บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1481 จะไปจากจวนอ๋องฉู่แล้ว
จากการที่ฮ่องเต้หมิงหยวนสละบัลลังก์ เรื่องที่ฮ่องเต้องค์ใหญ่จะขึ้นครองราชย์ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดไปแล้ว
แม้ว่าช่วงนี้จะยุ่งแต่เรื่องนี้อยู่ตลอด แต่ว่าตอนนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งยวด รัชทายาทไม่สามารถอาศัยอยู่ในจวนอ๋องฉู่อีกต่อไปได้แล้ว ต้องย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงก่อน เข้าไปอาศัยอยู่ในตำหนักบูรพา
ย้ายออกไปจากจวนอ๋องฉู่ เรื่องนี้สำหรับใครก็ตามที่อยู่ในจวนอ๋องฉู่ทุกคน ต่างก็รู้สึกยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
อะซี่เป็นคนร้องไห้ขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะว่า นางไม่สามารถเข้าไปอยู่ในวังด้วยได้ บางทีอาจจะสามารถเข้าไปอยู่ได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถปักหลักสร้างครอบครัวในวังได้
หลายปีมานี้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายพี่หยวน ได้ถือว่าพี่หยวนเป็นคนในครอบครัวของตัวเองไปแล้ว เมื่อต้องจากกันอย่างกะทันหัน หัวใจนางรู้สึกสลายเป็นอย่างยิ่ง แต่ยังดีที่ได้ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วงหลายวันนี้สวีอีก็ได้แต่พูดคุยเรื่องนี้กับนาง ถ้าไม่อย่างนั้น นางคงจะยิ่งยอมรับได้ยากมากขึ้น
สองสามีภรรยาหยู่เหวินเห้านั้นมีความผูกพันกับจวนอ๋องฉู่อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่า จวนนี้ ภายหน้าก็คงไม่มอบให้กับผู้ใด บางทีรอให้ลูกๆเติบโตแล้ว ถึงเวลาต้องประทานจวนที่อยู่อาศัย ค่อยพิจารณาว่าจะมอบให้กับคนไหน
แต่ถ้าหากไม่ใช่ลูกชายของตนเอง หยู่เหวินเห้าไม่มีทางมอบจวนให้อย่างแน่นอน ที่นี่แบกรับความทรงจำที่ดีมากมายระหว่างเขากับยายหยวนเอาไว้
แม่นมที่สอนเรื่องกฎระเบียบมารยาทในวังได้กลับไปแล้ว ภายหน้าในวังจะไม่มีกฎระเบียบมากนัก เพราะว่า จะไม่มีนางสนมคนอื่นๆ ฐานะสูงต่ำอะไรก็คงจะแบ่งแยกไม่ชัดเจนนัก ก็แค่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายต่อไป
ก่อนจะไปจากจวนสองวัน ทั้งสองคนต่างก็นอนไม่หลับ ตื่นขึ้นมาจุดตะเกียงกลางดึก เดินจนทั่วทั้งจวนอ๋องฉู่
ทุกกระเบียดนิ้วในพื้นที่แห่งนี้ ทั่วทุกหย่อมหญ้าของที่นี่ ก้อนหินทุกก้อน สิ่งก่อสร้างทุกอย่าง ล้วนทุกสลักเอาไว้ในจิตวิญญาณแล้ว
เดินไปถึงห้องผ่าตัดที่นางให้กำเนิดพวกเด็กๆ หยู่เหวินเห้าหยุดฝีเท้าลง ด้านนอกและด้านในของประตูบานนี้ เกือบทำให้เขากับยายหยวนต้องพลัดพรากจากกัน นี่เป็นฝันร้ายที่สุดที่เขา กระทั่งตอนนี้ เมื่อนึกถึงฉากนั้นขึ้นมา ยังคงรู้สึกอกสั่นขวัญหายอยู่ดี และจนถึงวินาทีนี้ เขาก็ยังคงไร้หนทางที่จะให้อภัยต่อเสด็จแม่ของเขาได้
ทั้งสองคนเดินเข้าไป แสงไฟส่องสว่างไปทั่วทุกมุม กลิ่นคาวเลือดที่เคยคละคลุ้ง ตอนนี้ไม่ได้กลิ่นแล้ว ทั่วทุกซอกเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ มีกลิ่นของยาฆ่าเชื้ออ่อนๆยังคงอบอวลอยู่
ตอนที่กลับมา เดินผ่านหอเฟิ่งหยี นั่นเป็นสถานที่แรกที่ยายหยวนมาถึง ข้างในนี้ ก็มีความทรงจำที่เจ้าห้าไม่อยากจะเผชิญ แต่ในตอนนั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงสาวคนนี้ที่ยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ก็ต้องออกไปช่วยชีวิตคน จะกลายเป็นคนที่เคียงข้างเขาจากนี้ไปชั่วชีวิต เป็นคนที่จะอยู่ด้วยกันแม้ตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อออกมาจากหอเฟิ่งหยี กลับไปถึงตำหนักเซี่ยวเยว่ หน้าระเบียงบรรยากาศยามค่ำคืนหนาวเหน็บ หยู่เหวินเห้ากุมมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ พูดอย่างเศร้าใจว่า “ที่นี่ น่าเสียดายจริงๆ”
หยวนชิงหลิงอิงแอบอยู่ข้างกายเขา “ไม่ต้องเสียดาย พวกเราสามารถกลับมาอยู่ที่นี่ได้เป็นครั้งคราว จวนอ๋องฉู่ ยังคงเป็นจวนอ๋องฉู่ของพวกเราตลอดไป”
หยู่เหวินเห้าทำตัวให้ร่าเริงขึ้นมา “ใช่แล้ว สามารถกลับมาอยู่ได้ชั่วคราว ก็ไม่ได้มีกฎระเบียบที่ว่าฮ่องเต้ต้องนอนอยู่ในวังหลวงทุกคืน และระยะทางห่างจากวังหลวงก็ไม่ไกล กระทั่งกินข้าวเย็นกันแล้ว ยังสามารถออกมาเดินเล่นด้วยกันได้ ”
“ใช่แล้ว ออกมาเดินเล่น พาลูกๆเดินเล่นเสร็จแล้ว ก็กลับมาเยี่ยมอะซี่กับใต้เท้าทังสักหน่อย”
“ใช่ พวกเขาต้องอาศัยอยู่ที่นี่ต่อ จวนอ๋องฉู่จะไม่มีคนอยู่ไม่ได้ ”หยู่เหวินเห้าพึมพำ
“ใช่ บ้านของพวกเขาสวยมาก คาดว่าพวกเขาก็คงไม่ยินดีจะย้ายออกไป ”หยวนชิงหลิงพูด
บ้านของอะซี่กับสวีอี อบอุ่นมาก ใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันสามคน มีความสุขมาก
ตั้งแต่ทังหยางยอมรับแม่นมฉีเป็นแม่บุญธรรม ในบ้านก็มีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อน ที่อยู่ตามลำพังคนเดียว แยกออกจากลานบ้าน แบ่งเรือนเป็นห้องๆ พื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่สวยงามประณีต และยังอยู่ติดกับจวนอ๋องฉู่ด้วย
มีพวกเขาคอยเฝ้าดูแลจวนอ๋องฉู่ หยู่เหวินเห้าก็วางใจ พวกเขาอยู่ บ้านนี้ ก็ราวกับไม่เคยแยกย้ายกันไปไหนมาก่อน
กลับไปในห้อง สิ่งขอได้ถูกจัดเก็บไปครึ่งหนึ่งแล้ว ล้วนเป็นเสื้อผ้าข้าวของของพวกเขาเป็นต้น กองอยู่เต็มเตียงหลอฮั่นไปหมดแล้ว
ลู่หยากับฉี่หลอยังคงจัดเก็บเสื้อผ้าที่ใช้ในฤดูหนาวอยู่ เพราะว่าตอนนี้ไม่ต้องใช้แล้ว สามารถจัดเก็บไปก่อน
“ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องเก็บแล้ว กลับไปนอนเถอะ”หยวนชิงหลิงพูดกับพวกนาง
สาวใช้ทั้งสองคนหันกลับไปมองพวกเขา สายตามีแววซับซ้อน เพราะว่าใต้เท้าทังเคยเปิดเผยให้ฟังว่า พระชายารัชทายาทไม่อยากจะพาพวกนางเข้าวังไปด้วย
“ทำไมหรือ”หยวนชิงหลิงถาม
ลู่หยาดวงตาแดงก่ำ “พระชายารัชทายาท บ่าวกับฉี่หลอ เข้าวังไปกับท่านได้หรือไม่ ”
“เจ้าอยากจะเข้าวังหรือ”หยวนชิงหลิงถาม
ทั้งสองคนต่างก็พยักหน้า “บ่าวย่อมอยากจะติดตามอยู่ข้างกายพระชายา”
หยวนชิงหลิงยิ้มเรียกพวกนางสองคนมานั่งลงใกล้ๆ เจ้าห้าเห็นพวกนางมีเรื่องต้องคุยกัน จึงออกไปดูลูกสาวที่อยู่ห้องข้างๆ
หยวนชิงหลิงมองพวกนาง พูดว่า “ที่จริง ข้าไม่อยากจะพาพวกเจ้าเข้าวังไปด้วย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่จวนนี้ต่อไป ข้าจะให้แม่นมฉีช่วยพวกเจ้าจัดการเรื่องแต่งงาน พูดตามความจริง เรื่องใหญ่ของพวกเจ้าที่จริงจะต้องจัดการตั้งนานแล้ว แต่หลายปีมานี้ แม่นมก็เคยถามพวกเจ้าหลายครั้ง พวกเจ้าต่างก็ไม่ยินดีจะแต่งงานออกเรือน……”
ฉี่หลอพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “พระชายารัชทายาท ข้าน้อยไม่อยากแต่งงาน แต่งงานแล้วก็ต้องออกไปจากจวนอ๋องฉู่ อีกอย่าง แต่งงานแล้วก็ไม่แน่ว่าจะมีชีวิตที่ดี ข้าน้อยติดตามท่าน มีชีวิตที่สบายใจ กินอิ่มทั้งสามมื้อ ข้าน้อยไม่อยากจากไปไหน ”
ลู่หยาก็พูดว่า “พระชายารัชทายาท ข้าน้อยก็ไม่อยากจะจากไป ข้าน้อยก็เหมือนกับพี่ฉี่หลอ ติดตามท่านก็พอใจแล้ว”
หยวนชิงหลิงมองพวกนาง “เด็กโง่ หรือว่าพวกเจ้าไม่คาดหวังว่าจะมีคนที่คอยเดินเคียงข้างไปจนชั่วชีวิตเลยหรือ ”
ฉี่หลอสีหน้าขมขื่น “พระชายารัชทายาท ในความเป็นจริงแล้ว ไหนเลยจะมีเรื่องที่ดีเช่นนี้ แต่งกับคนที่ยากจนข้นแค้น ก็คงต้องเป็นกังวลเรื่องปากท้อง แต่พอใช้ชีวิตสุขสบายขึ้นมาหน่อย กินอิ่มทั้งสามมื้อแล้ว ก็คิดจะหาเมียน้อย ที่เหมือนกับรัชทายาท ที่จะมีแต่ท่านคนเดียวตลอดชีวิตนั้น บนโลกนี้หาได้ยากยิ่ง ข้าน้อยไม่มีบุญวาสนาเช่นนี้ หาไม่เจอ และไม่ยินดีจะหา ”
พวกนางต่างก็รู้ดี สองสามีภรรยาในจวนอ๋องฉู่นั้น เป็นดั่งเทพนิยายที่มีอยู่จริง พวกนางไม่มีวาสนาเช่นนี้ ที่จะสามารถหาชายหนุ่มที่รักพวกนางเพียงคนเดียวตลอดชีวิตได้ ความลำบากในเรื่องการกินอยู่ในครอบครัวที่ยากจน กับการแก่งแย่งชิงดีของบรรดาเมียในบ้านของคนรวย พวกนางล้วนไม่ยินดี ยังไม่สู้อยู่รับใช้ข้างกายพระชายารัชทายาท อย่างน้อย หลายปีมานี้พระชายารัชทายาทนั้นดีกับพวกนางอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดว่าพวกนางเป็นบ่าวรับใช้ กลับเป็นเหมือนพี่น้องมากกว่า
ก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงไม่เคยออกหน้าช่วยพวกนางหาสามี ก็เพราะสาเหตุนี้
จิตใจคนยากจะคาดเดาได้ บางทีตอนที่แต่งงานกับพวกนาง เพราะเห็นแก่หน้านาง บางทีภายนอกอาจจะดีกับพวกนาง แต่ภายหน้าเล่า
นางหวังว่าพวกนางจะมีชีวิตเหมือนอะซี่ ผ่านการคบหาดูใจ ค่อยๆก่อเกิดความรู้สึก ค่อยแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน นี่เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด
เมื่อเสียเวลาอยู่อย่างนี้ อายุพวกนางก็มากขึ้นแล้ว
ตอนนี้ ไม่พาพวกนางเข้าวังไปด้วย ก็คงจะไม่ดีจริงๆ
ฉะนั้น หยวนชิงหลิงพิจารณาอยู่ชั่วครู่ จึงพูดว่า “ได้ ในเมื่อพวกเจ้ายินดีจะติดตามข้า เช่นนั้นก็ตามเข้าวังไปด้วย”
บ่าวรับใช้ทั้งสองได้ยินแล้วดีใจอย่างยิ่งยวด รีบลุกขึ้นมาย่อตัวคำนับขอบคุณ
หลังจากที่พวกนางสองคนจากไปแล้ว หยู่เหวินเห้าก็อุ้มกวาจื่อกลับมา พูดว่า “คืนนี้พวกเราพานางนอน”
หยวนชิงหลิงมองลูกที่หลับสนิท ก็พูดยิ้มๆว่า “ก็นอนหลับอยู่ดีๆ ท่านจะอุ้มนางทำไม”
“ก็นอนเตียงเดียวกับพวกเราน่ะสิ”หยู่เหวินเห้าวางลูกลงบนเตียงพร้อมรอยยิ้ม หันกลับมาถามว่า “พวกนางจะตามเข้าวังไปด้วยใช่หรือไม่ ”
“อืม ข้าตอบตกลงแล้ว”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้านั่งลงข้างเตียง กดเสียงลงต่ำ “ที่จริง คนในจวน สามารถพาเข้าไปด้วยได้ไม่มาก พาพวกนางสองคนเข้าไปด้วยเถอะ”
ในจวนมีบ่าวไพร่มากมาย ล้วนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว หรือบางทีก็เป็นบ่าวในจวนกันทั้งสองสามีภรรยา ย่อมไม่ดีถ้าจะพาเข้าวังไปด้วย เป็นอย่างที่เจ้าห้าว่าได้จริงๆ คนที่จะสามารถพาไปด้วยมีไม่มาก
ตอนนี้แม่นมฉีเองก็ไม่ดีที่จะพาเข้าวังไปด้วยแล้ว ต้องดูแลทังหยางกับหกเกอเอ๋อหูหมิง พวกเขาเองก็งานยุ่ง ย่อมต้องมีคนคอยช่วยจัดการดูแล
ส่วนพวกหกเกอเอ๋อนั้น ยิ่งไม่สามารถพาไปด้วยได้ นอกเสียจากจะเป็นขันที ถ้าหากเป็นทหารรักษาพระองค์หรือองครักษ์ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์นี้ ให้ทังหยางดูแลพวกเขาไปก่อนอีกสักหน่อย จัดการเรื่องแต่งงานของพวกเขาแล้วค่อยว่ากันอีกที