บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 148 รับรู้ถึงความลำบากของเขา
เขาหันมองไปยังทางอ๋องจี้ สีหน้าของเขาดูพึงพอใจอย่างมาก
การที่วันนี้โสวฝู่ฉู่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาไม่รู้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
โสวฝู่ฉู่นั้นให้ความสำคัญกับปัญหาของประเทศอย่างมาก และคดีนี้ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนอย่างแท้จริง การที่โสวฝู่ฉู่จะเร่งให้รีบทำการไขดคีโดยเร็วนั้นก็อยู่ในการคาดเดาของเขาเอาไว้แล้ว
แต่เบาะแสในตอนนี้มีเพียงคนบ้าคนหนึ่งพร้อมกับสนัขหนึ่งตัวเท่านั้น แล้วในตัวของคนบ้ากับสุนัขจะสามารถใช้หาเบาะสสำคัญในการไขคดีได้งั้นหรือ?
เห็นชัดอยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้
หลังจากเสร็จกิจ หยู่เหวินเห้าก็เดินทางกลับไปยังจวนก่อนแต่กลับพบว่าหยวนชิงหลิงได้สั่งให้คนลากนางไปยังจวนอ๋องหวยเรียบร้อยแล้ว เขาถึงกับต้องส่ายหน้าอย่างเอือมระอา อย่างที่คิดไว้เลยว่านางไม่มีทางยอมนอนเฉยๆ อย่างว่าง่ายได้หรอก
ทันทีที่กลับมายังที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวง หยู่เหวินเห้าก็ได้แจ้งถึงจุดประสงค์ของฝ่าบาทว่าจะต้องทำการคลี่คลายคดีภายในเจ็ดวัน
สิ่งนั้นทำให้ทั้งที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวงต่างส่งเสียงร้องครวญออกมา
หยู่เหวินเห้าทุบโต๊ะแล้วกล่าวด้วยความเดือดดาล : “ยังไม่รีบไปหาเบาะแสอีก?จงกลับไปไถ่ถามกับประชาชนบริเวณนั้นอีกครั้ง หรือไปตรวจดูว่าบริเวณใกล้เคียงมีอาวุธของฆาตกรหรือไม่ ?”
เมื่อท่านอ๋องโมโหเดือดขึ้นมา ทุกคนต่างไม่กล้าที่จะแย้ง ทั้งกรมพากันรีบทำงานจนวุ่นวายไปหมด
กระทั่งหลายวันหลังจากนั้น หยู่เหวินเห้าก็มักจะออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าตรู่พอเวลาดึกดื่นถึงจะกลับ
ในตอนที่หยวนชิงหลิงยังไม่ตื่นนอน เขาก็ออกจากจวนไปแล้ว พอหลังจากหยวนชิงหลิงนอนหลับ เขาถึงจะกลับมา
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับการไขคดี ซึ่งตัวเองก็ไม่อาจช่วยเหลือได้ จึงพยายามไม่สร้างความยุ่งยากให้กับเขาอีก
ส่วนบาดแผลของนางตอนนี้ค่อยๆ หายดี จนสามารถลุกขึ้นมาเดินไปแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถใช้กำลังเยอะเท่านั้น
บางคราวนางก็หาเวลาเดินทางไปยังจวนเจ้าพระยาจิ้ง ซึ่งเป็นการแอบเดินทางไป ไม่ได้ทำการใหญ่โต เพราะเพียงกลับไปเยี่ยมฮูหยินใหญ่เท่านั้น พอมอบยาให้ฮูหยินใหญ่เรียบร้อยแล้ว นางก็เดินทางกลับทันทีโดยที่ผู้อื่นไม่ทันได้เข้าไปรบกวน
ทางด้านจวนอ๋องหวยช่วงนี้ก็นับว่าสงบเป็นอย่างมาก หลังจากที่หลู่เฟยได้ทำการสอบสวนทำให้หลายคนเกิดความตื่นตกใจ ซึ่งในจวนก็นับว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว เพราะคนที่น่าสงสัยทั้งหมด หลู่เฟยล้วนไล่ออกไปจนหมด
หยู่เหวินหลิงเดินทางกลับเข้าวังอีกครั้ง หลังจากที่เข้าไปแล้วกว่าจะได้ออกมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ราวกับว่านางยังไม่ได้อภิเษกเสียอย่างนั้น
และพอในวันรุ่งขึ้นเจ้าหญิงโล่ผิงก็ตามมารวมตัวกับหยวนชิงหลิง โดยที่ความคับข้องใจที่เคยมาก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปหมดแล้ว
หลังจากที่ทำการตรวจอาการอ๋องหวยเรียบร้อย นางก็มานั่งพูดคุยกับเจ้าหญิงโล่ผิงและหลู่เฟยในห้องโถง
เจ้าหญิงโล่ผิงกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง : “จริงด้วย การไขคดีพอจะมีวี่แววบ้างหรือยัง?วันนี้ก็วันที่หาแล้ว”
“วันที่ห้าอะไรกัน?” หยวนชิงหลิงถามด้วยความประหลาดใจ
เจ้าหญิงโล่ผิงถามกลับอย่างสงสัย : “เจ้าไม่ทราบหรอกหรือ?เสด็จพ่อกำหนดให้เจ้าห้าคลี่คลายคดีภายในเจ็ดวัน ซึ่งวันนี้ก็ย่างเข้าวันที่ห้าแล้ว”
“ข้าไม่ทราบ เขาไม่ได้พูดเลย” หยวนชิงหลิงวางถ้วยชาลง “ช่วงนี้เขายุ่งยิ่งนัก ถึงจะพักอยู่ในห้องเดียวกัน แต่หลายวันแล้วที่ข้าไม่ได้พูดคุยกับเขาเลย”
“เจ็ดวันสำหรับไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นคดีสังหารหมู่อีก มีหรือที่จะง่ายขนาดนั้น ?ทั้งโสวฝู่ฉู่และท่านพี่ใหญ่ต่างก็จงใจสร้างความลำบากให้กับเจ้าห้า” พระสวามีของเจ้าหญิงโล่ผิงเป็นรองเจ้ากรมอาญา ฉะนั้นเจ้าหญิงโล่ผิงจึงทราบเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
หยวนชิงหลิงถาม : “เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับอ๋องจี้ด้วยหรือ?ไม่ใช่คำสั่งของเสด็จพ่อเองหรอกหรือ?”
เจ้าหญิงโล่ผิงฉุกคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำลง : “โสวฝู่ฉู่ให้ความสนใจกับคดีนี้เป็นอย่างมาก ทันทีที่เริ่มการประชุมก็รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที แล้วบอกให้เจ้าห้าคลี่คลายคดีโดยเร็วภายในสามวันห้าวัน แต่ว่าคำพูดนี้ของโสวฝู่ฉู่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นเพียงการกดดัน แต่ท่านพี่ใหญ่กลับช่วยทำการแย้งแก่เจ้าห้าว่าจะคลี่คลายคดีภายในเจ็ดวัน เมื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนั้น เสด็จพ่อจะยังคัดค้านสิ่งใดได้อีกเล่า ?”
หยวนชิงหลิงฟังไปไฟโกรธก็ปะทุขึ้น “เจ้าคนนี้เหตุใดถึงได้น่ารังเกียจเช่นนี้กัน?”
เจ้าหญิงโล่ผิงยิ้มแหยๆ “ถ้าเพียงแค่น่ารังเกียจก็เพียงพอแล้ว แต่เกรงว่าเขาจะมีแผนการอื่นแอบแฝงอยู่ เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้วดีกว่า เรื่องนี้เดิมทีพวกเราเหล่าสตรีไม่ควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์”
หยวนชิงหลิงเข้าใจดีว่าภาษิตการใช้ชีวิตของเจ้าหญิงโล่ผิง คือหลีกเลี่ยงการก้าวก่ายปัญหาของผู้อื่น
โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความขัดแย้งกับผู้อื่น หรือการพูดจาเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นางจะไม่ทำเป็นอันขาด การที่วันนี้พูดออกมาคงเป็นเพราะนางไม่ชอบใจในตัวอ๋องจี้จริงๆ
หลู่เฟยไม่มีความสนใจเรื่องคดีเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความสนใจเรื่องราวในจวนอ๋องจี้เป็นอย่างมาก
นางยกถ้วยชาขึ้น : “ว่ากันว่าพระชายาจี้ล้มป่วยจริงๆ พวกเจ้าทราบหรือไม่?ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนี้คนจากจวนอ๋องจี้ฝ่าความมืดเข้าวังไปเชิญหมอหลวง”
เจ้าหญิงโล่ผิงตอบ: “ข้าทราบแล้วหล่ะ ทว่าไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอันใด”
หลู่เฟยกล่าวอย่างเฉยชา : “ถึงขั้นที่ต้องฝ่าความมืดไปเชิญหมอหลวง คาดว่าคงไม่ใช่โรคทั่วไปเป็นแน่”
หยวนชิงหลิงนั้นมีความเกลียดชังต่ออ๋องจี้พวกเขาทั้งสองคนอย่างมาก ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้มองพวกเขาในฐานะหมอแต่อย่างใด เพียงพูดแดกดันออกมา
: “ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา ก็อย่าไปสนใจเลย!”
หลู่เฟยมองนาง “หากนางมาร้องขอให้เจ้ารักษานาง เจ้าจะทำหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงยิ้มออกมา “นางไม่มีทางมาร้องขอข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“ก็พูดยาก นางเป็นคนที่ไร้ขีดจำกัด” หลู่เฟยกล่าว
เจ้าหญิงโล่ผิงมองไปยังนางด้วยความสงสัยเช่นกัน “หากมาร้องขอจริงๆ เล่า?”
หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใจข้าไม่มีทางตอบตกลงแน่นอน”
อ๋องจี้เคยลงมือกับหยู่เหวินเห้า และการลอบสังหารครั้งนั้นทำให้เขาเกือบจะต้องตาย
พระชายาจี้ใช่ว่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ นางมีความโหดร้ายกว่าอ๋องจี้ด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นคงจะไม่มีทางมาสร้างความเข้าใจผิดแก่อ๋องหวย ให้เขาหยุดรักษาอาการป่วยเสีย
ถ้าหากไม่มีการก่อเรื่องของพวกเขาสองสามีภรรยา ชีวิตจะน่าขึ้นเป็นอย่างมาก
พอถึงช่วงย่ำค่ำหยวนชิงหลิงก็เดินทางกลับจวน เฝ้ารอหยู่เหวินเห้ากลับมา
หลายคืนมานี้ นางเหนื่อยล้าเกินไป นางหวังจะรอเขาแต่รอไปได้ไม่นานก็หลับไปเสียแล้ว ฉะนั้นคืนนี้ไม่อย่างไรนางก็จะต้องรอจนกว่าเขาจะกลับมา
ทว่าคืนนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้กลับ เพราะยังคงเป็นดังเดิมที่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ถึงขนาดที่ว่าแท้จริงแล้วฆาตกรมีกี่คนก็ยังไม่ทราบเลย รวมถึงอาวุธสังหารที่ไร้ซึ่งร่องรอยเช่นกัน
เขาถึงกับต้องติดป้ายประกาศว่าหากผู้ใดพบเห็นอาวุธสังหารจำพวกมีดทื่อ แล้วนำมาส่งให้กับที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวง จะมีรางวัลให้เป็นเงินจำนวนสิบตำลึง
ซึ่งนั่นทำให้สองวันมานี้มีมีดหั่นจำนวนมากถูกนำส่งมาไม่น้อย แต่มีดพวกนั้นก็ไม่มีอันใดสามารถเทียบกับบาดแผลได้เลย เป็นเพราะว่าเพื่อเงินสิบตำลึงประชาชนจึงนำของปลอมมาตบตาเท่านั้น
ตอนนี้อารมณ์ของหยู่เหวินสับสนว้าวุ่นไปหมด จนไม่อยากกลับ เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมความกังวลใจของตัวเองได้จนอาละวาดกับผู้คนในจวนได้
หยวนชิงหลิงที่เฝ้ารอจนถึงเที่ยงคืน ก็ยังไม่เห็นเขากลับมา นางจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วลากขาที่ยังเจ็บเดินออกไปด้านนอก
ลู่หย่าที่อยู่เวรยามดึก เมื่อเห็นนางเดินออกมาก็รีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาทันที “พระชายา เหตุใดถึงยังไม่นอนเล่าเจ้าคะ?”
หยวนชิงหลิงกล่าวถาม : “ท่านอ๋องยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
ลู่หยาตอบกลับทันที : “เมื่อสักครู่นี้สวีอีกลับมาแจ้งว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะอยู่ที่ที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวง ข้าน้อยคิดว่าพระชายานอนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เข้ารายงานแก่ท่าน เจ้าค่ะ”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ “หลายวันมานี้เขาก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ คืนนี้อยู่ที่ที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวงคงจะไม่ได้นอนหรอก”
“ท่านอ๋องยุ่งอยู่กับกิจของทางการ คงไร้ซึ่งหนทางที่จะปริตัว พระชายารีบนอนพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ” หลู่หยากล่าวแนะนำ
หยวนชิงหลิงเดินกลับไปอย่างช้าๆ ตอนนี้นางเองก็ไม่มีความอยากนอนแล้ว
วันที่ห้า หลังจากที่ฟ้าสว่างก็จะกลายเข้าสู่วันที่หกแล้ว เหลือเพียงเวลาสองวันเท่านั้น เขาจะสามารถคลี่คลายคดีได้หรือไม่?
หยวนชิงหลิงคิดไปคิดมาแล้วตะโกนกับลู่หยา “เจ้าจงไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปยังท่ำการกรมปกครองเมืองหลวง”
“พระชายาจะไปทำสิ่งใดที่ที่ทำการกรมปกครองเมืองหลวงเจ้าคะ ?” ลู่หยาถามอย่างตะลึง
“ไม่รู้สิ ข้าเพียงอยากจะอยู่ข้างกายเขา” หยวนชิงหลิงเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า คืนนี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น นางจึงสวมเสื้อทับอีกตัว
ลู่หยาพยายามกล่าวเตือน “พระชายาบาดแผลของท่านยังไม่หายดี……”
หยวนชิงหลิงเดินนำหน้าออกไปก่อน “หยุดพูดพร่ำเพรื่อเสียที รีบไปจัดเตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้”
ลู่หยาจึงต้องวิ่งออกไปทันทีเท่านั้น ก่อนจะไปปลุกคนขับรถม้าให้นำรถม้าออกไปรอพระชายาที่หน้าประตู
คืนนี้ทุกคนในกรมการพระนครต่างก็หมดปัญญาแล้วจริงๆ
แม้แต่ทังหยางก็เดินทางมาที่นี่ เพื่อช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับคดีนี้ แต่สิ่งที่รู้นั้นน้อยเกินไป ซึ่งมันแทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย
ไขคดีไม่ได้ก็ยังพอว่า แต่ไม่มีเบาะแสเลยแม้แต่น้อย หลังจากเจ็ดวันผ่านไปจะทูลกับฝ่าบาทอย่างไรได้? จะให้ทูลไปว่าสืบสวนมานานถึงเพียงนี้แล้ว แต่ยังไม่พบร่องรอยใดเลยงั้นหรือ?
ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าไม่โวยวายอีกแล้ว เพราะคดีนี้มันยากจริงๆ และผู้ใต้บังคับบัญชาก็พยายามอย่างที่สุดแล้วด้วย