บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1473 แขกต่างแดนมาถึงแล้ว
หยู่เหวินเห้ารอจนอ๋องเว่ยกลับมาแล้วจึงฉุดเขาเข้าห้องหนังสือ
อ๋องเว่ยสะบัดชุดคลุม ยื่นมือปัดๆ จุดที่ถูกเขาฉุด ยับนิดหน่อย เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจ “กระชากเสียแล้วเจ้าต้องชดใช้ด้วย!”
หยู่เหวินเห้ามองเขา ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดประโยคหนึ่ง “ท่านเปลี่ยนไปแล้ว!”
อ๋องเว่ยนั่งลง สงบใจผ่อนคลายอารมณ์ “เปลี่ยนอะไร? สมัยก่อนเจ้าจนได้คนเดียว วันนี้ข้าจนบ้างมิได้หรือ?”
หยู่เหวินเห้ากรอกตาขาวใส่ “ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ หูหมิงบอกว่าทางให้แม่นางโจวพาคนไปเมืองโร่ตู ความหมายว่าอย่างไร? ท่านไม่ใช่บอกว่านางร้ายมากหรือ? แล้วให้นางไปที่นั่นทำไม?”
อ๋องเว่ยวางมือทั้งสองไว้ที่หัวเข่า มองเขา “ความร้ายของนางนี้ ถึงเมืองโร่ตูแล้วจะเป็นประโยชน์มาก เมืองโร่ตูเป็นเมืองของกวากวา ถึงต่อไปเจ้าไม่ให้นางไป แต่ก็ต้องมีคนที่เราไว้ใจได้เข้าไปอยู่ที่นั่นก่อน ร่วมมือกับแม่ทัพใหญ่ฮู่ หรือไม่ก็จับตามองกันและกัน แม่ทัพใหญ่ฮู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง เพราะนิสัยแม่นางโจวเหมือนกับท่านหญิงฮู่ แม่ทัพใหญ่ฮู่ทานกับคนนิสัยแบบนี้ไม่ไหว”
หยู่เหวินเห้าเหนือคาดมาก “คนที่วางใจได้? ท่านเชื่อแม่นางโจว?”
อ๋องเว่ยหัวเราะ “นางผู้นี้นิสัยตรงไปตรงมา หนักแน่น เป็นยอดคนที่มองทะลุปรุโปร่ง กัดไม่ปล่อย ยอมบากบั่นถึงที่สุดเพื่อเรื่องเรื่องหนึ่ง นิสัยเช่นนี้เหมือนกับตาของนาง ข้าคลุกคลีกับนางมาระยะหนึ่ง สังเกตนิสัยของนางมาก ข้าเชื่อนาง”
“ตาของนางคือผู้ใด?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
“อู๋เวยเจิ้น นางเป็นหลานสาวคนเล็กของอู๋เวยเจิ้น แต่ก็ได้รับความชื่นชมจากอู๋เวยเจิ้นเช่นกัน”
“เป็นเขาเองหรือ?” หยู่เหวินเห้าอ้าวเสียงหนึ่ง เขารู้จักอู๋เวยเจิ้นผู้นี้ สมัยก่อนรับตำแหน่งที่ศาลต้าหลี่ ตอนหลังย้ายไปอยู่กองทัพของอ๋องชินเฟิงอัน ภายหลังไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์ เขาก็ไปประจำอยู่ที่จวนเจียงเป่ย เพียงแต่ปลดเกษียณมาหลายปีแล้ว เขาเป็นแม่ทัพเก่าที่จงรักภักดีมีคุณธรรมกล้าหาญคนหนึ่งจริงๆ
“มิผิด ตอนนี้ท่านอู๋ใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเจียงเป่ย หลายปีก่อนก่อตั้งกองกำลังป้องกันตนเองหญิงขึ้นมา อย่าเห็นแม่นางโจวอายุยังน้อยนะ ปีที่แล้วถูกเสนอให้เป็นหัวหน้ากองกำลังป้องกันตนเองหญิงแล้ว ในมือยังมีทหารหญิงอีกกลุ่มหนึ่ง และรายจ่ายทั้งหมดของทหารหญิง ก็เป็นเจ้าเมืองโจวของจวนเจียงเป่ยใช้เงินท้องที่จ่าย กองกำลังหญิงเหล่านี้หลักๆ ก็เพื่อป้องกันคนเป่ยโม่ฉุดคร่ารังแกผู้หญิงเป่ยถังเรา นางพวกนี้เคยสังหารคนเป่ยโม่มาไม่น้อย ฉะนั้นจะมองข้ามพวกนางไม่ได้”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าก่อนทำสงครามใหญ่สองสามปี คนเป่ยโม่มีประสงค์ร้ายรุกล้ำเขตแดนมาตลอด เมืองตะเข็บชายแดนอย่างนั้น จะเคลื่อนทัพโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดก็ไม่เหมาะสม ให้ทางการท้องที่ตั้งองค์กรรับมือกับคนเป่ยโม่จะเหมาะสมที่สุด ดูท่าเจ้าเมืองโจวผู้นี้ก็เก่งกาจอยู่เหมือนกัน
เมื่อถามสาเหตุชัดเจนแล้ว หยู่เหวินเห้าก็วางใจ ในเมื่อเป็นหลานของอู๋เวยเจิ้น ทั้งพี่สามยังยกย่องหนักหนา เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว
“วางใจเถอะ ไว้ข้ากลับจวนเจียงเป่ยแล้วจะคุยกับพวกนางให้เข้าใจเอง เมืองโร่ตูเป็นของจวิ้นจู่ ต่อไปพวกนางต้องถือจวิ้นจู่เป็นนาย” อ๋องเว่ยเอ่ย
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ “ท่านจัดการเองเถอะ พี่สาม ตอนนี้ท่านนับวันยิ่งทำงานเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ”
อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้แข็งทื่อเป็นตอไม้ขนาดนั้นแล้ว ความมุทะลุน้อยลง สุขุมมากขึ้น ทั้งยังสามารถมองทะลุความหยาบในความเป็นไปของโลกได้มากขึ้น
อ๋องเว่ยหัวเราะเป็นธรรมชาติ “ชมแต่ปากมิสู้ให้เป็นรูปธรรมหน่อย เลี้ยงเหล้าข้าสักมื้อ!”
หยู่เหวินเห้างืด ดูท่าแล้วเขาจะขอกินด้วยตลอดชีวิต
เรื่องยิบย่อย เรื่องวุ่นวายล้วนจัดการเรียบร้อยเป็นอย่างๆ แล้ว กรมพิธีการและสำนักดาราศาสตร์ร่วมกับกรมวังกำลังจัดแจงเรื่องขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่
วันนี้อ๋องหวยของกรมวังพาคนมา วัดตัวของรัชทายาทและพระชายา ตัดเย็บชุดมังกร ชุดหงส์และชุดแต่งงาน
สองวันก่อนคนของโรงทอกำหนดลวดลาย เสนอให้ฮ่องเต้หมิงหยวนดู ในนั้นชุดมงคลรวมไปถึงเสื้อคลุมจักรพรรดิ ชุดมังกร ชุดแต่งงาน นี่ล้วนเป็นชุดที่ต้องเร่งทำทันที ชุดลำลองค่อยๆ ทำได้ คนของโรงทอเจียงหนิงนำผ้าต่วนสี ผ้าไหม ผ้าตาข่าย เค่อซือ (*วิธีการทอผ้าในสมัยโบราณ) ส่งเข้าเมืองหลวงด้วยการเฆี่ยนม้าเร็ว จากนั้นก็เป็นช่างโรงทออีกหลายร้อยชีวิตเริ่มเร่งงานทั้งวันทั้งคืน ต้องทำชุดมงคลของฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนวันมงคล
เรื่องนี้กรมวังทำคุณูปการมากสุด เดิมทีอ๋องหวยยังรู้สึกขัดใจเล็กน้อย เพราะตั้งแต่รับตำแหน่งมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยผ่านเรื่องใหญ่เช่นนี้มาก่อน ดีที่เบื้องหลังมีหรงเยว่ หัวหน้ารองคนก่อนของสำนักเหลิ่งหลัง นางอยู่เบื้องหลังวางแผนในกระโจม ส่วนสำนักเหลิ่งหลังก็แทบคุ้นเคยกับการวิ่งโร่เพื่อนาง ที่ผ้าต่วนสีกับเค่อซือสามารถส่งถึงเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วก็เพราะนางทั้งนั้น
นอกจากชุดของหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงแล้ว ชุดของพวกพระราชนัดดาองค์ใหญ่ พระราชนัดดา จวิ้นจู่ก็ต้องรีบทำใหม่ทันทีเหมือนกัน เพราะเมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็จะแต่งตั้งไท่ซ่างและฮองไทเฮาเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เป็นบรรดาลูกๆ
ส่วนกรมการพระนครของอ๋องฉีรับผิดชอบดูแลความสงบในเมืองหลวง เริ่มจากห้ามทำกิจกรรมยามวิกาล ส่งคนออกลาดตระเวน อ๋องเว่ยร่วมช่วยด้วย แบ่งเบาความกดดันของอ๋องฉีส่วนหนึ่ง เริ่มตรวจตราโรงเตี๊ยมทุกแห่งในเมืองหลวง บุคคลที่น่าสงสัยก็ขับออกจากเมืองหลวงทั้งหมด
ศาลหงหรูของอ๋องซุนก็เริ่มยุ่งแล้ว เตรียมรับแขกต่างแดน
อ๋องชุนกับหมันเอ๋อก็ตรวจตราแถบนอกเมือง ดูว่ามีคนน่าสงสัยหรือไม่ แม้แต่อ๋องอานก็ไม่ว่างงาน นำทหารในจวนหลายนายตรวจสอบหมู่บ้านทีละแห่ง
ในทางกลับกัน หยู่เหวินเห้ากลับว่างที่สุด เพราะหลังจากสงครามในแคว้นก็ไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เหลิ่งโสวฝู่กับหงเย่เป็นผู้ช่วยมือทองจริงๆ เรื่องในราชสำนัก โดยมากพวกเขาก็จัดการได้หมด หยู่เหวินเห้าเข้างานก็แค่ดูฎีกาแล้วก็ลงว่าตรวจแล้ว
แขกต่างแดนที่มาไวที่สุดก็คือทูตของต้าโจว เฉินจิ้งถิงและภรรยานำต้าโถวลูกชายมา
หยู่เหวินเห้ารู้ข่าวก่อนแล้วว่าพวกเขามาถึง ดังนั้นจึงออกไปต้องรับพร้อมกับอ๋องซูนแห่งศาลหงหรู รับคนมาที่จวนอ๋องฉู่ทันที ไม่ให้พักที่โรงเตี๊ยม
สหายสนิมไม่พบกันนาน บัดนี้เมื่อได้เจอกันอีกครั้ง ย่อมหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือทันที ให้คนเตรียมสุราอาหาร ทิ้งลูกเมียของตัวเองแล้วพูดคุยกันยกหนึ่ง
เหล้าลงท้องไปสองสามจอก จิ้งถิงก็ถอนใจ “คิดไม่ถึง จากกันครั้งนั้น ท่านยังเป็นรัชทายาท วันนี้เมื่อได้พบ ท่านกลับเป็นผู้ที่จะขึ้นบัลลังก์ เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน หวังแต่ครั้งหน้าพบกันอีก จะไม่ใช่งานแต่งของลูกๆ”
“เช่นนั้นมิได้ เช่นนั้นมิได้ พบกันปีละหนก็ที่สุดแล้ว” หยู่เหวินเห้ารีบเอ่ย ว่าแล้วก็ชะงัก “งานแต่งลูกๆ?”
เขาอดนึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับจิ้งถิงไม่ได้ กระวนกระวายใจเล็กน้อย หากเขาพูดถึงอีก แล้วตนจะปฏิเสธอย่างไรไม่ให้เสียน้ำใจ?
จิ้งถิงหัวเราะเอ่ย “ไม่ใช่หรือ? อย่างมากก็สิบกว่าปี เด็กๆ ก็จะแต่งกันแล้ว สิบกว่าปีก็แค่ชั่วดีดนิ้วเท่านั้น”
อย่างไม่รู้ตัว ต้าโถวกับเด็กๆ ก็หกขวบแล้ว หากแต่งงานไว อายุสิบหกหรือสิบแปด นั่นมิใช่เรื่องในอีกสิบปีหรือ?
หยู่เหวินเห้าเคยไปยุคปัจจุบัน รู้ว่าแต่งงานเร็วไม่ดี เขาต้องไม่ยอมให้ซาลาเปาแต่งงานเร็วเช่นนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงหัวเราะเจื่อน “ยังเร็วไปหน่อย”
“ปล่อยตามวาสนาเถอะ เรื่องของคนหนุ่ม แก่ๆ อย่างเราก็ยุ่งไม่ได้” จิ้งถิงหัวเราะพลางเอ่ย
หยู่เหวินเห้าเบิ่งตาโต รีบแก้ต่าง “ข้าไม่ใช่คนแก่!”
“นั่นไม่ใช่เรื่องช้าเร็วหรือ? ถึงอย่างไรลูกแต่งงาน ข้าก็ปลดเกษียณแล้ว เฝ้ากระบี่เทพใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ท่องเที่ยวทั่วแดนกับจิ่นหนิง ใช้ชีวิตสงบของตัวเอง”
“ปลดเกษียณ เช่นนั้นก็ดีจริงๆ เลย” ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงอนาคต หากเขาปลดเกษียณ ท่องเที่ยวไปทั่วกับเจ้าหยวน ไปยุคปัจจุบันหนึ่งปี อยู่ที่นี่หนึ่งปี วันเวลาจะสวยงามแค่ไหนกัน
แต่ใครจะคิดเล่า ขุนศึกที่ออกสนามรบโรมรันในอดีตสองคน ผ่านไปสองสามปีกลับมานั่งพูดเรื่องแต่งงานของลูกกับเรื่องปลดเกษียณเสียได้