บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1466 สละตำแหน่ง
อ๋องซุนอดถามเป็นไม่ได้ “น้องห้า อาการของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรกันแน่?”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ข้าไม่รู้เรื่องการแพทย์ ได้ยินเจ้าหยวนบอกว่าคงต้องรักษาตัวอีกสักระยะ”
“เพราะเรื่องหมู่ตึกหรือไม่?” อ๋องซุนถาม
หยู่เหวินเห้าเงยหน้า “ข้าก็ไม่รู้”
อ๋องอานมองเขา “เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? เวลานี้ไม่ว่าอะไรเสด็จพ่อก็ทรงบอกเจ้าหมด”
“ที่บอกข้าล้วนเป็นเรื่องในราชสำนัก” หยู่เหวินเห้ามองสีหน้าร้อนใจของพี่น้อง ที่จริงก็อยากให้เขาวางใจ แต่คำพูดนี้ก่อนที่จะมีราชโองการตกลงมาก็ยังพูดไม่ได้
อ๋องอานเอ่ยอย่างสงสัย “ไม่รู้จริงหรือ? แปลกจริง การประชวรนี้ของเสด็จพ่อมาได้แปลกมาก แล้วยังไม่ยอมให้เราเข้าวังไปเข้าเฝ้าอีก”
เมื่อนั้นอ๋องหวยจึงนึกถึงเรื่องที่หากจะลงจากตำแหน่งอะไรที่ได้ยินอ๋องชินเฟิงอันกล่าวในวันนั้น จากนั้นก็มองหยู่เหวินเห้า เห็นสีหน้าเขาสงบนิ่ง ไม่เป็นห่วงเท่าไร หรือว่า…
เขาไม่กล้าถาม ระหว่างพี่น้องมีสนิทและเหินห่าง หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเสด็จพ่อต้องใคร่ครวญตรึกตรองอย่างหนักแล้วจึงตัดสินใจ ในฐานะที่เป็นลูก เขาก็ควรสนับสนุน
ส่วนอ๋องซุน อ๋องเว่ยและอ๋องชุนยังคงวิตกกังวล กลัวว่าสุขภาพเสด็จพ่อจะมีปัญหาจริงๆ
หลังจากพี่น้องหารือกันแล้ว ตกลงกันไม่ได้ ดังนั้นย่อมไม่ได้รวบรวมเงิน เพียงแต่กลับจวนแล้วรอฟังข่าวเงียบๆ
ดีที่ผ่านไปสองวัน ในที่สุดเสด็จพ่อก็มีราชโองการลงมา อนุญาตให้อ๋องชินเข้าวังไปเข้าเฝ้า
อ๋องชินเข้าวังพร้อมกัน รออยู่ในตำหนัก
หมอหลวงยังอยู่ข้างในฝังเข็ม ผ้าม่านทิ้งตัวลงหนัก มองไม่เห็นสถานการณ์ด้านใน อดร้อนรนเป็นไม่ได้
ผ่านไปประมาณสิบนาที มู่หรูกงกงก็ออกมาเลิกผ้าม่าน ฮ่องเต้หมิงหยวนนอนอยู่บนเตียง หน้าเหลือง กระบอกตาลึกเป็นโพรง ครั้นอ๋องชินทั้งหลายเข้าไปเห็นแล้วก็ทุกข์ใจหนัก รีบคุกเข่าถวายบังคม
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองแวบหนึ่ง แต่กลับเหมือนเปล่งวาจาไม่ได้ ได้แต่ขยับริมฝีปากเล็กน้อย มู่หรูกงกงขยับเข้าไปฟัง จากนั้นก็เอ่ยกับอ๋องชินทุกคน “ฝ่าบาทรับสั่ง ให้ท่านอ๋องเสด็จกลับเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องซุนร้อนรน คลานเข่าเข้าไปหา “เสด็จพ่อ โปรดให้หม่อมฉันปรนนิบัติอยู่ที่นี่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
พวกอ๋องเว่ยก็คลานเข่าเข้าไปขออยู่ปรนนิบัติด้วยเช่นกัน
ฮ่องเต้หมิงหยวนถอนหายใจหนัก ยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก โบกมือให้พวกเขากลับไป
เมื่ออ๋องซุนเห็นดังนี้แล้วก็ลุกขึ้นยืนลากมือหมอหลวง ถามด้วยร้อนใจ “เสด็จพ่อทรงประชวรเป็นอะไรกันแน่? ทำไมจู่ๆ ก็อาการหนักเช่นนี้?”
หมอหลวงลังเลนิดหนึ่ง “เออ…แรกเริ่มฝ่าบาทแค่เป็นไข้หวัดพ่ะย่ะค่ะ คิดไม่ถึงว่าลมเย็นจะเข้าถึงภายใน โรคมาไวมาก ต้องรักษาให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?” อ๋องซุนหันขวับไปมองหยู่เหวินเห้า “ชายาเจ้าเล่า? ชายาเจ้ามาตรวจดูแล้วว่าอย่างไรบ้าง?”
หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเบา “เจ้าหยวนก็พูดเหมือนกับท่านหมอหลวง”
มู่หรูกงกงเดินมา “ท่านอ๋องมิต้องร้อนพระทัยหรือตื่นตระหนกพ่ะย่ะค่ะ มีหมอหลวงดูแลอยู่ เสด็จกลับก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ถวายบังคมก็พอแล้ว ฝ่าบาททรงต้องพักผ่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นอ๋องซุนได้ยินว่าต้องพักผ่อน ก็ไม่กล้าร่ำไรอีก เช็ดน้ำตา คุกเข่าลงอีกครั้งสะอื้นเอ่ย “เสด็จพ่อต้องถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันทูลลา!”
อ๋องชินทั้งหลายก็พากันทูลลาด้วย
หยู่เหวินเห้าตามออกไป ถึงจะรู้ว่าเสด็จพ่อแกล้งป่วย แต่เมื่อเห็นพี่น้องเป็นกังวลขนาดนี้แล้วก็ไม่สบายใจ ดังนั้นสีหน้าจึงขรึมมาก
แม้อ๋องอานรู้สึกแปลก แต่เมื่อเห็นท่าทางหยู่เหวินเห้าก็เป็นกังวล คิดแล้วเสด็จพ่อคงป่วยจริง
ผ่านมาอีกหลายวัน ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ยังไม่ดีขึ้น เรื่องในราชสำนักก็มอบหมายให้รัชทายาทกับเหลิ่งโสวฝู่ ขุนนางเก่าอยากไปถวายบังคม แม้ฮ่องเต้หมิงหยวนจะอนุญาต แต่ก็ให้พวกเขาถวายบังคมอยู่ไกลๆ ไม่ให้เข้าใกล้
จากนั้นก็ผ่านไปอีกหลายวัน ไท่ซ่างหวงกลับวัง นี่ทำให้ทุกคนคาดเดาไปต่างๆ นานา หรืออาการของฮ่องเต้จะหนักมาก?
ปีที่สิบสามหน้าร้อน ฮ่องเต้หมิงหยวนแห่งเป่ยถังป่วยหนักกะทันหัน หมอหลวงตรวจรักษา บอกว่าต้องพักรักษาตัว ห้ามเหน็ดเหนื่อย!
ดังนั้นกลางเดือนห้าฮ่องเต้หมิงหยวนจึงประกาศลงจากตำแหน่ง แล้วยกราชบัลลังก์ให้หยู่เหวินเห้า!
ครั้นราชโองการตกลงมา ทั้งราชสำนักก็ตะลึงงัน!
เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่เคยหารือกับเน่ย์เก๋อ ไม่เคยปรึกษา อีกทั้งมีข่าวว่าป่วยหนักไม่ถึงครึ่งเดือนก็ประกาศยกราชสมบัติแล้ว หมอหลวงก็ไม่ได้บอกว่าอาการหนักมาก บอกแค่ว่าต้องพักรักษาตัว เช่นนี้ก็มีราชโองการสละตำแหน่งแบบกะทันหัน ไม่เหมือนกับลักษณะการทำงานของฮ่องเต้หมิงหยวนเลย
แถมโรคนี้ของฮ่องเต้ก็แปลกมาก กะทันหันเกินไป มีคนสืบข่าวทุกทาง ได้ยินว่าฮ่องเต้คิดว่าหมู่ตึกเหมยของอ๋องชินเฟิงอันมีของล้ำค่า ครั้นลงเงินก้อนโตซื้อแล้วกลับพบว่าไม่มี ร้อนใจจนธาตุไฟแตกฉับพลัน ถึงได้ล้มป่วย
เรื่องนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีใครด่าทออ๋องชินเฟิงอัน เพราะพร้อมกันนั้นก็มีเรื่องราว ‘น้ำใจกว้างขวาง’ มากมายของอ๋องชินเฟิงอันแพร่สะพัดออกมาด้วย ทั้งยังมีคนแก่จำนวนหนึ่งในเมืองหลวงยังจำได้ ว่าอ๋องชินเฟิงอันก็เป็นคนชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนี้ คนที่มีชื่อเสียงฉาวคนหนึ่งหลอกเงินไปนิดหน่อย ก็พูดได้แต่ว่าฮ่องเต้คิดไม่ตก
เมื่อข่าวนี้แพร่ไปถึงหูหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงก็ผ่อนลมเบาๆ “รู้สักทีว่าทำไมพวกเขาต้องกลับมาอีก เพราะยังเป็นแพะไม่จบนั่นเอง”
แต่ก็มีคนพูดว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายแล้ว กอปรกับตรวจตราทางใต้อีกครั้ง ระหว่างทางล้มป่วย รักษาไม่ถึงต้นตอ จึงกำเริบในตอนนี้ หนักหนาอยู่บ้าง
ทว่าผู้คนก็ไม่ระส่ำระสายนาน เพราะรัชทายาทก็มีความสามารถ แม้นฮ่องเต้สละตำแหน่ง ผู้ครองแคว้นคนใหม่ก็คุมราชสำนักได้อย่างรวดเร็ว บวกกับภายในภายนอกสงบ บ้านเมืองมีชีวิตชีวา หลังจากความตกใจผ่านพ้นไป ทุกคนก็ยอมรับได้เร็ว
ในวันที่มีราชโองการสำนักดาราศาสตร์ก็รีบหาวันอย่างรวดเร็ว วันที่ยี่สิบเดือนหกเป็นวันมงคลที่ดีที่สุดแห่งปี ทำพิธีขึ้นราชสมบัติในวันนี้!
เวลากระชั้นชิดเล็กน้อย ดังนั้นจึงส่งสาส์นออกไปไม่หยุด เฆี่ยนม้าเร็วไปยังแคว้นรอบข้าง เชิญแคว้นต่างๆ มาร่วมเป็นแขกและสักขีพยานช่วงที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์
ราชโองการยกตำแหน่งทำให้เกิดคลื่นลมต่างๆ นานาในจวนอ๋อง หนึ่งในนั้นที่หนักสุดก็คือจวนอ๋องอาน
ครั้นอ๋องอานได้ยินข่าวนี้แล้ว หัวสมองก็นิ่งงันไปพักหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ คืนสติ
แรกเริ่มเต็มไปด้วยความเจ็บใจ คับอก ไร้กำลัง แม้นรู้ว่าตนไม่มีทางได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ก็เคยยึดมั่นเช่นนั้น ไม่อาจวางได้ง่ายๆ ในเวลาอันสั้น มักคิดว่ายังมีเวลา แต่สุดท้ายก็สงบจิตใจ อยู่ในกรอบของตัวเอง หากอีกหน่อยหยู่เหวินเห้าได้ขึ้นครองราชย์ ตนก็คงปล่อยวางได้ แต่นี่กลับเร็วเกินไป เขาไม่อาจรับได้ในทันที
แต่อย่างช้าๆ เขาก็เริ่มหวั่นวิตก
ไม่รู้ว่าอาการของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง หากทรงมีอันเป็นไป เช่นนั้นผู้เป็นใหญ่ในเป่ยถังก็คือหยู่เหวินเห้า บุญคุณความแค้นของพวกเขาในอดีต แม้เวลานี้จะสิ้นไปแล้ว แต่เขาคิดว่านั่นเพราะหยู่เหวินเห้าต้องการทำให้ดูเหมือนพี่น้องปรองดอง เมื่อได้ขึ้นครองราชย์และเสด็จพ่อสวรรคต หากเขายังคิดถึงเรื่องเก่าก่อน ก็จะรู้สึกว่าตนเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง แล้วเขายังจะปล่อยตนไว้อีกหรือ?
ระหว่างที่ร้อนรนและหวั่นวิตก อ๋องอานจึงล้มป่วย
ขณะเดียวกัน เวลานี้เมืองหลวงก็เกิดเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือหลังจากแม่นางโจวที่ตามอ๋องเว่ยเข้าเมืองหลวงและสกัดกั้นอ๋องเว่ยหลายครั้งก็ไม่เป็นผลแล้ว จึงไปโรงชาร้านเหล้า ใช้เงินว่าจ้างให้นักเล่าเรื่องช่วยนางกระพือข่าวออกไป ว่านางจะแต่งกับอ๋องเว่ยเท่านั้น
หญิงสาวบอกว่าจะแต่งกับอ๋องชินแขนเหล็กแห่งรัชสมัยนี้อย่างเปิดเผย ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนทั่วไปต้องระทึก ในเวลาเพียงวันสองวันข่าวก็ระบือไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นกระแสการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการยกบัลลังก์ของฮ่องเต้จึงลดลง แล้วเริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแม่นางโจวกับอ๋องเว่ยแทน
เดิมนึกว่าเรื่องนี้ยังต้องกระฉ่อนไปอีกระยะหนึ่ง แต่หารู้ไม่ วันถัดมาอ๋องเว่ยก็ตอบกลับ เขานั่งอยู่บนหลังม้าบนถนนชิงหลวนกล่าวเสียงดัง “ข้าแต่งงานแล้ว ชีวิตนี้จะมีเพียงผู้เดียว ไม่คิดเป็นอื่นอีก”
คนทั้งถนนชิงหลวนต่างตกตะลึง ทุกคนรู้ว่าอ๋องเว่ยหย่าขาดแล้ว บัดนี้เขาอยู่ตัวคนเดียว เช่นนั้นคำพูดนี้หรือเป็นการบอกกับใต้หล้าว่าต่อไปเขาจะไม่แต่งงานอีก?