหน้าของศรีภรรยาอยู่ตรงนั้นแล้วก็รีบหอมชดเชย ยิ้มแย้ม “ไม่แบ่งก่อนหลัง รักเหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางส่ายหน้า “ไปเถอะ!”
หยู่เหวินเห้าออกไปด้วยความร่าเริง ขณะที่กำลังจัดวางอาหารเช้า เขานั่งลงกินกับทังหยาง ไม่นานอ๋องเว่ยก็เข้ามาอย่างกระปรี้กระเปร่า
แม้เวลาพักจะไม่มาก แต่ก็สดชื่นได้ตลอดเวลา คนโสดก็ดีเช่นนี้แล
“น้องห้า เข้าวังหรือ? ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า” อ๋องเว่ยนั่งลงแล้วจึงพูด
“ก็จะให้ท่านไปด้วยกันนี่แหละ มีบ้านไยไม่กลับบ้านตัวเอง ต้องมาพักที่จวนอ๋องฉู่ให้ได้ด้วย?” หยู่เหวินเห้ายื่นน้ำเต้าหู้ให้เขาถ้วยหนึ่ง แล้วขยับอาหารเช้าไปไว้ตรงหน้าเขา เอ่ยถาม
“อย่างไรเจ้าก็รู้ ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้” อ๋องเว่ยแหงนหน้าดื่มน้ำเต้าหู้จนหมด แล้วยัดซาลาเปาเข้าปาก เอ่ยด้วยเสียงไม่ชัดเจน “จะได้ไม่ถูกคนใช้เป็นข้ออ้าง ข้าพักที่จวนอ๋องฉู่ นางไม่กล้าเข้ามา”
“เก่งแค่นี้เองหรือ? ไยท่านไม่ปฏิเสธเสียงกร้าวไปเล่า?” หยู่เหวินเห้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วยื่นน้ำเต้าหู้ให้เขาอีก
อ๋องเว่ยออกแรงกลืนลงไป แล้วดื่มน้ำเต้าหู้อีกอึก “ก็เหลือแค่ไม่ลงมือเท่านั้น”
หยู่เหวินเห้าผงะ “ไม่ถึงขนาดนั้นกระมัง?”
“จะไม่ถึงขนาดนั้นอย่างไร? พูดดีก็แล้วพูดแย่ก็พูดมาแล้ว ด่าก็ด่ามาแล้ว แต่ก็ไล่ไม่ไป น่ารำคาญจริง!” อ๋องเว่ยชันเท้าข้างหนึ่ง มือเหล็กจับเก้าอี้แล้วลาก ขยับเข้าใกล้หยู่เหวินเห้า กดเสียงลงเอ่ย “ไม่แพ้ฉู่หมิงชุ่ยในตอนนั้นเลย!”
หยู่เหวินเห้ามองเขาแวบหนึ่ง “อยู่ดีๆ ท่านพูดถึงคนผู้นี้ทำไม?”
“ให้เจ้าแขยงสักหน่อย กินข้าวไม่ลง!” อ๋องเว่ยหัวเราะพลางพูดด้วยความประสงค์ร้ายเต็มเปี่ยม
“ไม่ถึงกับว่าแขยง ลืมไปหมดแล้ว รีบกินเถอะ กินแล้วจะได้ออกไป ข้ายังต้องถามสถานการณ์จวนเจียงเป่ยท่านสักหน่อย แล้วยังเรื่องหัวเมืองเหล่านั้นอีก” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
อ๋องเว่ยยุ่งงวดอยู่กับจวนเจียงเป่ยและหัวเมือง ใช้ชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ยึดถืออะไรมาก หยิบซาลาเปาสองสามลูกแล้วก็ลุกขึ้น “งั้นไป กินระหว่างทาง!”
หยู่เหวินเห้าเห็นการแต่งตัวเขาเรียบง่าย บวกกับกิริยาหยาบกระด้างถึงที่สุด เห็นได้ว่าอยู่ทางนั้นได้รับความลำบาก อดปวดใจเป็นไม่ได้ “กินก่อนเถอะ กินแล้วค่อยไป”
“อย่าสำออยหน่อยเลย เมื่อก่อนเราออกทัพก็เช่นนี้” อ๋องเว่ยลากเขาไป
ระหว่างทางอ๋องเว่ยบอกเล่าสถานการณ์หัวเมืองเหล่านั้นคร่าวๆ วิถีชาวบ้านดุร้าย กอปรกับไม่พอใจเป่ยถัง ชนพื้นเมืองก่อเรื่องบ่อยๆ ยากจนอัตคัด ขัดสนจนเคาะหม้อเคาะไห เวลานี้ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือของราชสำนัก
อ๋องเว่ยกล่าวจนถึงตอนสุดท้ายแล้วก็โมโห ฮึดฮัดเอ่ย “อยากไล่พวกมันไปจริงๆ เชียว ไสหัวกลับไปเป่ยโม่เสีย เราเอาหัวเมืองพวกนี้ เสียเปรียบจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “นี่ต้องใช้เวลา อย่างไรพวกเขาก็เป็นคนเป่ยโม่ ต้องดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์ในการยึดและปกครองหัวเมืองเหล่านี้ ตอนนี้จวนเจียงเป่ยเชื่อมต่อกับทางนั้นแล้วหรือ? มีประชาชนยอมไปที่นั่นไหม?”
“ก็มีอยู่ เพราะจวนเจียงเป่ยก็ลำบาก ไปทางนั้นยังพอเพาะปลูกธัญพืชบนเขาสูงได้ แล้วยังมีป่าผืนใหญ่ เก็บของป่า ล่าสัตว์ เอาขายได้หมด”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “อือ อีกระยะหนึ่งราชสำนักน่าจะมีนโยบายออกมา ให้แต่งงานทำการค้าธุรกิจกันได้ พยายามทำให้พวกเขาหลอมเข้ากับเป่ยถัง ที่จริงขอเพียงระวังรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนแคว้นไหนก็ต้องการเพียงชีวิตที่สงบสุข มีชีวิตที่ดี คนที่ก่อเรื่องก็จะน้อยไปเอง แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำยาก หลอมรวมเป็นหนึ่งได้ในสามสิบห้าสิบปีก็ดีมากแล้ว”
อ๋องเว่ยถอนใจ “ที่แห่งนั้นแร้นแค้นมาก ตอนแรกแม่ทัพใหญ่ฮู่ยังไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะได้ยินในเมืองหลวงบอกว่าเดิมเสด็จพ่อจะยกห้าหัวเมืองนั้นให้น้องสิบ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ให้ ยังเคยด่าทอเสด็จพ่อลับหลังอยู่พักหนึ่ง แต่พอเขาไปอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เขายังพูดเองว่าดีที่ไม่ได้ให้ มิเช่นนั้นให้น้องสิบไปลำบากที่นั่น เขาต้องทำใจไม่ได้แน่”
ครั้นกล่าวจบเขาก็มองหยู่เหวินเห้า “ไม่ใช่ว่าข้าอยากพูด ต่อไปจะให้หลานๆ ไปอยู่ไม่ได้ หากพวกเขาไปที่นั่น ข้าเองก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ข้าคิดไว้แล้ว ท่านกับแม่ทัพใหญ่ฮู่เฝ้าอยู่ที่นั่นก่อน เอาไว้พวกเขาอายุครบสิบหกแล้วก็จะไล่พวกเขาไป ไม่ลำบากสักหน่อย ต่อไปจะได้ดีได้อย่างไร?”
อ๋องเว่ยส่ายหน้า “พ่ออย่างเจ้านี่ช่างโหดร้ายจริงๆ หากข้ามีลูกต้องทำใจไม่ได้แน่ ถึงจะยอมตัดใจให้ลูกชายไปลำบาก แต่ก็ทำใจตัดลูกสาวไม่ได้ แต่เจ้าสิ ลูกสาวเพียงคนเดียวยังส่งออกไป”
หยู่เหวินเห้าชะงัก “ข้าบอกเมื่อไรว่าจะส่งลูกสาวไป?”
“มิใช่ห้าหัวเมืองหรือ? ซาลาเปาไปไม่ได้อยู่แล้ว เขาเป็นหลานคนโต”
หยู่เหวินเห้าจรดแขนเสื้อ “สี่คนดูแลห้าหัวเมืองลำบากนักหรือ? แต่ไรมาข้าก็ยุติธรรมกับลูกๆ”
อ๋องเว่ยหัวเราะเย็น “พูดตามจริง ตอนนี้สี่คนดูแลคนละหัวเมืองก็แย่แล้ว เจ้าไม่รู้ที่นั่น วิถีชาวบ้านดุร้าย คนชั่วเป็นใหญ่ โจรภูเขาออกอาละวาด ชาวบ้านราวกับใช้ชีวิตอยู่ในนรก”
“ข้าพอเดาออก” หยู่เหวินเห้ามองใบหน้าเขาที่ถูกลมหิมะพัดจนดำกร้านเล็กน้อย “แต่ห้าหัวเมืองนี้จะไม่เอาก็ไม่ได้ ท่านเป็นนักรบ รู้ภูมิศาสตร์ทางนั้น ต้องพูดเลยว่าเป็นปราการกั้นเป่ยโม่จริงๆ ฟ้าย่อมไม่มีขนมอบตกลงมา ต้องใช้ห้าหัวเมืองนี้มาขัดขวางคนเป่ยโม่ อย่างไรเราก็ต้องทุ่มเท ตอนนี้ต้องลำบากพวกท่านก่อนแล้ว”
อ๋องเว่ยยิ้มเล็กๆ “ข้าหรือจะกลัวความลำบาก? อย่างน้อยที่นั่นก็มีที่ปลอดภัยให้อยู่ ถือเสียว่าเปิดทางให้หลานๆ กำจัดอุปสรรคให้พวกเขาก่อนส่วนหนึ่ง ต่อไปพวกเขาจะได้ไม่ต้องลำบากมาก”
หยู่เหวินเห้าตื้นตันเล็กๆ แม้จะรู้ความทุกข์ในใจเขา แต่ก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนั้น ครั้นถึงวังหลวงถวายบังคมฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นท่าทางลูกชายเปลี่ยนไปมากแล้วก็อดสงสารเป็นไม่ได้ ชมเชยนิดหน่อยแล้วจึงให้เขาไปเยี่ยมมารดา
แต่พอได้พบอ๋องซุนและพระชายาที่เข้าวังมาถวายพระพรด้วยแล้ว เมื่ออ๋องซุนเห็นเขา ก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้า พูดด้วยอารมณ์ “เจ้านี่ชักจะแข็งแรงขึ้นทุกวันแล้วนะ”
อ๋องเว่ยก็ยิ้มเอ่ย “พี่รองก็ชักจะใหญ่ขึ้นทุกวันเช่นกัน”
อ๋องซุนแอบเคือง ถีบเท้าไปทางเขาพลัน แต่ด้วยเท้าที่อ้วนสั้นจึงไม่โดน ทั้งยังล้มหงายหลังอยู่กับพื้น ราวกับตุ๊กตาล้มลุกที่ลุกไม่ขึ้น ยังต้องให้เจ้าห้ากับอ๋องเว่ยพยุงขึ้นมาอีก
ชายาอ๋องซุนเห็นเช่นนั้นแล้วก็เอามือปิดตา เฮ้อ ไม่ใช่ว่านางชอบทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าคนอื่น ยากจะเอ่ยจริงๆ!