บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1489 ท่านหมิง(หมายถึงฮ่องเต้หมิงหยวน)ขุดสมบัติ
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1489 ท่านหมิง(หมายถึงฮ่องเต้หมิงหยวน)ขุดสมบัติ
เรื่องราวไม่ควรจะดำเนินมาในรูปแบบนี้ หยู่เหวินเห้าควรจะพูดว่าทังหยวนอายุยังน้อยไม่สามารถติดตามเขาเข้าสู่วงการค้าได้ ฉะนั้น จะยอมถอยและขอร้องโดยการใช้หมาป่าทังหยวนเป็นสิ่งชดเชยแทน จากนั้นเขาก็สามารถตอบตกลงโดยไหลไปตามน้ำได้
นี่เดิมทีควรจะเป็นการเคลื่อนไหวครั้งเดียวแต่ได้ผลประโยชน์ถึงสามทาง หนึ่ง เขาสามารถได้ตามที่ปรารถนา ได้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของกรมคลัง ควบคุมเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศชาติ
สอง เขาจะได้พาหมาป่าทังหยวนไปอย่างที่ต้องการ เพื่อชดเชยความเสียใจในชาตินี้ที่ไม่มีหมาป่าหิมะในครอบครอง มากที่สุดก็แค่รอให้ทังหยวนเติบโตแล้วค่อยคืนให้เขาไป
สาม เขายังคงสามารถวางมาดสูงส่งต่อไปได้เช่นเดิม ให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าเขาสามารถจะสะบัดทุกสิ่งทิ้งไปโดยไม่สนใจก็ได้ ให้เขาอย่าได้ร้องขอมากเกินไป เพราะว่าจากทังหยวนกลายเป็นหมาป่าทังหยวน หยู่เหวินเห้ามีความรู้สึกผิดต่อเขา
หยู่เหวินเห้าที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดในการจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติรุ่งเรือง ทำไมจึงได้ปล่อยวางอย่างง่ายดายเช่นนี้ เขาควรจะหน้าด้านหน้าทนเกลี้ยกล่อมเขาด้วยวิธีการต่างๆมิใช่หรือ
หยู่เหวินเห้ามองใบหน้าที่นิ่งอึ้งไปทันทีของเขา ในใจมีความสุขที่ได้เห็นความเสียใจ แต่ไม่ได้เผยออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย พูดว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ท่านชายสี่เหลิ่งกลับไปเถอะ”
ท่านชายสี่เหลิ่งรับคำหนึ่งเสียง “ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
พูดเช่นนั้นก็จริง แต่กลับนั่งอยู่เช่นนั้นไม่เคลื่อนไหว ใช้ความคิด ถามขึ้นว่า “ประเดี๋ยวพระองค์ต้องทำงานอะไรหรือ”
“ปรึกษากับเหลิ่งจิ้งเหยียนเสียหน่อย ดูสิว่าใครที่เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าที่ปรึกษากรมคลัง ”หยู่เหวินเห้าพูด
ท่านชายสี่เหลิ่งรับคำอีกหนึ่งครั้ง “เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ จะเสียเวลาไม่ได้เลย”
“แน่นอน ”หยู่เหวินเห้ามองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก กระทั่งยังทำมือไล่ให้เขาออกไปด้วยซ้ำ
ท่านชายสี่เหลิ่งประสานนิ้วทั้งสิบวางไว้ข้างหน้า นิ้วโป้งทั้งสองนิ้วหมุนวนไปมาไม่หยุด เงยหน้าขึ้นสีหน้ากลับคืนสู่ความอบอุ่นสง่างาม “สนใจอยากจะเล่นหมากรุกสักกระดานหรือไม่ ”
หยู่เหวินเห้าทำท่ากดมือลง “เล่นหมากรุกอะไรกัน ข้าไม่ชอบเล่น อย่างไรก็คงต้องแพ้เจ้าอยู่ดี ”
“เป็นคนจะขาดความมั่นใจไม่ได้ เมื่อวานแพ้ วันนี้อาจจะชนะก็ได้”ท่านชายสี่เหลิ่งพูด แล้วยกมือขึ้นเรียกให้มู่หรูกงกงเตรียมกระดานหมากรุก
แน่นอนว่าหยู่เหวินเห้าไม่ได้อยากจะไล่เขากลับไปจริงๆ จึงแสร้งทำเป็นฝืนใจพูดว่า “ได้ แค่กระดานเดียว ข้ายังมีงานต้องทำ”
“กระดานเดียวเท่านั้น”ท่านชายสี่เหลิ่งวางหมากรุกอย่างดึงดัน เชิญเขามานั่งลง
หมากรุกกระดานนี้ ไร้ซึ่งการไล่ฆ่า เห็นเพียงท่านชายสี่เหลิ่งที่ยอมถอยร่นไป จนถึงสุดท้าย หยู่เหวินเห้าย่อมได้ชัยชนะไป
ท่านชายสี่เหลิ่งถอนหายใจเบาๆเฮือกหนึ่ง ใบหน้าขาวเนียนดุจหยกมีแววชื่นชมผุดขึ้นมาสายหนึ่ง “เมื่อคืนฮ่องเต้คงจะฝึกฝนฝีมือการเดินหมากอย่างหนักแน่ๆ”
“ไม่มีเลย”
ท่านชายสี่เหลิ่งมองเขา เอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “พระองค์ซ้อมแน่ แต่ข้ายินดีจะยอมรับความพ่ายแพ้ ในเมื่อแพ้แล้ว เช่นนั้นหัวหน้าที่ปรึกษากรมคลังอะไรนั่น ข้าเป็นก็ได้ ”
หยู่เหวินเห้าทำเสียงประหลาดใจ มองเขา “เมื่อครู่ข้าเคยบอกหรือว่าถ้าเจ้าแพ้แล้วจะให้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของกรมคลัง”
“พูดแล้ว ”ท่านชายสี่เหลิ่งเก็บกระดานหมากรุก “ฝีมือข้าสู้ไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรต้องพูด ตอบรับคำบัญชาก็พอ”
เขาลุกขึ้นยืน ประสานมือขึ้น “ขอตัวลา”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างสบายอกสบายใจ แต่เอวที่ยืดตรงดุจต้นหยกไม่ได้กลับไม่ผึ่งผายเหมือนเมื่อวาน แอบกัดฟันกรอด เดินออกจากห้องทรงพระอักษรนานแล้ว กลับได้ยินเสียงผิวปากของหยู่เหวินเห้าดังขึ้นมา สีหน้าของท่านชายสี่เหลิ่งดำคล้ำลงไปทันที
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลงกล แม้จะเป็นความยินดีสมัครใจ แต่ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีมาก ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ที่สุดแล้วมันเกิดปัญหาขึ้นที่ตรงไหน
เช่นนี้เอง ท่านชายสี่เหลิ่งเข้ารับตำแหน่ง เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของกรมคลัง วางแผนจัดการเรื่องเศรษฐกิจในสิบปีข้างหน้าของเป่ยถัง
แต่การเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา เวลาในการทำงานของเขาค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่มีผลกระทบต่อการอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงแน่นอน
เพราะว่า เขาได้ลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่ซื้อเรือนที่อยู่บริเวณข้างๆจวนเหลิ่งเอาไว้หลังหนึ่ง ปรับปรุงสักเล็กน้อย ให้กลายเป็นที่ทำงานของกลุ่มที่ปรึกษา เขาทำงานที่นี่ได้เลย การประชุมทั้งหมดจะจัดขึ้นที่นี่
การทำเช่นนี้ทำให้รู้กันไปทั่ว ย่อมต้องดึงดูดเหล่าขุนนางในราชสำนักบางส่วนจนเกิดความไม่พอใจขึ้นมา คิดว่าท่านชายสี่เหลิ่งอวดดีเกินไป เดิมทีควรเป็นเรื่องที่ทำในกรมคลัง การเรียกประชุมก็เช่นกัน ทำไมต้องปรับตัวเข้าหาเขา
ฉะนั้น ท่านชายสี่เหลิ่งที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ก็มีคนถวายฎีกาฟ้องร้องเขาแล้ว บอกว่าเขาใช้เงินของราชสำนักอย่างฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี พาให้ความนิยมของราชสำนักเสื่อมเสียไปด้วย
ที่ว่ากันว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ย่อมมีความนิยมใหม่ ความนิยมนี้ค่อนข้างจะพิถีพิถันไม่น้อย เหล่าขุนนางใหญ่ต่างก็ค่อนข้างใส่ใจ โดยเฉพาะ คนที่ถวายฎีกาเรื่องท่านชายสี่เหลิ่งนั้นยังเป็นขุนนางเก่าแก่ของอู๋ซ่างหวง นี่ทำให้เห็นได้ชัดว่าสำคัญมากจริงๆ
เปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นรัชทายาทละก็ หยู่เหวินเห้าสามารถตอกกลับไปได้อย่างสบายๆในประโยคเดียว เงินที่คนอื่นลงทุนจ่ายเอง ราชสำนักไม่เกี่ยว จะนับว่าเป็นการใช้เงินของราชสำนักอย่างฟุ่มเฟือยได้อย่างไร
แต่พอเรื่องดำเนินมาถึงขั้นทัศนคติต่อคุณค่าด้านความนิยม และเป็นสถานการณ์ที่เคร่งขรึมจริงจังของการประชุมราชสำนักในช่วงเช้าเช่นนี้ บวกกับหยู่เหวินเห้าเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ใต้บัลลังก์มังกรนี้ ยังมีผลงานของฮ่องเต้รองพื้นไว้ไม่มากพอ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถผลักภาระหน้าที่ออกไปได้เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค อีกอย่าง ขุนนางเก่าคนนี้ยังเอาแต่พร่ำบอกอวดอ้างว่าตนเป็นขุนนางในรัชสมัยอู๋ซ่างหวง มากประสบการณ์ อำนาจอิทธิพลไม่สั่นคลอนง่ายๆ
ยังดี ที่มีอ๋องชินลุ่ยคอยช่วยหลานเขยเอาไว้ พระองค์ได้โต้กลับขุนนางเก่าแก่ที่ถวายฎีกา ให้เขาลองคำนวณดูว่าหลายปีมานี้ท่านชายสี่เหลิ่งได้บริจาคเงินให้กับราชสำนักไปเท่าไหร่ ตอนที่เอาเงินของเขาไม่พูดว่าเขาสุรุ่ยสุร่าย ตอนนี้เขาแค่ต้องการทำงานให้ง่ายขึ้น ออกเงินซื้อสถานที่ให้กับราชสำนักได้ใช้ทำงาน ยังต้องทนรับคำวิพากษ์วิจารณ์ แม้ว่าจะเป็นการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่เทียบกับเงินที่เขาบริจาคมาให้ในหลายปีนี้ได้หรือไม่
คำพูดนี้ ทำเอาไม่มีใครกล้าคัดค้านอีก กลับมีขุนนางไม่น้อยที่ปรบมืออยู่ในใจอย่างเงียบๆให้กับอ๋องชินลุ่ย พูดได้เยี่ยมมาก
อ๋องชินลุ่ยเงยหน้าขึ้น กระแอมในลำคอหนึ่งเสียง พูดราวกับว่าไม่มีใครเป็นขุนนางตั้งแต่รัชสมัยอู๋ซ่างหวงเหมือนขุนนางเก่าอย่างเขาอย่างไรอย่างนั้น เขาเข้าร่วมการบริหารบ้านเมืองตั้งแต่อายุสิบหกปี ก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่ทำงานเพื่อเสด็จพ่อและเสด็จพี่เหมือนกันมิใช่หรือ
ถูกต้อง ตอนนี้เขาเองก็เป็นขุนนางเก่าแก่ เป็นขุนนางเก่าที่ผ่านการทำงานมาแล้วถึงสามรัชสมัย
หยู่เหวินเห้ามองใบหน้าของเหล่าขุนนางเก่าทั้งหลายที่ทำท่าทีราวกับกินยาขม อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกลึกๆว่าการเป็นฮ่องเต้ไม่ได้มีอิสรเสรีเท่ากับตอนที่เป็นรัชทายาทแล้ว ตอนนั้นรักหรือเกลียดก็แบ่งแยกชัดเจน อยากจะตอกกลับใครก็ทำได้ ตอนนี้สามารถรับรู้ได้ถึงความลำบากใจของเสด็จพ่อแล้ว
และทางด้านหมู่ตึกเหมย ท่านหมิงที่สละราชบัลลังก์แล้วกำลังคิดจะทำการใหญ่เรื่องหนึ่ง
เพราะว่าก่อนหน้านี้หลายวันได้มีฝนตกหนัก ภูเขาที่อยู่ตรงข้ามกับหมู่ตึกเหมยได้มีดินถล่มลงมาส่วนหนึ่ง จึงได้ไปตรวจดูสถานการณ์ กลับเก็บสมบัติล้ำค่าได้จากดินโคลนที่ถล่มลงมา หลังจากล้างทำความสะอาดแล้ว พบว่าเป็นอัญมณีที่มีมูลค่าไม่ธรรมดา
นี่ทำเอาท่านหมิงดีใจมาก รีบให้คนไปเชิญตัวอ๋องชินลุ่ยมา ให้เขาวิเคราะห์ดูว่าสมบัติเหล่านี้มาจากที่ใด
อ๋องชินลุ่ยมองดูอัญมณีไม่กี่ชิ้นนั้นอย่างละเอียด แล้วก็ไปสำรวจดูสถานที่ที่เก็บสมบัติเหล่านั้นได้ด้วยตาตนเอง พบว่าภูเขาที่มีดินถล่มนั้นอยู่ใกล้กับรอบนอกของสุสานจักรพรรดิ แต่ว่าสุสานจักรพรรดิไม่มีทางถล่มได้ เพราะมีการเสริมความแข็งแรง แรกเริ่มอ๋องชินลุ่ยคิดว่ามีโจรขโมยของในสุสาน แต่หลังจากตรวจสอบแล้ว ก็พบว่าไม่ใช่
แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เป็นไปได้อย่างสูง เขารีบบอกกับท่านหมิงทันทีว่า “ไม่รู้ว่าพระองค์ยังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นฮ่องเต้ฮุยจงมีลูกชายคนหนึ่งซึ่งตายไปตั้งแต่ยังเล็กชื่อหยู่เหวินหาน หลังจากที่เขาตายแล้ว ตระกูลฉู่ได้ช่วยจัดการให้มีการฝังสิ่งของพร้อมกับคนตายให้กับเขามากมาย ได้ยินมาว่าสิ่งของที่ฝังพร้อมคนตายเหล่านั้นแทบจะทำเอาสมบัติของตระกูลของฮ่องเต้ฮุยจงซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่อ๋องชินซู่แทบจะไม่มีเหลือ แต่ว่าสุสานเคยถูกฟ้าผ่า พังถล่มลงมาทั้งหมด ผ่านไปหลายสิบปี บางทีอาจมีบางส่วนถูกชะล้างลงมาก็เป็นไปได้”
ท่านหมิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว “เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยิน แต่ว่าเจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ ”
อ๋องชินลุ่ยส่ายหน้า “ก็ไม่ได้แน่ใจนัก แต่สามารถถามอ๋องชินเฟิงอันได้ ”
ท่านหมิงแทบจะกระโดดขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ตะคอกเสียงหนึ่งว่า “บอกเขาไม่ได้ บอกไม่ได้แม้แต่คำเดียว”
เสียงที่ดังราวกับฟ้าผ่าทำเอาอ๋องชินลุ่ยตกใจ เขานิ่งอึ้งไป มองเสด็จพี่ที่เสียกิริยา “เพราะ…เพราะอะไรเล่า”
ท่านหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง รู้ตัวว่าเสียกิริยาไป ทำท่ากดมือลงให้สถานการณ์คลี่คลายไป “เรื่องที่ไม่แน่ใจอย่าพูดกับคนอื่น โดยเฉพาะเสด็จลุงเขาเป็นคนอย่างไรเจ้าก็รู้ดี ค่อนข้าง…… ค่อนข้าง……”
เขาเค้นความคิดในหัวทั้งหมด อยากจะใช้คำเปรียบเทียบที่ไม่ล่วงเกินต่ออ๋องชินเฟิงอันมากนัก แต่หาไม่เจอ ได้แต่พูดตามความจริงไปว่า “เขาเห็นเงินแล้ว ก็เหมือนแมลงวันที่เห็นขี้ควาย อย่าบอกให้เขารู้ดีที่สุด”
อีกอย่าง องครักษ์ของเขาในตอนนี้ย่อมเทียบกับองครักษ์ชุดดำที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเสด็จลุงไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าให้เขารู้เข้า ส่งคนเหล่านั้นมายึดครองพื้นที่ขุดหาสมบัติ แม้แต่หญ้าสักต้นก็คงไม่เหลือ