บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1480 ลงจากตำแหน่ง
ครั้นรถม้าจอด เจ้าพระยาจิ้งก็กระโดดลงมา เดินฉับไปกุมมือหยู่เหวินเห้า รอยยิ้มกองอยู่บนใบหน้า รักษายิ้มเล่ห์ร้ายต่อ “พ่อลูกเขย ดีจริงที่เจ้าอยู่ในจวน ข้ามีเรื่องนิดหน่อยอยากหารือกับเจ้าพอดี”
ลูกเขยมาคำ ศาสตราจารย์หยวนกับแม่ของหยวนชิงหลิงก็ระแวงทันที แต่จากนั้นก็นึกถึงพ่อแม่ของร่างเดิมหลิงเอ๋อ พวกเขาเคยได้ฟังเรื่องราวของพวกเขาจากฟางหวูมาบ้าง และรู้ว่าเชื่อถือไม่ได้
พวกเขาเงียบ เพียงแต่ดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ
พอเจ้าพระยาจิ้งลงรถม้าแล้ว นางหวงถึงจะลง นางกลับไม่ได้เคร่งครัดอะไรมาก กระโดดลงมาแล้วก็เดินไปอยู่ตรงหน้าหยวนชิงหลิงทันที รอให้หยวนชิงหลิงทักทายก่อน
ทว่าหยวนชิงหลิงเอ่ยเพียง “มาแล้วหรือ?”
นางหวงจึงอือทีหนึ่ง “มาเป็นเพื่อนท่านพ่อเจ้า!”
นางมองแม่ของหยวนชิงหลิงและศาสตราจารย์หยวนแวบหนึ่ง เห็นพวกเขาบุคลิกดี จึงคิดว่าเป็นข้าราชการของราชสำนัก พยักหน้าให้เล็กน้อย
แม่ของหยวนชิงหลิงเห็นรูปแบบการอยู่ร่วมกันของนางกับหลิงเอ๋อค่อนข้างเย็นชืด คาดว่าปกติคงไม่สนิท เมื่อนั้นจึงเกิดความรู้สึกซับซ้อน แม้นไม่อยากให้ลูกสาวมีพ่อแม่เพิ่ม แต่หากมีคนดีกับนาง อย่างไรก็เป็นเรื่องดี
หยู่เหวินเห้ามองเจ้าพระยาจิ้ง เอ่ย “มีเรื่องอะไรอีกสองวันค่อยคุยกัน ข้าจะออกไปข้างนอก มีแขกอยู่”
ครั้นเจ้าพระยาจิ้งเห็นหยู่เหวินเห้าให้ความสำคัญกับอาคันตุกะเหล่านี้แล้ว จึงจรดมือทักทายกับศาสตราจารย์หยวนและแม่หยวนชิงหลิง “ขออภัย ขออภัย ไม่ทราบว่าท่านทำงานอยู่ที่กรมใดหรือ?”
เขาออกจากเมืองหลวงไปนาน ในเมืองหลวงใครบ้างที่เป็นขุนนางใหญ่เป็นที่โปรด ใครบ้างที่ถูกฉุดลงมา เขาไม่รู้เลยจริงๆ โดยเฉพาะสองคนนี้ เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็น ไม่กล้าล่วงเกินไปเรื่อย
นัยน์ตาหยู่เหวินเห้าเย็นชา “มิต้องถามมาก มีเรื่องอะไรรอข้ากลับมาแล้วค่อยคุยกัน”
รอยยิ้มเล่ห์ร้ายของเจ้าพระยาจิ้งชะงักอยู่ที่มุมปาก แต่แล้วก็กลับยกขึ้นอีก ค้อมตัว “ได้ ได้ๆ เจ้าไปธุระก่อน ข้าจะรอเจ้าที่จวน”
“มิต้องรอ กลับไปก่อน!” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว
เจ้าพระยาจิ้งกดมือ ยิ้มอย่างยอมจำนน “ได้ ได้ เช่นนั้นข้าก็จะกลับไปก่อน กลางคืนเจ้ากลับมาแล้วก็ไปที่จวนเจ้าพระยาสักหน่อย ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะมาหาเจ้าอีก”
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจเขา เชิญพวกพ่อแม่หยวนชิงหลิงขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทาง
บรรยากาศบนรถม้าเงียบงัน ในความคิดของศาสตราจารย์หยวน เขาเห็นหยู่เหวินเห้าเป็นลูกเขยมาตลอด ไม่ใช่รัชทายาทแห่งราชวงศ์หรือฮ่องเต้ที่กำลังจะขึ้นตำแหน่ง และหยู่เหวินเห้าเองก็ไม่ได้วางท่าในด้านนี้ด้วย แต่พอเห็นท่าทางและน้ำเสียงของเขาที่พูดกับเจ้าพระยาจิ้งแล้ว บุคลิกของชนชั้นสูงแสดงออกมาได้เด่นชัด ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าลูกเขยตนเป็นจักรพรรดิแห่งแว่นแคว้น เป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน!
แต่เขายังคงเป็นเหมือนเดิม เคารพกตัญญูต่อพวกเขาเฉกเช่นเดียวกับเขยทั่วไป จิตใจเช่นนี้ช่างหายากและมีค่ายิ่งนัก
อย่างไม่รู้ตัว สายตาที่เขามองหยู่เหวินเห้าอ่อนโยนมีเมตตาและปลาบปลื้มมากกว่าเดิม เมื่อก่อนยังรู้สึกไม่แน่ใจว่าลูกสาวจะมีความสุขจริงหรือไม่ แต่เวลานี้เขาวางใจแล้ว
วันนี้หลังจากไปเที่ยวแล้วหยู่เหวินเห้าก็ไปจวนเจ้าพระยาจิ้ง หยวนหลุนเหวินต้อนรับเขา บอกให้เขาวางใจ วันนี้แค่บังเอิญให้เขาออกไปได้เท่านั้น ต่อไปจะไม่มีอีก
หยู่เหวินเห้าเชื่อในการทำงานของหยวนหลุนเหวิน แต่เขายังต้องเตือนเจ้าพระยาจิ้งสักหน่อย คนในเมืองหลวงยังไม่ลืมเรื่องเหล่านั้นที่เขาทำในสมัยก่อน บอกให้เขาเก็บหางตัวเองให้มิดชิด อย่าได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่อีก
ครั้นเจ้าพระยาจิ้งได้ยินการตำหนิเข้มของลูกเขยแล้ว ถึงอึกๆ อักๆ พูดจุดประสงค์ของตัวเอง นั่นคือฐานะพ่อตาฮ่องเต้
หยู่เหวินเห้าเกือบถูกเขาโมโหพลุแตก
“พ่อตาฮ่องเต้นี้” เจ้าพระยาจิ้งเห็นลูกเขยเงียบจึงพูดต่อ “ที่จริงตามระเบียบแล้ว ข้าต้องได้เป็นพ่อตาฮ่องเต้แน่ แต่การที่เจ้าแต่งตั้ง กับเป็นตามในนาม อย่างไรก็ต้องต่างกันใช่ไหม? ถ้าเจ้าแต่งตั้ง ต่อไปในเมืองหลวงใครจะกล้าพูดถึงเรื่องในอดีตอีก? ท่านแม่อายุมากแล้ว ข้าจะออกจากเมืองหลวงบ่อยๆ ก็ไม่ได้ ต้องกตัญญูอยู่ข้างกายนาง ข้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรอก”
คำพูดนี้เหมือนกับคำพูดของฮองเฮา มาอีหรอบเดียวกัน เห็นได้ว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจ ให้หยวนหลุนเหวินจับตาดูเขา อย่าให้เขาออกไปเพ้อเจ้อไปทั่ว
หลังจากหยู่เหวินเห้าจากไป เจ้าพระยาจิ้งก็ไม่พอใจด่าทอนิดหน่อย “หากมิใช่แผนการข้าในตอนนั้น วันนี้เจ้าจะมีลูกชายห้าคนได้อย่างไร? แล้วยังถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท รอขึ้นบัลลังก์?”
หยวนหลุนเหวินได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็โกรธจัด แต่กลับไม่พูดอะไร แอบไปรายงานกับท่านย่าแทน
ครู่หนึ่ง ฮูหยินใหญ่ก็เชิญเขาเข้ามาแล้วให้คนปิดประตู เลือกไม้เท้าด้ามหนึ่งเข้าตีเขา ตีจนเอามือกุมศีรษะหนีหัวซุกหัวซุน แต่กลับออกประตูไม่ได้ ถูกตีไปหลายยกจนสลบ
ด้วยการสยบลูกชายของมารดา ทำให้เจ้าพระยาจิ้งสงบลงหน่อย จะได้ไม่ออกไปก่อความวุ่นวายในวันสำคัญ
ฮูหยินใหญ่กล่าวเอาไว้ หากเขาพูดผิดไปนิดเดียวหรือทำอะไรที่นอกกรอบ ก็จะส่งเขาออกเมืองหลวงทันที ส่งกลับไปหมู่บ้านที่เขาเคยถูกรุมซ้อม ให้พวกเขาต่อยระบายอารมณ์ทั้งวันทั้งคืน
เจ้าพระยาจิ้งรู้ว่ามารดาเป็นคนที่พลานุภาพมาก พูดได้ทำได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าเหิมเกริมอีก
ฮูหยินใหญ่ของเจ้าพระยาจิ้งไปจวนอ๋องฉู่ด้วยตนเอง ไปหาหยวนชิงหลิง บอกให้นางวางใจ
หยวนชิงหลิงแนะนำพ่อแม่ให้ฮูหยินใหญ่ให้รู้จัก บอกเล่าว่าสมัยก่อนฮูหยินใหญ่ปกป้องนางอย่างไร ดีกับนางอย่างไร พูดจนแม่ของหยวนชิงหลิงซาบซึ้งใจมาก ลุกขึ้นยืนคารวะฮูหยินใหญ่
ฮูหยินใหญ่สงสัยในฐานะของพวกเขา แต่หยวนชิงหลิงบอกฮูหยินใหญ่ว่าเป็นพ่อแม่บุญธรรมที่เพิ่งรับไม่นาน ฮูหยินใหญ่ไม่แสดงออกว่าสงสัย ถึงอย่างไรนางก็คาดเดาหลายๆ เรื่องของหลานสาวไม่ออก นางรู้ว่าเรื่องที่ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม เป็นคนแก่ใช้ชีวิตบั้นปลายดีก็พอ
ฮูหยินใหญ่อยู่กินอาหารที่จวน พูดเรื่องมงคลถัดจากนี้กับหยวนชิงหลิงเป็นการส่วนตัว
“สินสอดมีไม่มาก แต่ก็เป็นความตั้งใจของข้า เจ้าต้องรับไว้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง” ฮูหยินใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้แย้ง
หยวนชิงหลิงมองนาง น้ำตาคลอ “นี่เป็นสิ่งที่ท่านเก็บหอมรอมริบอย่างลำบากไว้ใช้ยามแก่เฒ่า ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร?”
“ต้องรับไว้ ไม่ต้องพูดอีก พูดอีกข้าจะโกรธแล้วนะ” ฮูหยินใหญ่จงใจทำหน้าขมึง
หยวนชิงหลิงซบบ่านาง อุ่นใจยิ่งนัก นางก็จริงๆ เชียว ทำบุญอะไรมากันแน่?
หลังจากฮูหยินใหญ่จากไป หยวนชิงหลิงก็สนทนากับแม่ครู่หนึ่ง ครั้นรู้ว่าฮูหยินใหญ่จัดการสินสอดให้หยวนชิงหลิงแล้วก็ซาบซึ้งใจมาก กำชับนางว่าต้องกตัญญูกับฮูหยินใหญ่มากๆ
แม่ของหยวนชิงหลิงเข้าใจแล้วว่าจวนเจ้าพระยาจิ้งเป็นครอบครัวเช่นไร ช่างน่าเหนื่อยใจจริงๆ ดีที่หลานชายหลานสาวได้เรื่อง ลูกชายไม่กตัญญู ไม่มีคุณธรรมก็ช่างเขาไปเถอะ
ด้วยเช่นนี้ เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมสรรพ ฮ่องเต้หมิวหยวนก็สละราชบัลลังก์
ก่อนจะสละราชบัลลังก์ เขาก็ลาก ‘ร่างโทรม’ ไปประชุมเช้า รับการคุกเข่าคารวะจากเหล่าขุนนางเป็นครั้งสุดท้าย
ครั้งนี้ ฉู่โสวฝู่กับเซียวเหยากงก็มาประชุมเช้าด้วย สามขุนนางใหญ่สูงศักดิ์ มิต้องคุกเข่า อีกทั้งฮ่องเต้หมิงหยวนยังประทานเก้าอี้ให้เป็นพิเศษอีก สรรเสริญและยอมรับการอุทิศของพวกเขาเพื่อบ้านเมืองเป่ยถัง
การลาจากระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง อย่างไรก็เป็นความเศร้า ขุนนางเก่าทั้งหลายจึงพากันร่ำไห้
ครั้นฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นทุกคนอาลัยอาวรณ์ตนมากแล้ว ก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาทันที เขาคิดมาตลอดว่าตนเป็นฮ่องเต้ได้ไม่ดี แต่ท่าทีของพวกเขากลับเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดของตน
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนท้ายไท่ซ่างหวงมาพูดตรงหน้าเขา ตอนที่เขาลงจากตำแหน่ง มีขุนนางใหญ่หลายคนถึงขนาดจะสาบานว่าหากเขาสวรรคตแล้วก็จะตายตามด้วย และเขายังจะได้ภูมิใจต่อไปอีก
ฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้อยู่ในการประชุมเช้านาน เพราะขณะที่เขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เจ้าห้าต้องประคองเขาตลอด ทุกคนต่างเห็นเขาทรมานลำบาก เกรงว่าเขาจะทนต่อไม่ไหวแล้วหมดสติไป
เพราะดูแล้ว ฮ่องเต้อ่อนแอมากจริงๆ
เจ้าห้าประคองเขาลุกขึ้นมา มองบรรดาขุนนางอย่างลึกซึ้งสายตาหนึ่ง ค่อยๆ ยกมือขึ้นโบก หมุนตัว จากนั้นก็หันกลับไปอีกครั้ง จักรพรรดิแห่งแผ่นดินค่อยๆ ย่างเท้าลงจากเวทีการเมืองของเป่ยถัง
ขุนนางทั้งหลายคุกเข่าร้องไห้!