บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1467 ต้องไขว่คว้าด้วยตัวเอง
การตอบกลับของอ๋องเว่ยในวันนั้นระบือไปทั่วถนนสายน้อยใหญ่ในเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นแบบฉบับไหน สุดท้ายก็รู้สึกน่าเสียดายสุดแสน
คนในจวนอ๋องฉู่ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เช่นกัน แม้แต่รัชทายาทกับพระชายาก็ยังวิพากษ์วิจารณ์กันยกหนึ่ง
“ข้าสงสัยว่าพี่สามจงใจปล่อยให้แม่นางโจวมาเมืองหลวง เขาอยากหาโอกาสประกาศให้คนทั่วหล้าได้รู้ เหมือนอย่างที่จิ้งเหอทำพิธีแต่งงานกับเทพนักรบในสมัยก่อน” เจ้าห้าเอ่ย
หยวนชิงหลิงสะท้อนใจเอ่ย “แต่ต้องพูดเลย ว่าจากครั้งนี้ เรื่องพวกเขาก็ถือว่ายุติ บางทีนี่อาจเป็นจุดจบที่เหมาะสมที่สุด”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “แต่ข้ากลับคิดว่าอนาคตมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ตราบใดที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ทุกอย่างก็ยังไม่จบ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “บางทีเจ้าอาจพูดถูก หรือข้าอาจพูดถูก แต่ชีวิตเป็นของพวกเขา มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ตัดสินใจได้ ไม่ว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร เราก็เคารพการตัดสินใจนั้นก็พอ!”
“นั่นสิ ใช่เหตุผลนี้แหละ!” หยู่เหวินเห้ามองภรรยา หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและความรักลึกซึ้ง “อย่างเจ้าและข้าที่โชคดีเช่นนี้ มีน้อยนัก เราต้องทะนุถนอมซึ่งกันและกัน”
หยวนชิงหลิงย้อนนึกเรื่องในอดีต “เราก็ผ่านมามาก ดีที่เราต่างมีความเชื่อมั่นต่อกัน ถึงผ่านลมมรสุมเหล่านั้นมาได้”
หยู่เหวินเห้าหอมนาง หน้าตามีความยินดีที่ไม่จืดจาง “ตอนนี้วันขึ้นครองราชย์ก็กำหนดแล้ว เราต้องบอกกับทางนั้น ต้องให้พวกเขาเตรียมตัวสักหน่อย ทางที่ดีก็มาล่วงหน้า”
“เจ้าก็เอาแต่คิดเรื่องนี้สิน่า” หยวนชิงหลิงหัวเราะเขา
“จะลืมได้อย่างไร? ข้าเชื่อว่างานแต่งนี้นี่แหละที่เจ้าต้องการที่สุด ครอบครัวมิตรสหายล้วนอยู่ข้างกายเจ้า” หยู่เหวินเห้าลูบแผ่นหลังนางเบาๆ คำพูดที่กล่าวออกมาทำเอาตัวเองประทับใจจนตาแดง “นี่เป็นสิ่งที่ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้าที่สุด ข้าไม่อยากหลงเหลือความเสียใจ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย “เป็นเจ้าหรือข้าที่ต้องการงานแต่งที่สุดกันแน่? ที่จริงข้า…”
หยู่เหวินเห้าชูนิ้วที่ริมฝีปากนาง “ไม่ เจ้าต้องการงานแต่งนี้”
หยวนชิงหลิงปัดมือเขาออก ดวงตามีความเจ้าเล่ห์ “แต่ข้าว่า เจ้า…”
หยู่เหวินเห้ากดปากนางทันที ยัดคำพูดหยอกเย้าของนางกลับคืนไป
บดขยี้ดูดดื่มพักหนึ่งแล้วถึงปล่อยริมฝีปากที่แดงเล็กน้อยของนาง แววตาหวานหยาดเยิ้ม เอ่ยรำพัน “เจ้ากับข้าต่างต้องการการแต่งงานนี้เพื่อพิสูจน์ความสุขของพวกเรา ความสุขต้องการเครื่องพิสูจน์”
มุมปากหยวนชิงหลิงอมยิ้ม ใบหน้าอมสุข “ได้ เอาตามเจ้า พ่อพลังบวกห้า!”
หยู่เหวินเห้ายิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่คนเดียว แววตาเต็มไปด้วยความยิ้มย่อง “ข้าคิดว่าในวัยที่เหมาะสมก็ควรปล่อยให้เป็นอิสระ ต้องมีวันที่เราเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตสักวัน ถึงตอนนั้นค่อยถ่อมตนก็ยังไม่สาย”
หยวนชิงหลิงไม่สบอารมณ์มองเขาแวบหนึ่ง “ได้ ตอนนี้เจ้าพูดอะไรก็ถูกหมด เจ้าใกล้จะเป็นใหญ่แล้วนี่!”
หยู่เหวินเห้าจรดมือ “มิกล้า มิกล้า ยังต้องให้ภรรยาในบ้านเป็นใหญ่!”
หยวนชิงหลิงมองท่าทางซุกซนของเขา หัวเราะแต่กลับเอ่ย “เจ้าต้องทำตัวให้ดูสุขุม จะแสดงความดีใจออกมาไม่ได้”
“นี่จะดูอินโนเซนท์ไปหน่อยกระมัง? แล้วยังต้องเสแสร้งแสดงออกว่าไม่อยากขึ้นบัลลังก์งั้นหรือ?”
ตอนนี้เจ้าห้าพูดศัพท์สมัยใหม่ได้เป็นฉอดๆ
หยวนชิงหลิงเอ่ย “เจ้าลืมแล้วหรือ? ทุกคนคิดว่าเสด็จพ่อประชวรหนัก แต่เจ้ามายิ้มแย้มในเวลานี้ แล้วทุกคนจะคิดอย่างไร?”
หยู่เหวินเห้าอ่อเสียงหนึ่ง “นั่นสิ ข้าเกือบลืมไปเลย”
การเข้าถึงอารมณ์ยังขาดไปอีกหน่อย การแสดงของเขายังมีช่องโหว่ให้พัฒนาอีกมาก
เขาสำนึกผิดพักหนึ่ง แล้วเอ่ยอีก “แต่ต้องยอมรับเลย ว่าการแสดงของเสด็จพ่อเยี่ยมจริงๆ นอกจากสีหน้าที่แต่งขึ้นแล้ว จิตใจก็ห่อเหี่ยว ลมหายใจติดขัด หากไม่ใช่เพราะข้ารู้อยู่แล้ว คงต้องคิดว่าทรงประชวรจริงแน่”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “นี่ก็ไม่ใช่ว่าแสร้งทำ อย่างไรก็เสียไปล้านตำลึง เป็นข้ายังต้องปวดใจอีกปีสองปี นี่ก็เป็นช่วงเจ็บปวดอยู่พอดี จะให้กระปรี้กระเปร่าได้อย่างไร”
หยู่เหวินเห้าแสดงออกว่าเห็นใจหนัก “นั่นก็จริง หากเป็นข้า คงติดใจทั้งชาติแน่”
หยวนชิงหลิงมองข้างนอก เอ่ยถาม “อ๋องเว่ยประกาศที่ถนนชิงหลวนแล้วก็ไม่ได้กลับมา เขาไปที่ไหนกัน?”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ไม่รู้เขาสิ ขอแค่แม่นางโจวไม่มาถึงนี่ก็พอ ตอนนี้จะไล่คนก็ลำบาก เชิญเข้ามายิ่งไม่เหมาะ”
กลัวอย่างไรก็ได้อย่างนั้น เขาเพิ่งเอ่ยไปไม่นานลู่หยาก็เข้ามาบอกว่า “พระชายา มีแม่นางโจวคนหนึ่งมา บอกว่าต้องการพบท่านอ๋องเว่ยเพคะ ยามเฝ้าประตูกันให้อยู่ข้างนอก ให้ข้าน้อยเข้ามาถามท่าน จะให้ไล่ไปหรือจะจัดการอย่างไรเพคะ?”
ทุกคนต่างรู้ว่าแม่นางโจวมีฐานะพิเศษ ดังนั้นจึงไม่กล้าไล่ไปง่ายๆ
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “ดูสิข้าพูดเป็นลางจริง!”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ที่จริงนางขวางอ๋องเว่ยอยู่ข้างนอกมาหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ช้าเร็วก็ต้องมาถึงนี่อยู่แล้ว เอาเถอะ เชิญนางเข้ามา ข้าจะคุยกับนางเอง”
หยู่เหวินเห้ามองนาง “เจ้าใจอ่อน อย่าเห็นท่าทางนางปักใจเช่นนั้นแล้วหลงกลนางเข้าล่ะ”
หยู่เหวินเห้าติดใจกับคำพูดนั้นของอ๋องเว่ยมาก ที่บอกว่าแม่นางโจวผู้นี้เหมือนฉู่หมิงชุ่ยนัก
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ข้าใจอ่อนแล้วจะมีประโยชน์อันใด? อ๋องเว่ยไม่เชื่อฟังข้าสักหน่อย ข้าแค่รู้สึกว่านางดั้นด้นมาไกล ติดตามคนที่ไม่ชอบนางอย่างไม่สนใจสิ่งอื่น เสียเวลาเปล่า ไม่อยากให้นางถลำลึกหรือไปหาจิ้งเหอ ก็เลยจะพูดกับนางสักหน่อยเท่านั้น”
นางให้ลู่หยาออกไปเชิญแม่นางโจวไปที่ห้องโถงข้าง แล้วจัดการกับผมเผ้ารุงรังที่อยู่บ้าน คลุมชุดคลุมตัวหนึ่งแล้วจึงออกไป
เมื่อถึงห้องโถงข้างก็เห็นสาวรุ่นสวมชุดสีแดงทับทิมล้วนนั่งเก้าอี้ด้านซ้าย ในมือนางกุมแส้ม้าเส้นหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างสูง ไม่มวยผม แต่เปียผมสองเส้น หน้าผากมีเครื่องประดับเงิน มัดอยู่ที่หน้าผาก แขวนห่วงคอพวงหนึ่ง ตุ้มหูที่ติ่งหูก็ยาวมาก
ครั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าก็มองมา หน้าตางดงาม ผิวพรรณคล้ำเล็กน้อย องคาพยพร่องลึก ให้รู้สึกเหมือนเป็นลูกครึ่ง จมูกสันโด่ง แต่โค้งเว้าสวยงาม ในความแข็งกร้าวมีความอ๋อนโยนเล็กน้อย ดวงตาโต ตาขาวมีมาก หางตากระดกขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกเลือดเย็น
สรุปแล้วรูปพรรณสัณฐานนี้กับบุคลิกล้วนเป็นหญิงสาวที่โดดเด่น ท่าทางประมาณสิบแปดสิบเก้า
นางลุกขึ้นยืน ย่อคำนับกับหยวนชิงหลิง “โจวจื้อชันถวายพระพรพระชายารัชทายาท!”
หยวนชิงหลิงดึงสายตากลับ ยิ้มนิดๆ “แม่นางโจวนั่งเถอะ!”
อาจเพราะคิดไม่ถึงว่าหยวนชิงหลิงจะเข้าหาง่ายเช่นนี้จึงชะงักงัน แล้วจึงตอบกลับอย่างเหม่อลอย “เพคะ ขอบพระทัยพระชายารัชทายาท!”
เหม่อลอยเพียงครู่เดียว หลังจากนั่งลงแล้วแม่นางโจวก็เอ่ยถามโดยตรง “พระชายารัชทายาท ท่านอ๋องเว่ยประทับอยู่ที่นี่หรือไม่เพคะ? ข้าน้อยต้องการพบท่านอ๋องเว่ย”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “เขาไม่อยู่ในจวน แม่นางโจว เจ้ากลับไปเถอะ เขาไม่มีใจให้เจ้า อย่าเสียเวลาอีกเลย อย่าให้พ่อแม่เจ้าต้องเป็นห่วง”
แม่นางโจวมองหยวนชิงหลิง เอ่ยอย่างมุ่งมั่น “พ่อแม่ข้าน้อยต่างทราบว่าข้าน้อยมา พวกเขาเห็นด้วยกับข้าน้อยมาก ความสุขต้องไขว่คว้าด้วยตัวเอง ข้าน้อยทำเช่นนี้มิผิด พระชายารัชทายาททรงเห็นว่าข้าน้อยทำผิดหรือเพคะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ที่ว่าความสุขต้องไขว่คว้าด้วยตนเองนั้นไม่ผิด แต่เจ้าต้องรู้จักแยกคน อ๋องเว่ยมีคนในดวงใจแล้วเจ้าพยายามไขว่คว้าอย่างไร เขาก็ไม่ชอบเจ้า”
แม่นางโจวส่ายหน้า ดวงตาเป็นประกาย “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเพคะ? ไม่มีใครเก็บคนหนึ่งไว้ในใจตลอดไปได้ ข้าน้อยเชื่อว่าขอแค่พยายามให้พอ วันหนึ่งท่านอ๋องเว่ยก็ต้องมองข้าน้อย จะห้าปี สิบปี ข้าน้อยก็รอได้เพคะ”
เป็นหญิงสาวที่ดื้อดึงเสียจริง เวลานี้หยวนชิงหลิงชักชื่นชมนางอยู่บ้างแล้ว
“ข้าแค่ห่วงว่าเจ้าจะเสียเวลา สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย ทิ้งช่วงแรกแย้มไปเปล่าๆ”