บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1484 พิธีแต่งงาน
ชายชุดเสื้อผ้าที่หรูหรางดงาม กวาดผ่านพื้นกระเบื้องสีขาวมุขของตำหนักหมิงเต๋อ ผ้าไหมสีเหลืองในตำหนักสั่นไหวเล็กน้อย เสากลมสลักลายมังกรสูงเสียดฟ้า แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของราชวงศ์ บัลลังก์มังกรที่อยู่เหนือขึ้นไป อยู่ใกล้แค่เอื้อม รอการมาถึงของพวกเขาอย่างเงียบสงบ
หลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮาเข้าไปแล้ว เหล่าขุนนางและแขกจากต่างแคว้นค่อยทยอยเข้าสู่ตำหนัก ภายใต้การสั่งการของขุนนางกรมพิธีการ ทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลง
หยู่เหวินเห้าจูงมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ เดินขึ้นไปบนราชบัลลังก์ สะบัดชุดมังกร หมุนตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือขุนนางในวันวาน ตอนนี้ต่างก็หมอบอยู่ด้านล่าง คำนับด้วยพิธีการของขุนนาง คุกเข่าสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง ร้องตะโกนเสียงดังว่าขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่นปี
หัวใจของหยู่เหวินเห้ามีความซับซ้อนที่พูดไม่ออก ตอนนี้ไม่ได้รับรู้ถึงความยินดีที่ได้ขึ้นครองราชย์เลยแม้แต่น้อย รับรู้ได้เพียงความแตกต่างระหว่างราชวงศ์กับเหล่าขุนนางเท่านั้น หยวนชิงหลิงกุมมือของเขาเอาไว้ ให้กำลังใจเขา
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาในจิตใจ พูดขึ้นมาว่า “ลุกขึ้น”
เสียงที่พูดออกไป เป็นเสียงที่แหบแห้งแล้ว
เหล่าขุนนางนับร้อยต่างก็ลุกขึ้น ยืนก้มศีรษะ
มีโสวฝู่ฉู่เป็นผู้อ่านราชโองการแต่งตั้ง ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนชื่อศักราชใหม่เป็นจิ่งชู หยู่เหวินเห้าเป็นฮ่องเต้จิ่งชู
แต่งตั้งไท่ซ่างหวงเป็นอู๋ซ่างหวงเสิ่นเต๋อต้าเหริน
แต่งตั้งฮ่องเต้หมิงหยวนเป็นไท่ซ่างหวงจื้อเฉิงเสี้ยวเสิ่ง
แต่งตั้งหวงกุ้ยเฟยเป็นฮองไทเฮายี่เต๋อ ประทานให้อยู่ที่ตำหนักเฟิ่งซี แต่งตั้งฮองเฮาฉู่เป็นเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาจิ้งหมิ่น ประทานให้อยู่ที่พระที่นั่ง
ตี๋กุ้ยเฟยถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยไท่เฟย ให้พำนักอยู่กับเซิ่งหมู่ฮองไทเฮาจิ้งหมิ่นที่พระที่นั่ง
เสด็จแม่ของอ๋องซุนกับอ๋องเว่ยถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยไท่เฟยฉืออัน ส่วนนางสนมคนอื่นของฮ่องเต้หมิงหยวน ทั้งหมดถูกแต่งตั้งเป็นไท่เฟย แม้แต่หลอกุ้ยผิน ที่เป็นเสด็จแม่ของน้องเก้าอ๋องชินก็ถูกแต่งตั้งในภายหลังเป็นหลอไท่เฟย
แต่งตั้งในภายหลังให้เสียนเฟยเป็นฮองไทเฮาจิ้งโหรว การแต่งตั้งพระฉายานามในภายหลังนี้ เป็นการประทานนามด้วยตัวหยู่เหวินเห้าเอง หวังว่านางจะรู้จักกลัวเกรง รู้จักอ่อนโยนมีเมตตา
ในตำหนัก ได้แต่งตั้งหยวนชิงหลิงเป็นฮองเฮาเป่ยหยวน ฉายานามที่แต่งตั้งหยู่เหิวนเห้าเป็นคนตั้งขึ้นด้วยตนเอง ฮองเฮาหยวนของฮ่องเต้เป่ยถัง เป็นฮองเฮาเอก และเป็นฮองเฮาเพียงคนเดียวของเขาเท่านั้น โดยพรุ่งนี้จะมีการจัดพิธีแต่งตั้งและจารึกในแผ่นทองคำ ขณะเดียวกันก็จะจัดพิธีแต่งงานของฮ่องเต้และฮองเฮา เฉลิมฉลองและแสดงความยินดีพร้อมกันกับการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่
เพื่อฉลองงานแต่งงานของฮ่องเต้และฮองเฮา ฮ่องเต้จิ่งชูมีพระบัญชา ได้งดเว้นภาษาตั้งแต่เดือนเจ็ดไปจนถึงสิ้นปี นั่นก็เท่ากับครึ่งปี
เหล่าขุนนางต่างก็สรรเสริญให้ทรงพระเจริญหมื่นปี ทั้งด้านนอกด้านในของราชสำนัก เต็มไปด้วยความปีติยินดี
หยู่เหวินเห้ากุมมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้นั่งอย่างมั่นคงอยู่บนเก้าอี้มังกร เขาโยกหมวกมาลาทอดฟ้าเบาๆ พูดที่ข้างหูของนางว่า “หยวนชิงหลิง ข้ารักเจ้า ตลอดไป ตลอดไป”
หยวนชิงหลิงมองเขา เขาที่สวมชุดเต็มยศทำให้ดูสง่างามน่าเกรงขามเป็นพิเศษ แววตากลับเคร่งขรึมจริงจังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ น้ำตาของนางรื้นขึ้นมาบนขอบตา เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ข้าก็รักท่าน หยู่เหวินเห้า จะรักตลอดไป”
เหล่าท่านอ๋องยืนอยู่ด้วยกัน ต่างก็สบตากันแวบหนึ่ง บางทีบรรยากาศนี้อาจจะเป็นบรรยากาศพิเศษ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะในร่างกายมีสายเลือดเดียวกันไหลเวียนอยู่ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นดีใจกันมาก ดีใจมาก แม้แต่อ๋องอัน เดิมทีคิดว่าตัวเองคงต้องเสียใจ แต่กลับไม่มีความรู้สึกนั้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหัวใจกลับยิ่งหนักแน่นขึ้น
อ๋องชุนจูงมือขององค์ชายแปดเอาไว้ มองดูฮ่องเต้จิ่งชูที่อยู่บนบัลลังก์มังกร เขาพูดกับองค์ชายแปดเบาๆว่า “พี่แปด พี่ห้าได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ท่านดีใจหรือไม่”
แววตาขององค์ชายแปดเป็นประกายขึ้นมา “ดีใจ เสด็จพ่อบอกว่าหลังจากที่พี่ห้าขึ้นครองราชย์แล้ว ข้าก็สามารถอาศัยอยู่ในวังต่อไปได้ พี่ห้าจะคอยปกป้องข้าตลอดไป ไม่มีใครทำร้ายข้าได้อีก”
“เขาต้องปกป้องท่านแน่ เขาทำแน่”อ๋องชุนพูดอย่างมั่นใจ
ผู้อาวุโสทั้งสามและอ๋องชินเฟิงอันที่อยู่ในตำหนักฉินคุน ยืนอยู่ตรงลานบ้าน ฟังเสียงยินดีปรีดาที่ส่งมาจากตำหนักด้านหน้า ต่างก็ตื่นเต้นดีใจเป็นล้นพ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนที่นอนอยู่ในห้องบรรทม ไม่ใช่ ตอนนี้ควรจะเป็นไท่ซ่างหวงแล้ว เขามองไปนอกหน้าต่าง รับรู้ถึงความยินดีปรีดาของการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ รู้สึกว่าภาระอันหนักอึ้งบนบ่า ในที่สุดก็สามารถวางลงได้แล้ว เขารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
ชีวิตของเขา ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางอีกสายหนึ่ง เขาสามารถลิ้มลองการใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งแล้ว
คนของตระกูลหยวนทั้งสี่ก็อยู่นอกตำหนักหมิงเต๋อ เรื่องยิ่งใหญ่ครั้งนี้ สั่นสะเทือนไปถึงจิตใจ และคนที่ทุกคนต่างตั้งตารอดูคนนั้น เป็นหลานเขย เป็นลูกเขย เป็นน้องเขยของพวกเขา ความภาคภูมิใจนี้จะคงตราตรึงไว้ในใจของพวกเขาตลอดไป ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน
บนหอคอยเมืองหลวง จุดคบเพลิงเอาไว้ เปลวเพลิงเผาไหม้ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชาพอดี พอถึงช่วงค่ำ คบเพลิงจะยังคงถูกจุดต่อเนื่อง ประชาชนต่างก็ออกมาแสดงความยินดีกันเต็มถนนหนทาง
งานเลี้ยงช่วงค่ำในพิธีราชาภิเษกนั้น ถูกเลื่อนไปเป็นคืนพรุ่งนี้ เพราะว่า พิธีการใหญ่ในพรุ่งนี้จึงจะเป็นพิธีที่หยู่เหวินเห้ารอคอยมาแสนนาน พิธีแต่งตั้งฮองเฮาของเขา
ฉะนั้น คืนนี้เขายังคงอาศัยอยู่ที่ตำหนักบูรพา
ในวังหลวง ไม่มีการแบ่งห้องบรรทมของฮองเฮาและห้องบรรทมของฮ่องเต้อีกต่อไป มีแต่ห้องบรรทมของพวกเขา
เปลี่ยนตำหนักฟางเต๋อเป็นตำหนักเสี้ยวเยว่ ภายหน้า ตำหนักเสี้ยวเยว่จะเป็นห้องบรรทมของพวกเขา
ตำหนักเสี้ยวเยว่ได้ตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นของใหม่ ชุดเครื่องนอนลายหงส์และมังกรใหม่เอี่ยม ทุกที่ติดตัวอักษรแห่งความยินดีสีแดงตัวใหญ่ ทั้งข้างนอกและข้างในเผยให้เห็นถึงภาพแห่งคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกัน
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งคิดว่าหลังจากที่สองสามีภรรยาฮ่องเต้กราบไหว้ฟ้าดินเสร็จแล้ว ก็จะย้ายไปอยู่ที่หมู่ตึกเหมย คืนนี้นับเป็นคืนแห่งความรื่นเริงของพวกเขาที่ยังคงเป็นหนุ่มสาว เขาจากไปในช่วงเวลาที่น่ายินดีที่สุดเช่นนี้ เป็นการสนับสนุนอย่างเต็มที่แล้ว และเป็นความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
แต่ว่า ที่ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งคิดก็ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ความรื่นเริงของเหล่าหนุ่มสาว แต่นี่เป็นความรื่นเริงของผู้อาวุโส โดยมีอู๋ซ่างหวงเป็นผู้นำเหล่าผู้อาวุโสชายแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ ในวันที่มีการจัดการงานพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ได้มีการสอบถามทั้งหมด ตั้งแต่รายละเอียดในเรื่องเล็กๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ ล้วนต้องไล่ตรวจสอบทั้งหมด โดยเฉพาะกับเรื่องเทียนหงส์มังกรที่ทางกรมวังได้จัดเตรียมเอาไว้ จำเป็นต้องเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นเล่มที่ใหญ่ที่สุด เพราะว่า ในคืนส่งตัวเข้าหอ เทียนแต่งงานจะดับลงไม่ได้ ไม่ให้มีแม้แต่ความเป็นไปได้สักนิดเดียว
หยวนชิงหลิงแต่งองค์ทรงเครื่องตั้งแต่เช้า เหล่าสะใภ้ร่วมราชวงศ์และฮูหยินขุนนางต่างๆก็รายล้อมอยู่ที่ตำหนักบูรพาอย่างแน่นหนาแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไหลออกไปไม่ได้ ตอนที่แต่งหน้า ได้ใช้เครื่องสำอางที่คุณแม่นำมาให้ ซึ่งค่อนข้างมีระดับ เหล่าฮูหยินขุนนางต่างก็มองอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ได้แต่ถามอยู่ตลอดว่าไปหาซื้อจากที่ไหน ที่บ้านก็ต้องมีไว้สักชุดหนึ่ง
หยวนชิงหลิงได้แต่บอกว่าแม่บุญธรรมเป็นคนนำมาให้ จากนั้น คุณแม่หยวนก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมรอบเอาไว้ ถามว่าเครื่องสำอางชุดละเท่าไหร่ ถ้าคุณแม่หยวนกลับมาเมืองหลวงเมื่อไหร่ให้นำมาให้พวกนางด้วย
คุณแม่หยวนแทบจะไม่ได้พูดเลยแม้แต่คำเดียว ดีที่มีแม่นมสี่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ บอกว่าใครต้องการก็ขอให้จดบันทึกไว้ก่อน จะได้เตรียมไว้ให้ทุกคนในภายหลัง
เช่นนี้เอง ขั้นตอนการแต่งหน้า กลายเป็นขั้นตอนการเขียนใบสั่งฝากหิ้วซื้อซะแล้ว หยวนชิงหลิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
คุณแม่กับคุณย่าแต่งหน้าให้นางด้วยตนเอง ฝีมือการแต่งหน้าของคุณแม่หยวนนั้นดีมาก แม้ว่าปกติแล้วนางจะไม่ค่อยแต่งหน้า แต่ว่า คนที่เป็นถึงบุคลากรสำคัญของโรงพยาบาล นางย่อมต้องเข้าร่วมการประชุมต่างๆทางการแพทย์อยู่เสมอ ฉะนั้นจึงมีฝีมือในการแต่งหน้าว่าไม่เลวเลย
เดิมทีการแต่งหน้าเจ้าสาวสามารถแต่งเข้มได้บ้าง แต่ใบหน้าของหยวนชิงหลิงไม่เหมาะกับการแต่งหน้าเข้ม นางมีหน้าตาที่สดใสสวยงาม แค่แต่งแต้มสีสันเล็กน้อยก็สง่างามไร้ที่ติแล้ว ฉะนั้น จึงแต่งหน้าในโทนสีชมพูอ่อน แป้งรองพื้นที่ใช้กับใบหน้าเป็นสีเดียวกันกับลำคอ ความสว่างและความชุ่มชื้นค่อนข้างดี ริมฝีปากมีความวาววับเล็กน้อย กลางคิ้วได้แต้มจุดดอกท้อ เปลือกตามีประกายสีทอง ที่สำคัญคือต้องเข้ากับเสียะเพ่ยสีทองที่เป็นเครื่องประดับเข้ากับมงกุฎหงส์
เมื่อแต่งหน้าเช่นนี้ หยวนชิงหลิงย่อมต้องงดงามอย่างที่สุด ครั้งนี้หลังจากที่นางทำการรักษาโรคกลับมา ทุกคนต่างก็รู้สึกว่านางแตกต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้แต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกว่านางไม่ใช่หยวนชิงหลิงคนเก่า
สวมมงกุฎหงส์และเสียะเพ่ย สีแดงสดเข้าคู่กับสีทองเปล่งประกายยิ่งทำให้ความสง่าและความน่ายินดีเด่นชัดขึ้น มงกุฎหงส์กดทับลงบนศีรษะ ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงรู้สึกว่าบนหัวมีภูเขาไท่ซานลูกใหญ่กดทับลงมา แต่ดีที่ตอนนี้นางเองก็ไม่ใช่หยวนชิงหลิงคนเก่าแล้ว แบกรับน้ำหนักของมงกุฎหงส์ ยังคงมีแรงเหลือเฟือ
นางยังพูดเล่นกับทุกคนด้วยว่า “ข้ารู้สึกว่าศีรษะข้ายังไม่มีค่ามากเท่ากับมงกุฎหงส์เลย ”
หรงเยว่ได้ยินคำพูดนี้ ก็ถอนหายใจ “แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่ายากจนจนเคยชิน พอร่ำรวยขึ้นอย่างกะทันหัน จึงไม่คุ้นชิน”
หยวนหย่งอี้หัวเราะและตีหรงเยว่ทีหนึ่ง “เจ้านี่มันประเด็นไหนไม่ควรพูดก็จะพูดเรื่องนั้นจริงๆ ”
คุณแม่หยวนได้ยินแล้ว ก็งุนงงอยู่บ้าง “นางยากจนมาตลอดเลยหรือ”
หยวนชิงหลิงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านอย่าฟังพวกนางพูดเหลวไหล ข้าไม่ได้ยากจน เพียงแต่ใช้เงินในที่ที่ควรจะใช้เท่านั้น ไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายเท่านั้นเอง”
คุณแม่หยวนได้ยินคำพูดนี้ ก็โล่งใจ “ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เงินก็ควรจะใช้จ่ายในเรื่องที่สำคัญ ไม่สามารถสุรุ่ยสุร่ายได้ ไม่สามารถสร้างนิสัยใช้จ่ายโดยไม่อดออมคนเคยชิน”
คุณแม่หยวนพูดแล้ว ก็มองไปทางหรงเยว่แวบหนึ่ง หรงเยว่ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด นางก็เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่เก็บออมนั่นเอง