บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1462 ท่านชายสี่มาสักที
หลังจากที่อ๋องอานและอ๋องเว่ยถึงเมืองหลวงในเวลาไล่เลี่ยกัน อ๋องผิงหนานก็กลับมาด้วย เข้าพักจวนอ๋องซู่เดิม พักร่วมกับพวกไท่ซ่างหวง หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงเคยไปสองสามครั้ง ที่แห่งนั้นอยู่นานไม่ได้จริงๆ ร้องรำทำเพลงทุกคืน ย่างเนื้อทุกสองสามวัน อยู่นานต้องได้เสียคนแน่
แต่เมื่อได้เห็นพวกไท่ซ่างหวงได้เสพสุขกับบั้นปลายของชีวิต ในฐานะที่เจ้าห้ากับหยวนชิงหลิงเป็นรุ่นหลานก็ยังดีใจมาก สามใหญ่ไม่เคร่งเครียดเหมือนแต่ก่อน ผ่อนคลายลงมาก แม้แต่ฉางกงกง เวลานี้ก็ยังเดินเหินสะดวกมากขึ้น วันนั้นที่ไปยังได้เห็นเขาเกาะกำแพงเดินได้ประมาณร้อยก้าว ความมุ่งมั่นช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
ความชราหรือจะน่ากลัว? ขอแค่ให้ได้อยู่กับคนที่ให้ความสำคัญก็พอ
และในที่สุดฮ่องเต้หมิงหยวนก็พบว่าหมู่ตึกเหมยของเขาไม่มีหยก
เขาจัดการราชกิจในราชสำนักเสร็จก็ให้คนไปซ่อมแซมหมู่ตึกเหมย แม้จะบอกว่าก่อนที่อ๋องชินเฟิงอันขายให้เขาก็ตกแต่งใหม่ครั้งหนึ่งแล้ว แต่การใช้วัสดุก็ยังแย่ไปหน่อยหนึ่ง สง่างามโอ่อ่าไม่พอ ดังนั้นเขาจึงใช้เงินส่วนหนึ่งตกแต่งเสียหน่อย แล้วให้คนผ่าหยกออกมา ดูสิว่าเนื้อเป็นอย่างไรบ้าง
นอกจากส่วนหนึ่งของผิวหินจะโผล่สีเขียวอ่อนปนเขียวแล้ว ด้านล่างล้วนเป็นหินอ่อน กระทั่งว่าส่วนที่เขียวๆ นั้นยังปนสีอื่น ครั้นผ่านฝนไปห่าหนึ่ง ก็เหลือเพียงสีเขียวจืดจางเล็กน้อย ให้คนที่เห็นต้องรู้สึกปวดใจเป็นที่สุด
ขณะที่กู้ซือกลับมารายงานกับฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นความรู้สึกแรกก็คือไม่เชื่อ ท่านลุงจะทำเรื่องหลอกลวงคนแบบนี้ได้อย่างไร? เขาเป็นถึงคนที่มีความสามารถที่สุดในตระกูลหยู่เหวิน วาจาหนักดั่งทอง
เขาให้กู้ซือขุดลึกลงไปแล้วนำกลับวังมาชิ้นหนึ่ง เชิญเหลิ่งจิ้งเหยียนกับบรรดาลูกๆ มาช่วยกันดู แถมยังเรียกช่างหยกในวังมาด้วย โดยหลักเขาไม่เชื่อว่าท่านลุงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้
เพราะถึงผิวหินภายนอกอาจจะมีสีอื่นปะปนและหยาบกร้านอยู่บ้าง แต่เมื่อผ่าออกแล้วก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น
ก้อนหินสีขาวๆ เหลืองๆ วางอยู่ที่ลานหน้าห้องทรงอักษร ดินโคลนยังไม่ได้ล้างสะอาด กู้ซือให้คนหิ้วน้ำมาขัดรอบหนึ่ง ชะล้างดินโคลนและหญ้า แต่สีก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ดูเหมือนก้อนหินสะอาดก้อนหนึ่ง
ทุกคนเดินวนอยู่รอบก้อนหิน ที่จริงพวกเจ้าห้าต่างรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็เหมือนกับเสื้อใหม่ของพระราชา ใครก็ไม่อยากเอ่ยปากพูด
อ๋องอานดูแล้วก็เอ่ย “สีนี้ดูเหมือนหยกเหลืองนะพ่ะย่ะค่ะ?”
“งั้นหรือ? เป็นหยกเหลือง?” ฮ่องเต้หมิงหยวนราวกับได้ตัวช่วย รีบถามอ๋องอานต่อ “ดูตรงไหนว่าเป็นหยกเหลือง?”
คิ้วของอ๋องอานขัดขึ้น “เออ…หม่อมฉันก็ไม่ค่อยทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ แต่ดูผิวด้านนอกแล้วมีสีเหลืองปะปนอยู่ คาดว่าผ่าออกมาแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นหยกเหลืองพ่ะย่ะค่ะ”
เขาจึงถามช่างหยก “ท่านล่ะ? เหมือนหยกเหลืองหรือไม่?”
ทีแรกช่างหยกก็เดินวนพร้อมกับทุกคน จากนั้นก็ยืนอยู่วงนอก คิดว่าจะหลบได้ ไหนเลยจะรู้ว่าอ๋องอานจะถามเขากะทันหัน ทำให้ใบหน้าเขาแข็งเกร็งไปทันที ครั้นเห็นสายตาทุกคนจดจ้องอยู่ที่หน้าเขาแล้วก็อดเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเป็นไม่ได้ “เออ…กระหม่อมดูแล้วไม่เหมือนเป็นหินทั่วไป แต่จะเป็นอะไรนั้น เวลานี้กระหม่อม…ก็ยังดูไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็ดูไม่ออกหรือ?” ฮ่องเต้ผิดหวัง ถึงเขาจะรู้สึกว่านี่เป็นก้อนหินธรรมดา แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าท่านลุงจะหลอกเขา ล้านตำลึงเชียวนะ สวนเหมยนอกจากดอกเหมยกับดอกท้อเหล่านั้นแล้ว ยังมีอะไรมีค่าอีก? หากใช้เงินพันตำลึงปลูกดอกท้อ เช่นนั้นก็ปลูกได้เป็นภูเขาเลากา หมู่ตึกแห่งนั้น ใช้เงินหมื่นตำลึงยังสร้างสองแห่งที่ดีกว่านี้ได้ หากไม่ใช่หยกเหล่านั้น แสนตำลึงก็ยังไม่คู่ควร แล้วจะมีค่าถึงล้านตำลึงได้อย่างไร?
“กระหม่อมตาไร้แวว มองไม่ออกจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” ช่างหยกเอ่ยอย่างยากเย็น
ฮ่องเต้หมิงหยวนใช้สายตากวาดมองใบหน้าโอรสทั้งหลายรอบหนึ่ง เมื่อเห็นพวกเขามีสีหน้างุนงงแล้ว ก็คิดว่าพวกเขาคงไม่รู้เรื่องหยก จึงถามเหลิ่งจิ้งเหยียน “ใต้เท้าเหลิ่ง ท่านว่าอย่างไร?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนหรี่ตา “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่มีความรู้ด้านหยกพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมรู้ว่ามีคนหนึ่งที่รอบรู้ นั่นก็คือท่านชายสี่เหลิ่ง ไม่เช่นนั้นก็เชิญเขามาตรวจสอบดูสิพ่ะย่ะค่ะ”
พวกหยู่เหวินเห้าจึงรีบพูด “ใช่ เหลิ่งซี่รู้ เขารู้เรื่องนี้ หม่อมฉันเคยได้ยินว่าเขาเปิดร้านหยกอัญมณีอยู่หลายแห่ง เขารู้เรื่องนี้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ เชิญน้องเขยมา” อ๋องเว่ยสมทบ
ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงเอ่ยกับมู่หรูกงกง “ส่งคนไปเรียกตัวเขา ให้เขาเข้าวังมาเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ!” มู่หรูกงกงรับบัญชา
ทุกคนพากันโล่งอก คนเลวก็ให้ท่านชายสี่เป็นเถอะ
ระหว่างที่รอท่านชายสี่ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ให้คนเตรียมอาหาร กินด้วยกัน
นี่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อมาก กินด้วยกัน?
อ๋องซุนรู้สึกประหลาดใจทันที เพราะเขารอคอยวันที่จะได้ร่วมกินอาหารกับเสด็จพ่อมานานแล้ว ก่อนหน้านี้เห็นพระชายารัชทายาทได้ร่วมโต๊ะอาหารกับเสด็จพ่อ เขาอิจฉาเหลือประมาณ
อ๋องอานชายตาขึ้น ในนั้นมีความสับสน ความเปลี่ยนแปลงนี้ของเสด็จพ่อจะมากไปหน่อยกระมัง?
ผิดปกติ!
แม้จะเป็นพระกายหาร แต่ก็เรียบง่ายมาก นี่เป็นนิสัยของฮ่องเต้หมิงหยวน พยายามใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุด แม้บางเรื่องเขาจะทำไม่ได้จนด้วยหนทาง แต่เรื่องที่ทำได้เขาก็ยึดมั่นและคงเส้นคงวา
เนื้อหนึ่งอย่าง ผักหนึ่งอย่าง มีน้ำซุป ข้าวสวยคนละชาม ควันร้อนหอมฟุ้ง แล้วยังนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน นี่จึงทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยมากกว่าเดิม
เมื่อกินอาหารเสร็จ ก็นั่งดื่มชาครู่หนึ่ง ฮ่องเต้หมิงหยวนยังติดใจ อดไม่ได้ที่จะถกนิสัยของอ๋องชินเฟิงอันกับทุกคนเสียหน่อย
“ครั้นสมัยฮ่องเต้เซี่ยน ตระกูลฉู่กับหยู่เหวินเหล้าก่อกบฏ เป็นเขากับไท่ซ่างหวงที่ปราบกบฏ จากนั้นก็ต่อสู้กับเป่ยโม่ ทำจนพวกเขาไม่กล้าขยับมาหลายปี เป็นเขาที่สร้างผลงานใหญ่หลวง แม้วิธีการจะ…เหนือคาดอยู่บ้าง แต่ก็ยังคิดถึงส่วนรวม คนเช่นเขา น่าจะมีคุณธรรมสูงส่ง ทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ นั่นสิ!” ทุกคนต่างผสมโรง ก็จริง เมื่อก่อนทุกคนก็คิดเช่นนี้ แต่หลังจากคลุกคลีเป็นการส่วนตัวไม่กี่ครั้ง หน้ากากก็หลุดออกเป็นชิ้นๆ ถึงได้เห็นตระหนี่และแผนการที่อยู่ในเนื้อแท้
เป็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งนั่นเอง
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังการพูดกลบเกลื่อนของพวกเขาแล้วก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจ เขาสูดลมเข้าลึก “ไม่ขอปิดบัง หลายปีมานี้ข้าก็ไม่ได้เก็บเงินทองเป็นส่วนตัวอะไร ที่ซื้อหมู่ตึกเหล่านั้นก็เอานั่นมานิดเอานี่มาหน่อย
หยู่เหวินเห้าเงียบ ขอเพียงเป็นเรื่องเงิน เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูด
กลับเป็นอ๋องเว่ยที่ใจกว้าง เอ่ย “เสด็จพ่อ หม่อมฉันพอมีอยู่บ้าง หากทรงรีบใช้ หม่อมฉันจะถวายพระองค์ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองเขาแวบหนึ่ง “ช่างเถอะ ตัวเปล่าเล่าเปลือย เก็บไว้กินยามแก่เถอะ”
“หม่อมฉันก็มีพ่ะย่ะค่ะ!” วันนี้อ๋องซุนดีใจมาก ได้ร่วมกินอาหารกับเสด็จพ่อ ดังนั้นจึงเอาใจอย่างระมัดระวัง
“เจ้า…กระเพาะเจ้า นั่นยังไม่พอเจ้ากินเลย เก็บไว้ให้เป็นสินสอดจวิ้นจู่เถอะ” ฮ่องเต้หมิงหยวนมองทุกคน ราวกับให้กำลังใจตนเอง เอ่ย “ข้าก็ไม่ได้ขาดเงิน เอาไว้ผ่าหยกออกมาขายก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
เงียบงันราวกับตายทันที
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นทุกคนเงียบ ทันใดนั้นแม้แต่ความคิดที่อยากตายก็เกิดแล้ว
โชคดีที่ตอนนี้มู่หรูกงกงก็เปล่งเสียง “ท่านชายสี่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นพรวด สาวเท้ายาวลากท่านชายสี่เข้ามา รอยยิ้มเปื้อนไปทั้งหน้า “เจ้ามาได้เสียที ทุกคนต่างคิดถึงท่าน”