บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1469 ข้าเป็นห่วงเสด็จพ่อ
ในกระบอกตาหยู่เหวินเห้าเจือน้ำตา ซาบซึ้งใจเอ่ย “เสด็จพ่อ หากจะทรงยินยอม หม่อมฉันก็กินอาหารเป็นเพื่อนท่านได้ทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนอมยิ้มมองเขา “กลัวแต่อีกหน่อยเจ้าจะยุ่งงานราชกิจ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มีเวลากิน เป็นฮ่องเต้ก็แบบนี้แหละ แม้แต่เวลาจะหายใจก็ไม่มี ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญู…”
มือเขาทับอยู่บนตั๋วเงิน มองแวบหนึ่ง “ข้าเอามาสามหมื่นตำลึงไว้ใช้เอง ถึงจะน้อยไปหน่อย แต่เชื่อว่าหากลูกๆ ข้าแสดงความกตัญญูคนละเล็กละน้อย ข้าก็น่าจะมีเงินเก็บหลายแสนตำลึงอยู่ ถึงจะบอกว่าค่าใช้จ่ายมีไม่มาก แต่ไม่มีเงินติดต่อก็ไม่อุ่นใจ พวกเจ้าว่าจริงไหม?”
หยู่เหวินเห้ากำลังซาบซึ้ง เมื่อได้ฟังเสด็จพ่อว่าดังนี้แล้วย่อมผงกศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ!”
รอยยิ้มฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆ กลับมาบนใบหน้า “เช่นนั้นก็ดี หากข้ามีสักห้าแสนตำลึงก็อุ่นใจแล้ว”
ห้าแสนตำลึง ก็พอๆ กับส่วนที่เขาซื้อหมู่ตึกเหมย หากได้ส่วนนี้กลับมาเขาก็พอใจแล้ว
หลังจากหยู่เหวินเห้าซาบซึ้งจบก็พลันนึกขึ้นได้ ตะลึงงันทันที มองตั๋วเงินในกล่อง แล้วมองเจ้าหยวน นี่…
เงินในกล่องใช้ไม่ได้ แต่เสด็จพ่อต้องการห้าแสนตำลึง นี่มิใช่ให้เขาควักอีกส่วนหนึ่งหรือ?
“เอาล่ะ เจ้านำคำพูดนี้บอกกับพี่น้องเจ้า เตรียมเงินเสร็จแล้วก็ส่งเข้าวังมา” เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้การตกปากรับคำ ก็กระปรี้กระเปร่ากว่าเดิมมาก เสียหมู่ตึกเหมยไป ก็ถือว่าได้ทุนคืนมา
ตลอดช่วงเวลานั้นหยวนชิงหลิงไม่พูดแม้แต่คำเดียว ต้องเสียไปแล้วอย่างน้อยหลายหมื่นตำลึง นางจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่ใช่ แต่พอคิดว่าเสด็จพ่อเก็บเงินจำนวนนี้และมอบให้กับมือเจ้าห้าแล้ว ก็เห็นได้ว่าความตั้งใจนี้สูงค่านัก มิใช่เงินทองจะประเมินได้
สองสามหมื่นตำลึง รวมๆ แล้วก็ยังมีได้
ด้วยเช่นนั้น สองสามีภรรยาจึงอุ้มตั๋วเงินออกวังไปรวบรวมเงิน
เมื่อกลับมานับที่จวน บวกกับหนังสือกู้ยืมที่ปล่อยกู้ออกไปแล้วก็มีมากถึงสามล้านตำลึงจริงๆ และเป็นโรงแลกเงินของทางการทั้งหมด เรียบร้อยดีมาก หากไม่วางใจก็ไปแลกเป็นเงินแล้วเก็บอุโมงค์ใต้ดินได้
“นี่เป็นเงินที่เสด็จพ่อเก็บมาสิบกว่าปี เห็นได้ว่าสิบกว่าปีมานี้ทรงใช้ชีวิตมัธยัสถ์เพียงใด” หยู่เหวินเห้าถอนใจเบา ต่อไปเขาก็ต้องมัธยัสถ์บ้างเช่นกัน
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ไม่เพียงแต่เสด็จพ่อจะประหยัด แม้แต่ท่านหญิงในวังก็เช่นกัน มิน่าเล่าบรรดาท่านหญิงจึงต้องให้ทางบ้านส่งเงินมา”
หยู่เหวินเห้านึกถึงไท่ซ่างหวงกับอ๋องชินเฟิงอัน พวกเขาก็ประหยัดมากเช่นกัน เป็นดั่งคำพูดนั้นของเจ้าหยวน ตราบใดที่เป่ยถังไม่หลุดพ้นจากความยากจน พวกเขาก็ไม่อาจเสพสุขเป็นแบบอย่างได้ หลายปีมานี้ลูกหลานในราชวงศ์ยับยั้งชั่งใจได้กว่าครึ่ง ไม่ถึงกับใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อหยิ่งทะนง นี่ก็เป็นเพราะมีพวกเขาเป็นแบบอย่างนี่เอง!
หยู่เหวินเห้าเก็บตั๋วเงินไว้ในกล่อง ล็อกอยู่ในห้องเก็บของ แล้วให้ทังหยางไปเชิญอ๋องชินทั้งหลายมาที่จวน หารือเตรียมตัววางแผนกับเรื่องในราชวงศ์
เขากำชับทังหยางหนัก ว่าท่านชายสี่เขยแห่งราชวงศ์ก็ต้องมาด้วย อีกทั้งตอนที่เชิญพวกเขา ก็ห้ามพูดว่าเป็นเรื่องเงินเด็ดขาด ป้องกันไม่ให้หลบหนี
อ๋องคนอื่นๆ ต่างว่าง่าย ส่วนอ๋องอานทางนั้นทังหยางไปเชิญด้วยตนเอง
อ๋องอานกำลังตุ้มๆ ต่อมๆ หวั่นวิตกกับเรื่องที่หยู่เหวินเห้าจะขึ้นครองราชย์ จู่ๆ ทังหยางก็มาเชิญถึงจวน หัวใจจึงหล่นตุบ ถามทังหยาง “ไปด้วยเรื่องอะไร?”
ทังหยางก้มหน้าด้วยความขวยใจ “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมก็ไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ทรงให้กระหม่อมมาเชิญท่านเท่านั้น มิได้บอกว่าเรื่องอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อนั้นอ๋องอานจึงตื่นตระหนก “แล้วยังเชิญผู้อื่นหรือไม่?”
ทังหยางเอ่ย “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่รับคำสั่งมาเชิญท่านเท่านั้น”
“อะไรก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าเชิญผู้ใดบ้าง” อ๋องอานคิดแล้วรู้สึกว่าไปไม่ได้ ดีไม่ดีจะจัดงานเลี้ยงหลอก จึงรีบปัดมือ “ข้าไม่ค่อยสบาย เจ้าบอกเขาว่าไว้วันหลังข้าจะไปหาเขา”
ทังหยางจรดมือ “ท่านอ๋องเสด็จไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นเกรงว่าองค์รัชทายาทยังเสด็จมาด้วยองค์เอง”
“เขาจะมาเอง?” อ๋องอานมองเขา นัยน์ตาดุ “กล้าหรือ?” หากทำให้เหยียนเอ๋อกับลูกตกใจ แม้นต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะให้เขาไม่ได้อยู่สุข
ทังหยางชะงัก “ท่านอ๋องตรัสเช่นนี้ทรงหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดองค์รัชทายาทจึงมิกล้า?”
ทังหยางแค่คิดว่าอ๋องอานรู้จุดประสงค์ของรัชทายาท จึงอดจี๊ดขึ้นมาไม่ได้
แต่อ๋องอานกลับคิดว่าทังหยางกำลังเยาะเย้ย เดือดดาลจนหน้าแดงก่ำ “ได้! ข้าจะไป ดูสิว่าหยู่เหวินเห้าจะทำอะไรได้ เจ้ารอก่อน ข้าจะเข้าไปบอกชายาสักหน่อย”
ทังหยางจึงเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมจะล่วงหน้าไปก่อน!”
ครั้นอ๋องอานเห็นเขากลับไปเองก่อน เหมือนมั่นใจว่าเขาไม่กล้าไม่ไป ยิ่งเดือดหนัก สะบัดแขนเสื้อด้วยความโมโห หมุนตัวเข้าจวนหาพระชายาอาน
เขาให้พระชายาอานเก็บข้าวของ เตรียมรถม้าก่อน หากเขาไม่กลับมาจากจวนอ๋องฉู่ ก็ให้พวกนางแม่ลูกไปจากเมืองหลวง กลับจวนเจียงเป่ยทันที
พระชายาอานจะหัวเราะก็ไม่ใช่ จะร้องไห้ก็ไม่ใช่ “รัชทายาทคงแค่เชิญเจ้าไปคุยธุระหน่อย ไม่ถึงกับร้ายแรงเช่นนี้กระมัง?”
อ๋องอานเอ่ย “เขายังจะคุยธุระอะไรกับข้าได้? ตอนนี้ก็กำหนดวันขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เขาคิดว่าตำแหน่งใกล้จะได้มา จึงอยากกำจัดตัวกีดขวางทั้งหมดเสียในตอนนี้ ข้าเคยชิงตำแหน่งรัชทายาทกับเขา เขาจะปล่อยข้าไปได้อย่างไร? ที่เมื่อก่อนทำดี ก็คงเพื่อชื่อเสียงดีงามจำต้องแกล้งทำ เวลานี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว เขาต้องไม่ไว้ข้าแน่ นี่มิใช่การพูดเกินจริงให้กลัว เจ้าแค่เชื่อข้าก็พอ”
พระชายาอานส่ายหน้า “รัชทายาทมิใช่คนเช่นนั้น”
อ๋องอานร้อนใจ “เขาเป็นคนเช่นไร แล้วเจ้ามองออกได้อย่างไร? ทำตามที่ข้าบอก จะเสี่ยงไม่ได้ อย่าเชื่อใครมากเกินไป เขาทำเช่นนี้ ก็ว่าอะไรไม่ได้ หากเป็นข้าก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน”
พระชายาอานหน้าขรึมเล็กน้อย “เจ้าคิดอย่างไรหรือเจ้าจะทำอะไรก็เป็นแค่การสมมุติเท่านั้น เจ้าทำ ก็มิได้หมายความว่ารัชทายาทจะทำด้วย ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ที่นี่รอดูพิธีขึ้นครองราชย์”
“ไยเจ้าจึงดื้อดึงเช่นนี้? จะให้อานจือเสี่ยงกับเราไม่ได้!” อ๋องอานหัวเสียกล่าว
พระชายาอานวางอานจือลง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนมองอ๋องอาน เอ่ยอย่างจริงจัง “หากเขาจะทำร้ายเราจริง ถึงข้ากับอานจือจะออกจากเมืองหลวง เขาก็ส่งคนมาสังหารเราได้ แต่ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น เจ้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่รอเจ้ากลับมา หากต้องตายจริง เราสามคนก็จะตายด้วยกัน มิต้องพูดอีก”
อ๋องอานผงะ นัยน์ตาค่อยๆ หนักอึ้ง ครู่หนึ่ง “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล หากเขาต้องการจะฆ่าเรา แม้หนีไปก็ไม่มีประโยชน์”
เขาหมุนตัว แต่ด้วยมีชนักติดหลัง บวกกับล้มป่วย ย่างก้าวจึงไม่มั่นคง
ครั้นควบม้าไปถึงจวนอ๋องฉู่ ก็เห็นว่าอ๋องชินคนอื่นๆ ก็มาด้วย เมื่อนั้นเขาจึงโล่งอก หากน้องห้าจะสังหารเขาจริง คงไม่ทำเรื่องเขลาขนาดให้คนอื่นมาเป็นสักขีพยานด้วยเช่นนี้
จากนั้นอดรู้สึกว่าตนคิดมากไปเองไม่ได้ ล้มป่วยไปเสียเปล่าๆ
หลังจากเข้าไปแล้ว เขาก็ระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด เข้านั่งกับทุกคน ระหว่างที่พี่น้องสนทนากัน หยู่เหวินเห้าเห็นเขาเงียบ จึงเอ่ยขึ้น “เห็นว่าท่านป่วย ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
อ๋องอานเอ่ยอย่างเซื่องซึม “ไม่เป็นไร ข้าแค่เป็นห่วงอาการของเสด็จพ่อ นอนไม่หลับหลายคืนจนล้มป่วย กินยาไปสองสามเทียบ ไม่เป็นไรแล้ว”
อ๋องซุนเงยหน้ามองเขาชืดๆ แวบหนึ่ง “เพ้อเจ้อ เจ้าห่วงตัวเองต่างหาก กลัวว่าน้องห้าขึ้นบัลลังก์แล้วจะคิดบัญชีทีหลัง จะเอาหัวไร้หูนี้ของเจ้า”
อ๋องอานขายหน้าโมโหจนหน้าแดงก่ำ “ท่านพูดเพ้อเจ้ออะไร? ข้าเคยกลัวเสียเมื่อไร?”
อ๋องซุนเฮอะเสียงหนึ่ง “ข้ายังไม่รู้จักเจ้าอีกหรือ? จิตใจคับแคบ ความคิดคับแคบของเจ้า เก็บซ่อนอยู่หรือ?”
อ๋องอานเดือดดาลลุกขึ้น “ท่านพูดเช่นนี้ เราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกัน ข้าไปล่ะ!”
“ไปไม่ได้!” หยู่เหวินเห้ารีบห้ามไว้ทันที ล้อเล่นอะไร? เขาไปแล้ว มิใช่ต้องรวบรวมอีกส่วนหนึ่งหรือ? เขาลุกขึ้นยืนฉุดอ๋องอานไว้ แล้วหันไปพูดกับอ๋องซุน “พี่รอง ท่านอย่าพูดอีกเลย”