บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1490 ฟื้นคืนจากความตกต่ำ
อ๋องชินลุ่ยทำสีหน้าไม่ถูกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ก็ได้ ข้าจะไปพูดออกไป”
เพียงแต่ ในใจอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้ ตอนนี้คนของเสด็จลุงพลุกพล่านอยู่เต็มเมืองหลวงไปหมด ขอเพียงเรียกให้คนมาขุดหาสมบัติที่นี่อย่างเอิกเกริก พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
สิ่งที่อ๋องชินลุ่ยกังวลก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะว่า ในวันที่สองหลังจากตรวจสอบจนชัดเจนแล้ว เหล่าหยวนยังไม่ทันได้ส่งคนไป ก็มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งเดินทางไปตรงนั้นแล้ว และทุกคนยังแบกจอบเอาไว้ด้วย ราวกับมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเหล่าหยวนรับรู้แล้ว ก็โมโหแทบเป็นแทบตาย สมบัติที่อยู่ใต้ดิน ใครกันไม่สามารถจะเก็บได้
อีกอย่าง อ๋องชินเฟิงอันยังจงใจพาเสือมาที่หมู่ตึกเหมยเป็นการพิเศษ บอกว่าจะมาทำราชกิจที่ภูเขาใกล้ๆกันนี้ ฉะนั้นหนึ่งเดือนนับจากนี้ บางทีอาจมีเสียงรบกวนมาถึงหมู่ตึกเหมยได้ ให้เขาอภัยให้ด้วย
หัวอกของท่านหมิงแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ก็ไม่กล้าแย่ง“ราชกิจ”ของเขา เพราะว่า ว่าไปแล้วเขาก็เป็นคนที่ออกมาจากจวนอ๋องซู่จริงๆ ยังเป็นลูกชายคนโตของฮ่องเต้ฮุยจงอีกด้วย เขาจะเอาสมบัติเหล่านั้นกลับไป ก็ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมแล้ว
อ๋องชินเฟิงอันพาเสือเดินไปรอบๆหมู่ตึกเหมย ยกนิ้วโป้งขึ้นชื่นชมไม่ขาดปาก บอกว่าหมู่ตึกเหมยที่อยู่ภายใต้การปรับปรุงของเขา ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดีขึ้นมาก
ท่านหมิงรู้สึกอดทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ ตอกกลับไปคำหนึ่งว่า “ถ้าหากท่านลุงรู้สึกเสียดาย จะซื้อกลับไปก็ได้”
อ๋องชินเฟิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเมตตาปรานีว่า “ดูเด็กโง่อย่างเจ้าสิ พูดอะไรโง่ๆกันเล่า ลุงจะไปแย่งของรักของคนอื่นได้อย่างไร”
เหล่าหยวนแทบอยากจะดิ้นตายเพราะคำพูดที่มีเครื่องหมายเท่ากับคำว่าหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้ ใช้เวลานานมากกว่าลมหายใจเฮือกหนึ่งจะกลับมาเป็นปกติ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืดคอยาว เอ่ยอย่างยากลำบากว่า “หากท่านลุงไม่มีอะไรแล้ว ก็ไปทำงานราชกิจของท่านเถอะ”
อ๋องชินเฟิงอันยิ้มจนตาหยีพูดว่า “มีเรื่องหนึ่ง มีเรื่องหนึ่งต้องการจะปรึกษาหารือกับเจ้า”
เขาอดกลั้นความหดหู่ที่มีอยู่เต็มอก “ท่านพูดเถอะ”
อ๋องชินเฟิงอันพูดว่า “คืออย่างนี้ ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องซู่ คนที่ส่งออกไปทำงานก็อาศัยอยู่ที่จวนอ๋องซู่ กลางวันต้องทำงานอยู่ที่นี่ ย่อมไม่ดีหากจะให้ไปกลับอยู่เสมอ กินอาหารแห้งก็ไม่ดีแต่สุขภาพ เพราะว่าต่างก็อายุมากแล้ว ฉะนั้นจึงจะปรึกษากับเจ้าว่า ในหนึ่งเดือนที่จะมาถึงนี้ ให้ทำอาหารกินที่หมู่ตึกเหมยไปก่อน เจ้าวางใจได้ พวกเขากินไม่มาก ไม่ต้องหลากหลายซับซ้อน หมั่นโถวหรือข้าวก็ได้ ”
สมองของท่านหมิงเกิดเสียงอื้ออึงดังขึ้น หลอกเงินเขาไปหนึ่งล้านตำลึง แย่ง“ราชกิจ”ของเขา ตอนนี้ยังจะให้เขารับผิดชอบเรื่องอาหารการกินอีก เป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ
เขากระทืบเท้ายืนขึ้น โทสะพุ่งขึ้นมาบนศีรษะ กำลังคิดจะตอบโต้กลับ เห็นเพียงอ๋องชินเฟิงอันว่างมือเอาไว้บนไหล่ของเขา พูดว่าจริงใจว่า “หลังจากทำราชกิจเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะแบ่งเจ้าห้าในสิบส่วน ”
ความโมโหมลายหายไปจนสิ้น ท่านหมิงเปลี่ยนจากความโกรธเป็นรอยยิ้มขึ้นมาทันที “ดูสิท่านลุงยังเกรงใจต่อหลานถึงเพียงนี้ ก็ได้ วางใจเถอะ อย่าว่าแต่หมั่นโถวกับข้าวเปล่าเลย แม้จะกินเนื้อทุกมื้อ หลานก็รับผิดชอบได้ ”
เขาร้องตะโกนขึ้นมาทันที “เร็วเข้า เอาอุปกรณ์เครื่องเขียนมา ”
อ๋องชินเฟิงอันไม่เข้าใจ “จะเอาอุปกรณ์เครื่องเขียนมาทำไมกัน ”
“เขียนเป็นหลักฐานเอาไว้”ท่านหมิงพูดยิ้มๆ
“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ”อ๋องชินเฟิงอันมองเขาด้วยสายตาที่เจ็บปวด
“เชื่อ เชื่อแน่นอน แต่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรจะได้ไม่มีข้อขัดแย้ง จะได้ไม่ทำร้ายจิตใจต่อกัน”ท่านหมิงยิ้มสดใส แต่ลึกๆแล้วกลับกำลังกัดฟันกรอด จะไม่เอาทุนคืนกลับมาให้สาสมได้อย่างไร
อ๋องชินเฟิงอันยักไหล่ “ในเมื่อเจ้ายืนหยัดจะทำ เช่นนั้นก็ทำเถอะ”
จากนั้นก็เอาอุปกรณ์เครื่องเขียนขึ้นมา อ๋องชินเฟิงอันจรดพู่กันลงไป เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าจะแบ่งสมบัติที่ขุดได้จากภูเขาทั้งหมดให้กับท่านหมิงครึ่งหนึ่ง โดยมีท่านหมิงทำอาหารให้วันละสามมื้อ หากมีความจำเป็นต้องช่วยสนับสนุนด้านเครื่องมือ หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรถูกทำขึ้นสองฉบับเหมือนกัน แบ่งกันถือคนละหนึ่งฉบับ
ท่านหมิงเห็นตัวอักษรดำบนกระดาษขาว จึงรู้สึกวางใจได้ แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะหลอก แต่เขาก็จะส่งคนไปคอยจับตาดูอยู่ตลอด ขุดได้เท่าไหร่ เขาต้องรู้อย่างชัดเจน
กลับจากหมู่ตึกเหมย อ๋องชินเฟิงอันก็มีคำสั่งให้เริ่มขุด มอบหมายเรื่องอาหารการกิน วันละสามมื้อ ล้วนกินที่หมู่ตึกเหมย
อู๋ซ่างหวงประหลาดใจ “เขายินดีหรือ”
“ยินดี แบ่งเขาครึ่งหนึ่ง เขาย่อมยินดี ”อ๋องชินเฟิงอัน
“เป็นไปไม่ได้”อู๋ซ่างหวงมองเขา
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เขียนหนังสือเป็นหลักฐานได้แล้ว เจ้าดู ”จากนั้นอ๋องชินเฟิงอันก็เอาหลักฐานให้อู๋ซ่างหวงดู
อู๋ซ่างหวงพูดว่า “ความหมายของข้าคือเจ้าไม่มีทางแบ่งเขาครึ่งหนึ่ง”
เขาเอาหนังสือสัญญา อ่านทุกตัวอักษรและสัญลักษณ์อย่างละเอียดชัดเจน ส่ายหน้า จากนั้นก็เพิ่มขึ้นอีกประโยคว่า “เคยหลงกลแล้ว ทำไมยังไม่รู้จักฉลาดขึ้นบ้าง”
เซียวเหยากงเขยิบเข้ามา “มีกับดักหรือ”
อู๋ซ่างหวงเอาสัญญาให้เซียวเหยากงดู เซียวเหยากงดู แต่ดูไม่ออก จากนั้นก็ยื่นไปให้โสวฝู่ฉู่ โสวฝู่ฉู่มองดูแวบเดียว ก็ยิ้มออกมา “อืม เห็นทีต้องขาดทุนเรื่องค่าอาหารแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร”เซียวเหยากงยังไม่เข้าใจ สมบัติในสุสานนั้นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลายล้านตำลึงเชียวนะ โดยเฉพาะถ้าขายออกไปตอนนี้ เกรงว่าจะยิ่งมีราคาสูงขึ้น แบ่งครึ่งหนึ่ง จะทำให้ขาดทุนค่าอาหารได้อย่างไร
โสวฝู่ยิ้มและพูดว่า ”บอกว่าจะแบ่งครึ่งหนึ่งของพี่เหว่ย ถ้าขายสมบัติเหล่านั้นแล้ว พี่เหว่ยเอาแค่หนึ่งตำลึงเล่า จะขาดทุนหรือไม่”
เซียวเหยากงสูดลมหายใจอย่างลึกๆเฮือกหนึ่ง “หนึ่งตำลึง ใจดำเกินไปแล้วกระมัง”
อ๋องชินเฟิงอันโบกมือ “จะเป็นไปได้อย่างไร จะให้เขาขาดทุนได้อย่างไร ข้าคิดจะเอาแค่หนึ่งร้อยตำลึง ที่เหลือจะให้โล่หมันแบ่งกับพวกเขา เช่นนั้นเขาก็จะได้ห้าสิบตำลึง ก็ไม่ถึงกับขาดทุนค่าข้าว แต่ค่าเนื้อคงจะขาดทุนเสียหน่อย ”
เซียวเหยากงเอ่ยอย่างอึ้งๆว่า “เจ้าไม่กลัวจะถูกกรรมตามสนองหรือ”
อ๋องชินเฟิงอันมองเขา จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหยิกที่ใบหน้าของเขาแรงๆ “ตอนแรกที่รับเจ้าเอาไว้ ก็ได้รับกรรมที่สนองอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ยังมีเวรกรรมอื่นที่เทียบได้อีกหรือ”
เซียวเหยากงยิ้มแกนๆ “ตอนนั้นที่รับข้าเอาไว้ อย่างน้อยก็เก็บเงินสามร้อยตำลึงเป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายในบ้าน ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะอยู่รอดมาได้”
ตอนนั้นที่ชายาเฟิงอันรับเซียวเหยากงเอาไว้ ท่านกั๋วกงได้ให้เงินไว้สามร้อยตำลึง ให้หอจัยซิงเลี้ยงดูเขาสองสามปี และนับว่าได้ใช้ความคิดทั้งหมดที่มีแล้ว เรื่องนี้ ภายหลังได้ทำให้ชายาเฟิงอันแทบจะกัดฟันกรามจนแตกละเอียดเลยทีเดียว
ตอนนี้เมื่อนึกขึ้นมาแล้ว รู้สึกเพียงว่าเวลาช่างผ่านไปเร็วดุจสายน้ำ ชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้ว
เช่นนี้เอง กองทัพที่ทำงานราชกิจจึงทำงานทุกวัน ไปกินข้าวที่หมู่ตึกเหมยก่อนค่อยเริ่มทำงานกัน ตอนเที่ยงก็มากินอาหารเที่ยงอย่างตรงเวลา พอถึงช่วงพลบค่ำพระอาทิตย์ตกดิน ก็กลับมากินอาหารค่ำ ท่านหมิงเห็นการกินจุที่น่าตกใจของพวกเขา ก็แอบตกใจอยู่ชั่วครู่ แต่เมื่อนึกถึงส่วนแบ่งในภายหลังหัวใจก็ผ่อนคลายลงบ้าง เพราะว่า แม้จะกินสักหนึ่งพันตำลึง ก็แค่เศษเงินของส่วนแบ่งเท่านั้น
ครั้งนี้เขาระวังมาก ได้ส่งคนไปคอยสังเกตการณ์ทุกวัน กระทั่งมีบางครั้งที่ไปเดินดูด้วยตนเอง เห็นสมบัติที่ขุดออกมาได้ ก็ให้คนจดบันทึกเอาไว้ จากนั้นก็คำนวณราคา
บางครั้งวันหนึ่งก็ได้สมบัติแค่ไม่กี่ชิ้น แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่ได้อะไรเลย แต่รวมๆแล้ว ดูจากราคาก็ยังทำให้น่ายินดีอยู่
เขาแอบคำนวณส่วนแบ่งของตัวเองทุกวัน เช่นวันนี้ขุดเจอตำลึงทองไม่กี่ชิ้น ก็มีราคาเจ็บแปดสิบตำลึง ตัวเองอย่างน้อยก็สามารถได้ส่วนแบ่งสักสามสี่สิบตำลึงทอง เปลี่ยนเป็นเงินจะเท่ากับเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นเงินทองแดงจะเท่ากับเท่าไหร่
คนที่เคยเป็นฮ่องเต้ผู้มากความสามารถ ตอนนี้เอาแต่คำนวณเรื่องเงินทอง แต่ความรู้สึกเช่นนี้กับค่อนข้างตื่นเต้น เขาบอกกับฮู่ไท่เฟยว่าบางทีตัวเองอาจจะมีพรสวรรค์ในการทำการค้า มีความสามารถในการคำนวณเงินทองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการสามารถเอาชนะจากข้อเสียของผู้อาวุโสได้สักครั้งหนึ่ง ทำให้อ๋องชินเฟิงอันลงนามในสัญญาอย่างว่าง่าย แบ่งเขาครึ่งหนึ่ง นี่มันให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จกว่าการเป็นฮ่องเต้เสียอีก
ฮู่ไท่เฟยเคยโง่และไร้เดียงสามากมาก่อน ตอนนี้ได้ยินท่านหมิงพูดให้ฟัง กลับรู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายดายเช่นนี้
แต่ว่า ดูชายแก่ที่มีท่าทีไร้เดียงสาก็เป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขเช่นกัน