บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1468 มอบเงิน
แม่นางโจวตาขมึง “ข้าน้อยไม่กลัวสักนิดเพคะ กลัวแต่ชีวิตนี้จะไม่ได้พบกับคนคนนั้น”
อึดใจหนึ่งแล้วนางก็ถามขึ้น “นางเป็นคนเช่นไรเพคะ? ข้าน้อยจะพบนางได้หรือไม่เพคะ?”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ข้าตัดสินใจไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่านางอยากพบเจ้าไหม แต่ข้าคิดว่าไม่จำเป็น เรื่องของเจ้ากับอ๋องเว่ยไม่เกี่ยวกับนาง อย่ารบกวนนางเลย”
แม่นางโจวคิดว่านางจงใจให้ลำบาก สีหน้าจึงเสียดแทงบางส่วน “นางไม่หวงแหนความสุข คนดีเช่นนั้น นางไม่ต้องการ ต่อไปนางต้องเสียใจแน่ ท่านทราบหรือไม่ว่ามีหญิงที่จวนเจียงเป่ยชอบท่านอ๋องเว่ยมากมายเพียงใด? เพื่อให้ได้พบหน้าสักครั้ง ยอมเฝ้าอยู่ภายใต้แดดแรงลมหนาวทั้งวัน รอท่านอ๋องเว่ยกลับมาจากค่ายหรือกลับมาจากภูเขา เห็นหน้าเขาครั้งหนึ่ง ก็พอให้ชื่นใจหนึ่งเดือน ความรู้สึกเช่นนี้เกรงว่าหญิงตระกูลสูงในเมืองหลวงอย่างพวกท่านคงไม่เข้าใจ”
นี่เป็นคำพวกที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู ทว่าหยวนชิงหลิงเพียงยิ้มชืด “บางทีข้าอาจไม่เข้าใจ แต่ข้ายังยืนยันคำเดิม อย่าไปรบกวนจิ้งเหอ เรื่องของพวกเจ้าไม่เกี่ยวกับนางสักนิด เดิมทีข้ายังอยากเตือนเจ้า แต่ในเมื่อเจ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนี้ ข้าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าไปเถอะ!”
ใบหน้าแม่นางโจวมีความโกรธเคือง “นางเป็นอ่อนแอขนาดนั้น อะไรยังต้องให้พวกท่านปกป้อง คนเช่นนี้ คู่ควรให้ท่านอ๋องเว่ยชอบงั้นหรือ?”
หยวนชิงหลิงขมึงตึง “เจ้าชอบอ๋องเว่ย นางก็มีชีวิตที่ต้องการ ไยเจ้าต้องทำร้ายนางให้ได้? ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า กลับไปเถอะ!”
แม่นางโจวลุกขึ้นยืน เอ่ยเย็นชา “ดูท่าคนในเมืองหลวงคงเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด ไม่รู้จักรสชาติของชีวิต สนใจแต่หน้าตาลาภยศ ต่างความคิดมิอาจพูดคุย ขออภัย ทูลลา!”
ว่าแล้วนางก็สาวเท้ายาวออกไป
ลู่หยาที่อยู่ด้านข้างได้ฟังคำพูดนี้ของนางแล้วก็โกรธจัด เอ่ย “พระชายาเพคะ ท่านยอมนางได้อย่างไรเพคะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ปล่อยนางไปเถอะ พูดเลยเถิดไปถึงทัศนคุณค่าแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดอีก”
หยวนชิงหลิงเกรงว่านางจะไปหาจิ้งเหอ ดังนั้นจึงให้ทังหยางส่งคนตามไป ทังหยางให้หูหมิงไป ระยะนี้ที่หูหมิงติดตามฝึกวิชากับเขาก็ออกไปทำงานหลายครั้งแล้ว ค่อนข้างไว้ใจได้
หลังจากแม่นางโจวกลับไปได้ไม่นาน ในวังก็มีบัญชามา ให้รัชทายาทและพระชายาเข้าวังไปเข้าเฝ้า
ทังหยางเตรียมรถม้ารออยู่หน้าจวน ขณะที่ทั้งสองออกมาก็เห็นอ๋องเว่ยขี่ม้ากลับมา
ตะวันคล้อยไปทุกที แต่แสงตะวันยังแผดเผา ส่องบนผิวดำคล้ำของอ๋องเว่ย เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงออกมา เขาจึงเรียก “ไปที่ใดหรือ?”
หยู่เหวินเห้ามองเขา “เข้าวัง วันนี้ท่านไปที่ใดมา?”
อ๋องเว่ยพลิกตัวลงจากม้า ก้าวยาวมาหา “ไปกรมการพระนครหาน้องเจ็ด ทำงานราชการนิดหน่อย”
หยู่เหวินเห้าตะลึง “ไปหาน้องเจ็ดทำงานราชการ? งานราชการอะไรหรือ?”
เขาพูดอย่างง่ายดาย “ถือเป็นงานราชการของน้องเจ็ด ให้เขาเอาทรัพย์สินทุกอย่างในชื่อข้าโอนให้จิ้งเหอ ที่นาและบ้านที่ได้มาก็ด้วย แล้วยังจวนอ๋องเว่ยของข้า ข้าไม่เอาทั้งนั้น ต่อไปกลับเมืองหลวงก็ขอพี่รองซุกหัวนอน”
หยวนชิงหลิงผงะเล็กน้อย ทรัพย์สินและกิจการของจวนอ๋องเว่ย ตอนที่ทะเลาะหย่าร้างก็แบ่งส่วนหนึ่งให้จิ้งเหอแล้ว แต่ได้ยินว่าสุดท้ายจิ้งเหอก็ไม่รับของของเขา ภายหลังทำผลงาน ก็ประทานให้เขาอีกจำนวนหนึ่ง เขาไม่แยแสสักนิด บัดนี้ยังจะยกให้หมดอีก นี่เขา…คิดจะอยู่ตัวลำพังจริงหรือ?
“ท่านไม่เหลือไว้สักหน่อยหรือ?” หยู่เหวินเห้าถาม
อ๋องเว่ยเอ่ย “ข้าจะเอามาทำไม? ของนอกกาย ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างข้าก็อยู่ที่จวนเจียงเป่ยแรมปี ต่อไปเกรงว่าปีหนึ่งคงกลับเมืองหลวงสักครั้งก็ไม่ได้ ไม่มีภาระ ไม่มีคนแก่ต้องเลี้ยงดู เบี้ยหวัดก็พอข้ากินแล้ว นางมีลูกหลายคน ต่อไปแต่งงาน ลูกสาวยังต้องจัดการสินสอดให้ ลูกชายต้องก่อร่างสร้างฐาน จะขาดเงินไม่ได้”
“นางจะรับหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ย
“ไม่รู้ ให้น้องเจ็ดไปจัดการ สำเร็จก็เลี้ยงเหล้าเขา หากไม่สำเร็จก็ชกหน้าเขาทีหนึ่ง จะดื่มเหล้าหรือกินหมัด ก็อยู่ที่ความสามารถของเขาแล้ว” กล่าวจบ อ๋องเว่ยก็เข้าไป
หยู่เหวินเห้าประคองหยวนชิงหลิงขึ้นรถม้า ปล่อยผ้าม่านลง เอ่ย “นี่พี่สามคิดจะแก่ตายอยู่ที่จวนเจียงเป่ยแล้ว”
หยวนชิงหลิงเงียบงัน จากวิธีการจัดการทรัพย์สินของเขาก็มองออกได้ ว่าคิดการเช่นนี้จริงๆ
แต่บางเรื่องคนอื่นก็แทรกแซงไม่ได้ เขาทำตามที่ต้องการก็พอ
ครั้นทั้งสองเข้าวัง ฮ่องเต้หมิงหยวนเพิ่งดื่มยานอนหลับ ง่วงเล็กน้อย เมื่อเห็นเจ้าห้ากับหยวนชิงหลิงมา ความง่วงก็พลันหายไปอีก
หลังจากทั้งสองถวายบังคมและนั่งลงแล้ว หยู่เหวินเห้าก็เอ่ยถาม “เสด็จพ่อ มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกวักมือ ไม่นานก็เห็นมู่หรูกงกงอุ้มกล่องแพรใบหนึ่งมา เมื่อเปิดออกแล้ว เขามองอยู่พักหนึ่ง ถอนหายใจเบา ยื่นมือล้วงหยิบมาสองสามใบ จากนั้นก็เอ่ยกับมู่หรูกงกง “ให้รัชทายาทเถอะ!”
มู่หรูกงกงอุ้มไปยื่นให้หยู่เหวินเห้า “พระองค์ ทรงรับไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หยู่เหวินเห้ายื่นมือประคองไว้ แต่เมื่อก้มศีรษะมองแล้วก็ตาโตอ้าปากค้างทันที ข้างในมีตั๋วแลกเงินพับหนาๆ กับใบฝากเงิน
“เสด็จพ่อ นี่…” หยู่เหวินเห้าเงยหน้ามองฮ่องเต้หมิงหยวน ทำหน้าสับสน นี่คงเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์กระมัง?
ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ย “เงินเก็บเหล่านั้นข้าให้เจ้า แต่ไม่ใช่ให้เจ้าใช้ เจ้าเก็บเอาไว้ ในนั้นรวมแล้วมีสามล้านตำลึง มีส่วนหนึ่งที่ออกกู้กินดอกเบี้ย เงินจำนวนนี้เจ้าจะใช้ไม่ได้ เก็บเอาไว้ในยามฉุกเฉินของราชวงศ์ ล้วนเป็นเงินที่ข้าอดออม เจ้าต้องรับปากข้า หากไม่จำเป็น จะใช้เงินพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงสบตากันทีหนึ่ง เพิ่งรู้ว่าเขามีเงินไม่นานก็มอบเงินให้พวกเขาเสียแล้ว นี่…
ฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นเขาเหม่อลอย จึงขึ้นเสียงสูง เอ่ยอย่างเข้มงวด “อย่าทำอย่างกับไม่เคยเห็นเงิน ยากจนเสียจริง จดจำคำพูดข้าแล้วหรือยัง? ห้ามใช้ และหวังว่าจะไม่ใช้ด้วย ทางที่ดีต่อไปก็มอบให้ซาลาเปาอย่างราบรื่นเสีย”
หยู่เหวินเห้าดึงสติกลับ อุ้มกล่องไม้กลับไปวางที่โต๊ะบนเตียงอรหันต์ “เสด็จพ่อ หม่อมฉันรับไว้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เงินนี้ทรงเก็บกลับไปเถอะ ต่อไปทรงอยากใช้ก็ใช้ มิต้องประหยัดถึงเพียงนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทำหน้าขรึม “บอกให้เจ้ารับก็รับไว้ ข้าใช้ชีวิตเรียบง่าย หลายปีมานี้ก็เคยชินแล้ว จะได้ใช้อะไรกัน? อีกอย่างเงินนี้ก็ไม่ได้ให้เจ้า ที่เจาะจงเรียกพระชายารัชทายาทมาด้วยก็เพื่อจะบอกพวกเจ้า ว่าเงินนี้จะเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินของพวกเจ้าสองคนไม่ได้ แต่ใช้ในยามฉุกเฉินของราชสำนักหรือเรื่องใหญ่ในราชวงศ์”
อึดใจหนึ่ง “แต่ข้าก็หวังว่าจะไม่ต้องใช้ สืบทอดต่อไปเช่นนี้ เงินนี้ก็จะเกิดเป็นทุน แม้ไม่มาก แต่หากมีเรื่องจริงก็ยังจัดการได้”
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นท่าทางหนักใจของเสด็จพ่อแล้ว ก็พลันรู้สึกปวดใจ ดวงตาแดงเล็กน้อย “เสด็จพ่อ ท่านลำบากพระองค์เองมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนให้เขานั่งลง ถอนหายใจเอ่ย “เรื่องห้าหัวเมืองในตอนนั้น ข้าแค่คิดอยากให้อนาคตเจ้าสิบอยู่ห่างไกลอำนาจแห่งราชาจริงๆ เขาเด็กที่สุด ข้าเอาใจเขามากเกินไป แต่ก็คิดผิด คนนอกคิดว่าข้าลำเอียงเจ้าสิบ แต่ตอนนั้นข้าคิดว่าไท่ซ่างหวงก็ลำเอียงกับพวกเจ้า ถึงได้เกิดเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนั้น เวลานี้เมื่อกลับมาคิดดูแล้ว ดีที่ผ่านเรื่องครั้งนั้นมา ทำให้ข้าคิดว่าได้ห่างเหินกับพวกเจ้าพี่น้องมากเกินไป วันนั้นที่ร่วมกินอาหารกับพวกเจ้า เห็นท่าทางดีใจของเจ้าสองแล้ว ข้าก็รู้สึกผิดนัก ดังนั้นหลังจากข้าลงจากตำแหน่งแล้ว ก็จะพยายามอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา กินข้าวสักมื้อก็ดี พูดคุยก็ดี เป็นพ่อธรรมดาคนหนึ่ง มิใช่ราชบิดา ข้าก็อยากดื่มด่ำกับความสุขในครอบครัวเหมือนกัน! ดังนั้นต่อไปจะลำบากหรือไม่ ก็เพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชน นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องพูด ชีวิตจากนี้แม้จะเรียบง่าย แต่กลับเรียกได้ว่าสมปรารถนา เพราะมีลูกหลานห้อมล้อม เปรมปรีดิ์สุขอุรา”