บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1465 ฮ่องเต้ป่วยหนัก
ท่านชายสี่กำลังหยอกล้ออยู่กับสุนัขในลานบ้าน เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้าเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นยืนปัดมือ ให้เอ้อฮาไปเล่นเอง จากนั้นก็เดินมา “แขกหายากนี่!”
หยู่เหวินเห้ามองใบหน้าขาวนวลสดชื่นของเขา เอ่ย “มีเวลามาเล่นกับสุนัข ไยไม่ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนหลิงเอ๋อร์เล่า?”
“นางหลับแล้ว!” ท่านชายสี่เชิญเขาเข้าไป นั่งลงแล้วจึงถาม “มานี่คงไม่ใช่มาถามว่ากระหม่อมอยู่เป็นเพื่อนหลิงเอ๋อร์หรือไม่กระมัง มีเรื่องอะไรก็ตรัสมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านรู้ว่าเสด็จพ่อยักเงินเป็นของตัวเองหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามโดยตรง
ท่านชายสี่เกี่ยวปากยิ้ม ดวงตาวิบวับ “ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้?” หยู่เหวินเห้าชะงัก
“พ่ะย่ะค่ะ เกินคาดมากหรือ? กระหม่อมทำการค้า ก็ต้องรู้จักกับร้านแลกเงิน ลูกค้ารายใหญ่ของร้านแลกเงินก็พอรู้อยู่บ้าง” ท่านชายสี่แค่ไม่ได้บอกว่าตนมีเงินฝากอยู่ที่ร้านแลกเงินปล่อยกู้เท่าไรเท่านั้น ลักษณะคนรวยที่ถ่อมตนในเรื่องความหรูหราเผยออกมาจนหมด
“มิน่าเล่า พวกท่านสุมหัวกันหลอกเสด็จพ่องั้นหรือ?” หยู่เหวินเห้าซี้ด
“คนหนึ่งอยากทำ อีกคนก็ยอมถูกกระทำ ใช่ว่าจะควักออกมาไม่ได้เสียเมื่อไรพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “เห็นว่าหมู่ตึกนี้ท่านก็ออกเงิน ท่านออกเงินมาหลอกพ่อตาท่าน น่าแปลกใจจริงๆ”
ท่านชายสี่หัวเราะ “มิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรก็ตกอยู่ในกระเป๋าท่านอาจารย์กระหม่อมอยู่ดี ขายหมู่ตึกได้ล้านตำลึง พวกเขาดีใจ กระหม่อมก็เพียงต้องการให้นางยิ้มเท่านั้น”
จากคำพูดของท่านชายสี่ หยู่เหวินเห้าฟังออกถึงความกตัญญูก็มีระดับชั้นเช่นกัน อย่างท่านชายสี่ที่ใช้เงินหลายแสนตำลึงซื้อรอยยิ้มหนึ่งของอาจารย์ ชาตินี้เกรงว่าเขาจะทำได้ยาก
เพียงแต่อดสงสัยอีกเป็นไม่ได้ “ในเมื่อเพื่อกตัญญูต่อพวกเขา แล้วเหตุใดท่านไม่มอบเงินให้พวกเขาใช้เสียเลยเล่า? อีกอย่าง หลายปีมานี้ก็ได้ยินว่าพวกเขาไม่ค่อยสุขสบายเท่าไรนี่ ไยท่านไม่ช่วยสักหน่อย?”
“พวกเขาไม่ต้องการเงินของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด?” หยู่เหวินเห้าไม่เข้าใจ “เงินท่านเหม็นคาวหรือ?”
ท่านชายสี่หัวเราะชืดๆ “ก็เช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ นางบอกว่าเงินของกระหม่อมล้วนได้มาจากคมดาบของพี่น้อง พวกเขาทำใจรับไม่ได้”
หยู่เหวินเห้าประหลาดใจเล็กๆ ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะคุณธรรมสูงส่งเพียงนี้
“แต่ท่านก็ทำการค้าด้วยมิใช่หรือ?”
“เงินรวมเข้าด้วยกัน นางบอกว่าจะแยกอย่างไรว่าส่วนไหนเป็นเงินที่ฆ่าคน ส่วนไหนเป็นเงินที่ได้จากการค้า? ดังนั้นจึงไม่เอาเสียเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าแปลกใจหนัก “ไยการกระทำพวกเขาจึงขัดแย้งกันเช่นนี้? ทั้งโลภ ทั้งยึดถือคุณธรรม”
ท่านชายสี่นิ่งงันครู่หนึ่ง ดวงตาหนักอึ้ง พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาคิดว่าสมัยก่อนสังหารคนไปมาก ดังนั้นการที่ตนลำบากหน่อย อัตคัดหน่อยก็ถือเป็นการลงโทษตัวเอง พอไม่ให้ผิดต่อมโนธรรมตนเอง”
หยู่เหวินเห้าจ้องเขา “ท่านเชื่อ?”
ท่านชายสี่นิ่งงันอีก “ไม่พ่ะย่ะค่ะ แต่ก็หาคำตอบไม่พบ ถึงอย่างไรพวกเขาไม่รับเงินของกระหม่อม ไม่เพียงแต่ไม่รับของกระหม่อม แม้แต่ของเซียวเหยากงกับอ๋องผิงหนานก็ไม่รับเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ช่างลึกลับสลับซับซ้อนเสียจริง
ทั้งที่มีขุมทองอย่างท่านชายสี่ เซียวเหยากงกับอ๋องผิงหนานกลับไม่เอา จำต้องรีดเลือดกับปู หลักการอะไรกัน?
หยู่เหวินเห้าคิดพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ที่จริงเสด็จพ่อมีเงินจำนวนนี้ก็ดี อย่างน้อยต่อไปทรงคิดใช้ชีวิตอย่างไรก็ทำได้ตามใจชอบ”
ท่านชายสี่หัวเราะ “อันที่จริงไม่เป็นเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้เคยชินจนฝังลึก ทรงจะประหยัดเช่นเดิม ที่ทรงเก็บก็เพราะทรงทราบว่าตระกูลหยู่เหวินขัดสนมาตลอด หากไม่เก็บไว้บ้างก็จะไม่อุ่นใจ เฉกเช่นเดียวกับพระองค์ เวลานี้หากให้เงินก้อนใหญ่กับพระองค์ พระองค์ก็คงไม่ใช่จ่ายไปเรื่อยเช่นกัน”
“ใช้จ่ายไปเรื่อยไม่ได้แน่ล่ะ ลูกเยอะขนาดนี้ จำต้องเก็บเงินไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน”
“พ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นเงินฉุกเฉิน หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่จ่ายออกไปง่ายๆ ตอนแรกที่เสด็จพ่อเก็บเงินก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่พอเก็บได้เงินก้อนโตแล้ว ก็รู้สึกไม่ว่าอะไรจะด่วนร้ายเพียงใดก็ไม่ใช่เหตุจำเป็นทั้งนั้น หากไม่มีคนตายก็ห้ามแตะต้อง นี่เป็นความคิดที่คนเก็บเงินส่วนใหญ่คิด พูดง่ายๆ ก็คือความคิดของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ไม่ทันระวังก็กลายเป็นปู่โสมเสียแล้ว”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ เขารู้สึกว่าเรื่องปู่โสมนี้ ตนมีเค้าอยู่ ตอนนี้เขาก็ไม่กล้าใช้เงินแล้ว
หลังจากกลับไปก็เล่าเรื่องให้หยวนชิงหลิงฟัง หยวนชิงหลิงจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่ใช่ “เสด็จพ่อทรงหาช่องโหว่เก่งจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ไม่รู้ทำไม ตอนนี้พอรู้ว่าเสด็จพ่อมีเงินจำนวนนี้แล้วข้ากลับวางใจ เพียงแต่ท่านชายสี่เหลิ่งบอกว่าทรงไม่ใช้เงินจำนวนนี้ แล้วทางอ๋องชินเฟิงอันทางนั้นก็แปลกมากเหมือนกัน ได้เงินมาล้านตำลึง แต่กลับแบ่งให้คนที่ติดตามเขาหลายปี ส่วนตัวเองกลับมาใช้ชีวิตลำบากเหมือนเดิม ท่านชายสี่ให้เงินเขาก็ไม่เอา ยืนกรานจะมีคุณธรรมอยู่อย่างยาจก แต่หากบอกว่าพวกเขาสมัครใจอยู่อย่างนี้ก็ไม่ถูก พอไปยุคปัจจุบันทางนั้นแล้ว ทั้งขับรถสปอร์ต ทั้งซื้อของแบรนด์เนม ขัดแย้งกันจริงๆ”
เมื่อหยวนชิงหลินคิดโดยละเอียดก็เข้าใจพลัน เอ่ย “ในยุคปัจจุบัน พวกเขาไม่มีชะตากรรม ไม่มีภาระ ในสังคมธุรกิจ มีเงินทองใช้เพื่อความสุขเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่อยู่ที่นี่ พวกเขาเป็นคนของราชวงศ์ ไม่กล้าเสพสุข จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เจ้าดูสิ ไม่ว่าจะเป็นไท่ซ่างหวง เซียวเหยากง โสวฝู่ หรือเสด็จพ่อ ที่จริงก็เหมือนกันหมด ใช่ว่าจะไม่มีเงิน แต่พวกเขาไม่กล้าใช้ชีวิตหรูหรา เพราะพวกเขารู้ว่าหากมีพวกเขาเป็นแบบอย่าง ลูกหลานในราชวงศ์ก็จะเลียนแบบ เช่นนี้ต่อไปจะปรามไม่อยู่”
ครั้นหยู่เหวินเห้าได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้แล้วก็เข้าใจโดยพลัน หอมหน้าผากหยวนชิงหลิงทีหนึ่ง หัวเราะพลางชมเชย “เจ้าหยวนฉลาดจริง หลักการล้ำลึกเช่นนี้ก็ยังเข้าใจ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะเอ่ย “ไม่ยากนี่ การกระทำของพวกเขาก็ให้เห็นอยู่ มองแก่นแท้จากการแสดงออก ไม่ยากเลย แถมตระกูลหยู่เหวิน ตั้งแต่ฮ่องเต้บุ๋นมาก็ประหยัดสุดๆ คำสอนบรรพชนก็ยังอยู่ เป่ยถังพัฒนามาหลายปีก็ยังไม่รุ่งเรือง ไม่กล้าเสพสุข”
หยู่เหวินเห้าปวดใจเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ลำบากพวกเขาจริงๆ”
“ไม่เป็นไร!” หยวนชิงหลิงจับมือเขา จับจดที่เขา “สักวันหนึ่งพวกเขาจะยอมใช้จ่าย วันที่เป่ยถังรุ่งเรืองแล้วจริงๆ มีเงินเต็มท้องพระคลัง พวกเขาก็จะยอมใช้เงินเก็บในมือเอง แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า พวกเขาจะเสพสุขได้หรือไม่ ก็อยู่ที่เจ้าจะทำให้เป่ยถังเป็นเช่นไร”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังเด็ดขาด!”
แววตาหยวนชิงหลิงอ่อนโยนสงบนิ่ง “ข้ารู้!”
สองสามีภรรยาจับมือมองหน้ากัน นัยน์ตาแน่วแน่
เรื่องหมู่ตึกผ่านไปไม่กี่วัน ในวังก็มีข่าวว่าฮ่องเต้ป่วยหนัก เมื่อคืนเรียกหาหมอหลวง ประชุมเช้าวันนี้ก็มาไม่ได้ และไม่ได้ให้ขุนนางไปเจี้ยวฉี่ที่ห้องทรงอักษร เพียงแต่ให้รัชทายาทว่าราชการแทนชั่วคราว
วันถัดมา ในวังก็มีราชโองการ ให้พระชายารัชทายาทเข้าวังตรวจอาการ แต่ไม่ได้เรียกอ๋องชินทั้งหลายเข้าวัง
รัชทายาทและพระชายาพกกล่องยาเข้าวัง ช่วงเย็นถึงกลับออกมา อ๋องชินทั้งหลายต่างมาถามสถานการณ์ที่จวน รัชทายาทเพียงหน้าขรึมไม่พูดอะไร
อ๋องอานร้อนใจหนัก อยากให้ท่านแม่ไปสืบสักหน่อย แต่กลับฝากเรื่องไม่ถึงในวัง กู้ซือมีคำสั่ง ไม่มีโองการของฮ่องเต้ แม้นเป็นอ๋องชินก็เข้าวังไม่ได้
อ๋องอานหนักใจ เป็นเพราะเรื่องหมู่ตึกหรือ? จิตใจเสด็จพ่อได้รับความกระทบกระเทือนจึงล้มป่วย?
อ๋องซุนก็คิดว่าเป็นเรื่องหมู่ตึกเช่นกัน ดังนั้นจึงให้เหล่าน้องชายมาหารือที่จวน ดูสิว่าจะรวมเงินได้สักก้อน ซื้อหมู่ตึกมาได้หรือไม่ เสด็จพ่อจะได้ไม่คิดเรื่องหมู่ตึกร้อนใจจนธาตุไฟแตก
ล้านตำลึง อ๋องชินทุกคนร่วมด้วยช่วยกันก็ยังรวมมาได้ ทว่าอ๋องฉีกลับถาม “ได้ผลหรือ? ยังไม่แน่ว่าเสด็จพ่อทรงประชวรเพราะเรื่องนี้จริงหรือไม่”
พริบตาเดียวอ๋องฉีก็ถามได้ตรงจุด ทุกคนต่างมองหยู่เหวินเห้า