บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1486 ไม่มีเรื่องเสียใจ
หลังจากไหว้ฟ้าดินแล้ว เดิมทีควรส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ยื่นจารึกการแต่งตั้งฮองเฮามาให้ เดิมทีหยู่เหวินเห้าไม่คิดว่าจะมอบให้กันเช่นนี้ ใครเป็นคืนยื่นมาให้นะ
เขาโมโหจนเงยหน้าขึ้นมา คว้ามือนั้นเอาไว้ ตะคอกเสียงดังว่า“เจ้าหยุดนะ ……”
เจ้าของมือนั้น เป็นอู๋ซ่างหวงใบหน้าไร้เดียงสา
ชั่วครู่เดียว ทั้งหมดต่างก็เงียบเสียงลง
สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปที่หยู่เหวินเห้าและมือที่หยู่เหวินเห้าจับเอาไว้
หยู่เหวินเห้าพูดเสียงอ่อนและปล่อยมือออก “เสด็จปู่”
อู๋ซ่างหวงงุนงงสงสัย “จารึกการแต่งตั้งนี้ไม่ได้จะให้นางหรอกหรือ”
“แน่นอนว่าย่อมต้องห้าง”หยู่เหวินเห้าพูด
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะห้ามทำไม”อู๋ซ่างหวงถาม
หยู่เหวินเห้ากัดฟันกรอด “ไม่ได้ห้าม ”
ช่างสะเพร่า ช่างสะเพร่าเกินไปจริงๆ ให้ไปเช่นนี้ แม้แต่พิธีการก็ไม่มี
“เช่นนั้นก็ดี หยวนเอ๋ย รับเอาไว้ ภายหน้าเจ้าก็เป็นฮองเฮาของเจ้าห้าแล้ว”อู๋ซ่างหวงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
หยวนชิงหลิงรับเอาไว้ และรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน เห็นทีสถานการณ์วุ่นวายในวันนี้ เจ้าห้าคงโมโหมากกระมัง
อู๋ซ่างหวงกลับดีใจมาก งานแต่งของเจ้าห้า เขาเป็นคนจัดการ ฮองเฮาของเจ้าห้า ก็เป็นเขาที่ช่วยแต่งตั้งขึ้นมา
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งมองออกถึงบรรยากาศที่ไม่ชอบมาพากลแล้ว คิดว่าตอนนี้ได้ไหว้ฟ้าดินจนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็รับการคำนับจากฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว สามารถถอนตัวเมื่องานบรรลุได้เสียที ฉวยโอกาสจากไปทั้งที่ยังชุลมุนกันอยู่ แม้จะมีขันทีคอยตะโกนร้องบอกว่าไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งจะเสด็จแล้ว แต่เพราะว่าเสียงเครื่องดนตรีได้ดังขึ้นมาอีกระลอก ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น เขาจึงจากไปได้อย่างราบรื่น
แต่อ๋องอันนั้นมองเห็น เห็นเสด็จพ่อไม่มีทีท่าจะอาการหนักเหมือนก่อนหน้านี้ ก็รู้สึกประหลาดใจมาก วิ่งตามไป “เสด็จพ่อ ……”
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งมองดูเขา “เจ้ามาได้พอดี ส่งพ่อไปที่หมู่ตึกเหมยที ”
อ๋องอันตกใจ“เสด็จพ่อจะไปวันนี้เลยหรือ”
“ไปวันนี้ ได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้กู้ซือไปส่ง ให้เจ้าอารักขาส่งข้าก็พอ ข้าไม่เชื่อใจเจ้ากู้ซือนัก อย่างไรเสียเจ้าก็น่าเชื่อถือมากกว่า ”
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งพูด ตอนนี้กู้ซือมีจิตใจที่ลิงโลดไปแล้ว อยากจะอยู่ร่วมสนุกคึกคักที่นี่ ไม่สู้ให้เจ้าสี่ไปส่ง เห็นท่าทีของเขา ก็คงจะเข้ากับงานแต่งที่เป็นเหมือนราวกับความวุ่นวายก็ไม่ปานนี้ได้
อ๋องอันกลับเข้าใจผิดในความหมายของเขา คิดว่าเชื่อใจตนจริงๆ ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ลูก ลูกรู้ตัวว่าเมื่อก่อนได้ทำผิดพลาดไปแล้ว ขอบคุณเสด็จพ่อที่ยังยินดีจะเชื่อใจลูก ”
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ มองอ๋องอัน เรื่องเก่าวนเวียนขึ้นมาในใจ รู้สึกเจ็บแปลบ “เจ้า ลุกขึ้นเถอะ พ่อลูกไหนเลยจะมีความแค้นข้ามคืนต่อกัน ”
ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งอะไรแล้ว เป็นเพียงพ่อลูกเท่านั้น
อ๋องอันเช็ดน้ำตา กล่าวขอบคุณและลุกขึ้นมา สองพ่อลูกเดินตามกันออกไป กลับไปเก็บข้าวของที่ตำหนักและจากไป
กองทัพองครักษ์ของราชวงศ์มีอ๋องอันเป็นผู้นำ อารักขาส่งไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งและฮู่ไท่เฟยที่พาน้องสิบออกจากวังแล้ว ตรงไปยังหมู่ตึกเหมย
ผ่านถนนชิงหลวน บรรยากาศแห่งความยินดีที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ยังไม่จางหายไป ทั่วทุกตรอกซอกซอยล้วนมีการประดับโคมไฟและตกแต่งอย่างสวยงาม ประชาชนส่วนมากสวมใส่สีแดง แสดงถึงความมงคลของชาติ
กองทัพอารักขาเดินผ่าน ประชาชนต่างสังเกต ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่ง ยังพูดกันว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติที่เข้าออกวังหลวงหรือไม่ก็เป็นผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์คนใดคนหนึ่ง
ม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว ล้อรถม้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า ทำให้เกิดฝุ่นตลบจางๆ ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง จากการมองทั้งหมดด้วยสายตาของไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่ง ล้วนมีแต่ความคึกคักและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง เขากุมมือของเจ้าสิบเอาไว้ พูดว่า “รอเจ้าเติบโตแล้ว ก็ต้องช่วยเหลือพี่ห้าของเจ้าอย่างเต็มที่ ช่วยเขาปกครองบ้านเมืองของเป่ยถัง”
เจ้าสิบเอียงคอครุ่นคิด“แต่ว่า ภายหน้าลูกอยากจะร่ำรวยพร้อมกับทังหยวน ทำการค้าใหญ่ด้วยกัน ”
ฮู่ไท่เฟยหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ก็ดี แล้วแต่เจ้าจะชื่นชอบเถอะ”
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน เจ้าสิบจะทำการใหญ่ได้จริงหรือ เกรงว่าจะยาก และต้องดูว่าภายหน้าใครจะเป็นผู้อบรมสั่งสอนแล้ว
ตอนที่ขบวนรถออกจากเมืองหลวง ตามระเบียบแล้วต้องตรวจตราก่อน หลังจากเลิกผ้าม่านแล้วเห็นว่าคนข้างในเป็นใคร ทหารที่เฝ้าประตูเมืองต่างก็คุกเข่าลง ส่งไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งออกจากเมืองหลวงไป
ไท่ซ่างหวงเสี้ยวเสิ่งหันกลับไปมองแวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนและดีใจ
เขาวางใจได้แล้ว
ในวัง มู่หรูกงกงได้คุกเข่าหันหน้าไปทางทิศที่หมู่ตึกเหมยตั้งอยู่ คุกเข่าลง คำนับสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นน้ำตาก็นองหน้าแล้ว ไท่ซ่างหวง ท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้อย่างดีที่สุด ไม่ให้ท่านต้องเป็นห่วง
คืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มหรือชายแก่ ต่างก็บอกว่าไม่เมาไม่กลับ งานเลี้ยงในวังหลวงของฮ่องเต้องค์ใหม่ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นในคืนนี้
บนหอคอยเมืองได้จุดคบเพลิงเอาไว้ การเฉลิมฉลองของประชาชนก็มาถึงจุดสูงสุดแล้วเช่นกัน ท่านชายสี่เหลิ่งร่วมกับกรมการพระนครได้แจกจ่ายสวัสดิการ ทุกครัวเรือนในเมืองหลวง สามารถได้รับเนื้อครัวเรือนละหนึ่งชั่ง
นอกเมืองได้จัดตั้งซุ้มโจ๊กขึ้นมา สามวันข้างหน้านี้จะมีการแจกจ่ายซาลาเปาและโจ๊กร้อนอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อฉลองการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่และงานอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา
เดิมทีทุกคนไม่ได้ใส่ใจในการจัดพิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้และฮองเฮา เพราะว่าได้แต่งงานกันมานานแล้ว ก็แค่ทำตามพิธีการเท่านั้น แต่พอกรมการพระนครและท่านชายสี่เหลิ่งทำเช่นนี้ ได้รับสวัสดิการถึงทุกครัวเรือน นี่จึงเริ่มรื่นเริงขึ้นมาอย่างแท้จริง
ตอนที่ไหว้ฟ้าดินนั้นวุ่นวายกันอยู่สักพัก แต่ว่า พอถึงช่วงงานเลี้ยง ก็ยังคงรักษาระเบียบกันได้ ภายใต้งานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เห็นเพียงการชนแก้วเหล้า การคารวะเหล้าต่อกัน ไปมาเช่นนี้ งานเลี้ยงดำเนินอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม มีคนกลุ่มใหญ่เมากลิ้งเต็มไปหมด
อู๋ซ่างหวงเองก็เมาอยู่เจ็ดแปดส่วน บางครั้งก็ได้รับสายตาจากจูตี้ที่มองมาด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง แต่คืนนี้เขาไม่กลัว เพราะว่ามีเรื่องมงคล ถ้าหากนางห้าม ก็เท่ากับห้ามไม่ให้เขาฉลองให้กับคู่บ่าวสาว
เขายื้อตัวเซียวเหยากงที่อยู่ข้างๆกัน สะอึกเหล้าครั้งหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำราวกับทาชาดสีแดง “น้องสิบแปด ที่แท้พอแก่ตัวลงแล้ว ก็มีคนคอยควบคุม ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ”
สายตาของเซียวเหยากงแข็งทื่อ ผลักเขาออก เอ่ยด้วยเสียงดังกระด้างว่า“ดื่มมากไปแล้ว ท่านเป็นถึงอู๋ซ่างหวงแล้ว ใครยังจะคุมท่านได้อีก ”
ไท่ซ่างหวงจีบนิ้วโป้งและนิ้วกลางเข้าด้วยกัน ยิ้มอย่างมีเลศนัย “มี เจ้าไม่รู้”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างโอนเอนไปมา “คืนนี้ข้ามีความสุขจริงๆ มีความสุขมากจริงๆ เจ้าห้า เอ๋ เจ้าห้าเล่า”
บนที่นั่งของฮ่องเต้องค์ใหม่ ได้เย็นชืดไปตั้งนานแล้ว ทุกคนต่างก็มองไป นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทำไมจึงไม่เห็นตอนเขาออกจากงานเลี้ยง แต่ต่อจากนั้นทุกคนต่างก็เข้าใจ ก็คืนนี้ เป็นคืนส่งตัวเข้าเรือนหอ เป็นเรื่องธรรมดาของคน เข้าใจได้
ในตำหนักเสี้ยวเยว่ หยู่เหวินเห้าที่เมาอยู่ห้าส่วนมองภรรยาที่งดงามของเขา รู้สึกหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะละสายตาได้
เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมการมองยายหยวนจึงรู้สึกว่ามองอย่างไรก็ไม่พอ และยิ่งมองก็ยิ่งน่ามอง
ยื่นมือไปจับใบหน้าของนาง พูดพึมพำว่า “ยายหยวน เจ้าช่างงดงามจริงๆ ”
หยวนชิงหลิงใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา ค้อนให้เขาทีหนึ่ง “ใครก็ไม่รู้เมื่อหลายปีก่อนยังเรียกข้าว่าหญิงอัปลักษณ์อยู่เลย”
“ใคร”แววตาของหยู่เหวินเห้าเย็นชาขึ้นมาทันที “ใครกันทีมีตาหามีแววไม่ ”
จากนั้น ก็มอบจุมพิตที่เร่าร้อนให้ จากริมฝีปากของนางค่อยๆเลื่อนไปที่ข้างใบหู พูดเสียงพึมพำ “เจ้าไม่อัปลักษณ์ ข้าจะไม่เป็นเจ้าสารเลวที่มีตาแต่หามีแววไม่คนนั้นแล้ว ข้าหวังเพียงจะอยู่ในกำมือของเจ้าไปตลอดชีวิต รักเจ้า เอ็นดูเจ้า ทะนุถนอมเจ้า ตลอดไป……”
หยวนชิงหลิงเหลือบตาขึ้นมอง ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ลึกล้ำ ราวกับเพชรสีชมพูที่หูของนางเปล่งแสงเป็นประกายขึ้นมาทันที นางยื่นมือออกไปสวมกอดที่ลำคอของเขา ถามเสียงเบาว่า “เจ้าห้า ถึงวันนี้แล้ว ท่านยังรู้สึกเสียใจหรือไม่”
หยู่เหวินเห้าจูบที่แก้มของนาง กอดนางเอาไว้ “ไม่มี ไม่มีเรื่องที่เสียใจอีกแล้ว ตลอดชีวิตข้า เดินมาได้อย่างคุ้มค่าแล้ว มีเจ้า มีลูกๆ ข้าไม่มีเรื่องต้องเสียใจ มีแต่ความยินดี ”
เสียใจ?
บางทีขั้นตอนพิธีการแต่งงานนี้อาจมีเรื่องให้เสียใจเล็กน้อย แต่ว่า คิดว่าก็ช่างมันเถอะ เพราะว่า คนที่เขารักก็อยู่ในอ้อมอก ผลเป็นเช่นนี้ ไม่เสียใจเลยสักนิดก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่น่าเสียใจในพิธีแต่งงาน ไม่ควรค่าจะพูดถึงแล้ว
ในวังหลวง ตำหนักเสี้ยวเยว่
แสงเทียนรำไร สาดส่องไปทั่วห้องที่มีตัวอักษรยินดีสีแดงตัวใหญ่ติดเต็มไปหมด แสงและเงาที่อ่อนโยนส่องประกายจากขอบสีทอง ทำให้คนคู่หนึ่งบนเตียงอบอุ่นขึ้น
หยวนชิงหลิงค่อยๆหลับตาลง สองมือยังคงพาดผ่านไหล่ที่ร้อนผ่าวของหยู่เหวินเห้า
ชีวิตของทุกคนต่างก็มีช่องว่าง รอให้คนที่รักมาเติมเต็ม ที่สุดก็สมบูรณ์แล้ว