บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1472 ให้นางไปเมืองโร่ตู
ฮองเฮากังวลจุดนี้จริงๆ แม้บอกว่าตามหลักแล้วนางควรได้เป็นฮองไทเฮาแต่ปัญหาคือนอกจากมารดาแท้ๆ ที่ล่วงลับไปแล้วของรัชทายาท ยังมีหวงกุ้ยเฟยอีกคน แต่งตั้งเป็นฮองไทเฮาแล้ว คนหนึ่งเป็นมารดาแท้ๆ อีกคนเป็นมารดาเลี้ยง เช่นนั้นนางจะเป็นเช่นไร?
อีกทั้งเรื่องบุญคุณความแค้นในอดีตก็มีอยู่ในใจ
ดังนั้นขณะที่หยวนหย่งอี้เข้าวังไปปรนนิบัติ ฮองเฮาก็ดึงนางไประบายความทุกข์ บอกว่าหากนางไม่ได้แต่งตั้งเป็นฮองไทเฮาเช่นนั้นก็ขอตายเสียดีกว่า
หยวนหย่งอี้เข้าใจความหมายของนาง ฮองเฮาหวังว่านางจะไปพูดกับหยวนชิงหลิงสักหน่อย ดังนั้นรอจนฮองเฮาปรับทุกข์เสร็จแล้ว หยวนหย่งอี้จึงเอ่ย “ทั้งหมดนี้หม่อมฉันมิอาจก้าวก่ายได้เพคะ แต่พระองค์มิจำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้”
ฮองเฮาจับมือหยวนหย่งอี้ มองนางด้วยดวงตาแดง “ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนไม่ดีกับพวกเขา แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เห็นว่าพระชายารัชทายาทเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่คิดแค้น แต่ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน กลัวแต่เรื่องไม่คาดฝัน เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
หยวนหย่งอี้มองนาง “เสด็จแม่ หากทรงคิดว่าสมัยก่อนไม่ดีกับพวกเขา เช่นนี้ชดเชยเวลานี้ก็ยังทันนะเพคะ”
ฮองเฮาผงะ “จะชดเชยอย่างไร? จะให้ข้าไปขอโทษรุ่นหลังก็ไม่ใช่กระมัง”
หยวนหย่งอี้หัวเราะ น้ำเสียงชืดเล็กน้อย “หากไม่สบายพระทัย ขออภัยจะไม่ได้ตรงไหนเพคะ? ผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน อีกหน่อยฟ้าเป่ยถังก็อยู่ในมือของรัชทายาท ต่อให้ขออภัยต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ ก็ไม่ได้เสียฐานะของเสด็จแม่ อีกอย่างในเมื่อทรงขออภัยแล้ว รัชทายาทจะติดใจเรื่องในอดีตก็ไม่ดี มิเช่นนั้นเขาก็จะดูใจแคบ อกตัญญู”
แม้ฮองเฮาจะรู้สึกว่านางพูดได้มีเหตุผล แต่อย่างไรก็ลดทิฐิไม่ลง อีกทั้งหากว่าตามจริง นางก็ไม่ถือว่าผิดต่อรัชทายาท กอปรกับนางเป็นพระมารดาของรัชทายาท ยังมีฐานันดรอยู่
หยวนหย่งอี้รู้ความคิดนาง จึงไม่ได้เกลี้ยกล่อม ที่จริงนางรู้ว่ารัชทายาทและชายาไม่สนใจคำขอโทษของฮองเฮา และไม่แก้แค้นฮองเฮาด้วย
ที่นางกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนรัชทายาทและชายา พวกเขาควรได้รับคำขอโทษจากฮองเฮา
หลังจากหยวนหย่งอี้ปรนนิบัติให้นางนอนแล้ว ก็พาพี่หญิงเป่าออกวังไป
นางไม่ได้ไปจวนอ๋องฉู่ แต่กลับบ้านเดิมแทน เมื่อรัชทายาทขึ้นครองราชย์ คิดว่าต้องจัดงานแต่งตั้งใหญ่โตแน่ เช่นเดียวกับงานแต่งงานของพวกเขา ชดเชยงานแต่งงานที่น่าขายหน้าและกะทันหันในตอนนั้น
พี่หยวนดูแลพวกนางมาตลอด โดยเฉพาะกับอะซี่ ดังนั้นพิธีแต่งตั้งครั้งนี้ นางกับทางบ้านควรแสดงออกสักหน่อย
ครั้นเอ่ยถึงหูหมิงรับคำสั่งให้จับตามองแม่นางโจวตลอด แม่นางโจวคิดจะไปหาจิ้งเหอจริงๆ แต่นางอยู่ในเมืองหลวงสืบอยู่นานก็ไม่รู้ว่าบ้านของจิ้งเหอจวิ้นจู่อยู่ที่ใด
ตั้งแต่นางอวดโตแสดงความรักต่ออ๋องเว่ยแล้ว นางก็มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนในเมืองหลวง ทว่าประชาชนในเมืองหลวงต่างเคารพในความมีเมตตาของจิ้งเหอจวิ้นจู่มาก ดังนั้นจึงไม่ยอมบอกที่อยู่ของจิ้งเหอจวิ้นจู่
หลังจากสะเปะสะปะเช่นนี้อยู่หลายวัน นางก็ระเบิดอารมณ์กับหูหมิง “เจ้าตามข้าตลอดเวลาเพื่ออะไร?”
หูหมิงเอามือกอดอก พูดอย่างเย็นชา “ข้ารับคำสั่งให้ตามเจ้า เจ้าไม่ออกจากเมืองหลวงหนึ่งวัน ข้าก็จะตามเจ้าอีกหนึ่งวัน”
“เจ้าเป็นสุนัขหรือ? สุนัขบ้า!” แม่นางโจวเดือดดาลสุดขีด
หูหมิงหน้าเย็น ปล่อยให้นางลบหลู่ด่าทอ เสียงด่าทองของแม่นางโจวราวกับการชกใส่นุ่น ไร้กำลัง ดังนั้นจึงไม่สนใจเขาแล้วหมุนตัวไป
หูหมิงก็ตามนางเหมือนเดิม นางกลับโรงเตี๊ยม เขาก็เฝ้าอยู่นอกโรงเตี๊ยม
แม่นางโจวโมโหควันพุ่งเปิดหน้าต่างออก หน้าต่างอยู่ทางถนน เห็นหูหมิงได้พอดี ด้วยโทสะ นางจึงหยิบเหยือกชาโยนลงไป แน่นอนว่าไม่ถูกหูหมิงอยู่แล้ว หูหมิงไม่โกรธ ยืนเป็นมนุษย์ไม้อยู่อย่างนั้น
หลังจากจับตามองอยู่อย่างนี้หลายวัน ในที่สุดแม่นางโจวก็ยอมแพ้ เก็บห่อสัมภาระจะไปจากเหมืองหลวง แต่ขณะที่นางจะขี่ม้าออกเมืองกลับเห็นคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าซอยถนน รูปร่างนั้นก็คืออ๋องเว่ย คนที่ทำให้นางติดตามมาถึงเมืองหลวงนั่นเอง
เขายืนอยู่ในซอยถนน นัยน์ตาจับจดมองหญิงด้านนอกคนหนึ่งที่จูงลูกเดินผ่านไป หญิงคนนั้นสวมชุดสีม่วงอ่อน หน้าตาดี กำลังน้อมเอวพูดกับเด็กที่อยู่ข้างๆ ใบหน้ามีความอ่อนโยนสงบ คิ้วนางดังภูเขา จมูกกระจุ๋มกระจิ๋ม ไม่ผัดแป้งแต่กลับมีความสง่างาม ดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่นัยน์ตากลับมีความสุขุมมุ่งมั่น
จากแววตาลุ่มหลงที่อ๋องเว่ยมองนาง นางก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือจิ้งเหอจวิ้นจู่แน่
เคยคิดว่าบางทีนางอาจงดงาม เคยคิดว่านางอาจโดดเด่น แต่ไม่เคยคิดว่านางจะสง่า สงบ บริสุทธิ์เช่นนี้ หัวใจแม่นางโจวราวกับถูกอัดเข้าอย่างจัง
นาทีนี้ นางรู้ว่าตนแพ้แล้ว
เพราะหญิงผู้นั้นมีสิ่งหนึ่งที่นางมิอาจมีได้ตลอดชีวิต นั่นก็คือความสงบนิ่งดั่งสายน้ำ บุคลิกนี้แวบเดียวก็เห็นได้
แต่ชีวิตนี้นางคิดอะไรได้ก็ทำทันที สิ่งที่อยากได้ก็พยายามไขว่คว้า กลับไม่เคยสงบจิตใจแยกแยะว่าอะไรคือสิ่งที่ควรไขว่คว้า หรืออะไรที่ควรปล่อยวาง
นางมองนางเดินผ่านไปเงียบๆ และค่อยๆ หายลับไปจากเส้นสายตานางเหมือนกับอ๋องเว่ย
นางล่องลอย ถือสายคุมบังเหียน ปล่อยให้ม้าหมุนอยู่ที่เดิมอยู่นาน
อ๋องเว่ยก็เห็นนางเช่นกัน เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าม้า แม่นางโจวหลุบตาลงมองเขา ดวงตาแดง นางปรารถนาบุรุษผู้นี้ แต่ชาตินี้เป็นไปไม่ได้แล้ว
อ๋องเว่ยมองนางแล้วเอ่ย “กลับจวนเจียงเป่ยเถอะ แล้วก็เชื่อฟังปู่ของเจ้า พาคนของเจ้าไปเมืองโร่ตู บัดนี้ที่นั่นเป็นอาณาเขตของเป่ยถังเราแล้ว เจ้าอยากพิสูจน์มาตลอดว่าเจ้าไม่ด้อยไปว่าผู้ชาย เช่นนั้นก็ไปพิสูจน์ตัวเองกับทุกคนที่เมืองโร่ตูเถอะ!”
แม่นางโจวมองเขาชืดๆ “ทรงอยากให้ข้าน้อยไปเป็นคนเบิกทางให้พระนัดดาของพระองค์หรือเพคะ? หรืออยากให้ข้าน้อยไปแต่งงานที่นู่น? ไม่ว่าทรงวางแผนอย่างไร ข้าน้อยก็ไม่รับปากทั้งนั้นเพคะ”
ดวงตาอ๋องเว่ยเรียบ “ข้าแค่รู้สึกว่าในเมื่อเจ้ามีความหาญกล้าเยี่ยงนักรบ ก็ไม่ควรติดอยู่กับความรักชายหญิง ควรมีความกล้าและความภักดีตอบแทนราชสำนัก ทำความปรารถนาของปู่เจ้าให้เป็นจริง”
“ทรงตรัสดีนี่ แล้วพระองค์เล่า? มิใช่ติดอยู่กับความรักชายหญิงเหมือนกันหรือเพคะ? ต่อไปคงไม่เสด็จกลับแล้วกระมัง? ทรงจะประทับที่นี่มองนางอย่างหลงใหล?” ดวงตาแม่นางโจวเจือน้ำตา แต่กลับเอ่ยอย่างเย็นชา
อ๋องเว่ยเอ่ย “ไม่ ข้าจะกลับจวนเจียงเป่ยเหมือนเดิม ข้ามีภาระ รับบัญชาประจำอยู่ชายแดน เฝ้าปกป้องประชาชนของเป่ยถัง เพียงแต่คำพูดที่เจ้าเคยพูดกับข้าบนเขา คงแค่เอาใจข้ากระมัง? มิได้มีใจตอบแทนราชสำนักแทนปู่เจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวจากไป
ครั้นเห็นแผ่นหลังที่ราวกับต้นหยกแล้ว หัวใจแม่นางโจวก็ราวกับถูกเชือดเฉือน น้ำตาทำให้ดวงตาทั้งคู่พร่ามัว ดวงใจเจ็บปวดและซับซ้อน ถือเชือกคุมบังเหียนตามไป เอ่ยด้วยโทสะ “ทรงคิดว่าข้าน้อยไม่รู้ว่าทรงใช้วิธีการกระตุ้นนับรบหรือ? ข้าน้อยไม่ไป ทรงเลิกคิดได้เลยเพคะ!”
อ๋องเว่ยเงียบ เมื่อถึงนอกร้านเหล้าด้านหน้าก็จูงม้า แล้วพลิกตัวขี่ม้าจากไป
แม่นางโจวเช็ดน้ำตา แอบกัดฟัน แล้วขี่ม้าออกจากเมืองหลวง
หูหมิงมองดูอยู่ไกลๆ โล่งอก จากนั้นก็กลับไปรายงาน
เขากลับไปเล่าการสนทนาของอ๋องเว่ยกับแม่นางโจวให้หยู่เหวินเห้าฟัง หยู่เหวินเห้าฉงนใจเล็กน้อย พี่สามให้นางไปเมืองโร่ตู?
ห้าหัวเมืองนั้น หากตามกันแบ่งแล้ว เมืองโร่ตูนั้นแบ่งให้กับเสี่ยวกวากวา
พี่สามวางแผนอะไรอยู่?