บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1493 กินมากไปแล้ว
หลังจากที่พวก“กากเดน”แห่งหอจัยซิงที่อาศัยอยู่จวนอ๋องซู่ได้ส่วนแบ่งแล้ว โดยมีอ๋องชินเฟิงอันเป็นผู้วางแผนเส้นทาง ออกจากจวนไปอย่างสบายอกสบายใจ
ตอนที่ออกจากจวน เสียงอึกทึกครึกโครม จนทำให้เซียวเหยากงตกใจตื่น เขาคลุมเสื้อแล้วเดินออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินว่าเหล่าผู้อาวุโสชุดดำต่างก็ออกไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะถามอู๋ซ่างหวง “พวกเขาไปไหนกัน”
อู๋ซ่างหวงกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ใต้ระเบียง เหลือบมองด้วยสายตาหมดอาลัยตายอยาก “เมื่อคืนได้ยินพี่เหว่ยปลุกใจพวกเขา บอกว่าพวกเขาปกป้องเป่ยถังมาทั้งชีวิต สมควรออกไปเดินให้ทั่วทั้งแผ่นดินเหนือใต้ ดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาปกป้องมานั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
โสวฝู่เดินเข้ามา พูดยิ้มๆว่า “ในเมื่อพี่เหว่ยพูดจายิ่งใหญ่เช่นนี้แล้ว ย่อมต้องมีเป้าหมายแน่ คาดว่าคงจะสั่งการให้พวกเขาจากไป”
“แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะทำอะไรกันแน่”เซียวเหยากงนั่งลงถาม
“ไม่รู้ แต่สักพักก็คงจะรู้เอง”โสวฝู่สงบนิ่งมาก
เซียวเหยากงขยับตัวไปด้านข้างของอู๋ซ่างหวง ยื่นนิ้วมือสองนิ้วออกมา “เอามามวนหนึ่ง”
“ฝันไปเถอะ”อู๋ซ่างหวงค้อนให้เขาอย่างเฉยเมย หนึ่งเดือนได้สูบแค่นี้ ยังจะต้องแบ่งให้เขามวนหนึ่งอีกหรือ
“พรุ่งนี้พี่จูตี้มา ข้าจะฟ้อง”เซียวเหยากงเอ่ยขู่
อู๋ซ่างหวงโยนก้นบุหรี่ทิ้ง โมโหจนฟาดฝ่ามือลงไปที่หลังท้ายทอยของเขา“เจ้ากล้าหรือ ”
เซียวเหยากงนั่งลงไป เก็บก้นบุหรี่ที่ยังคงมีควันอยู่สูบไปคำหนึ่ง ปากก็พ่นควันบุหรี่ที่ออกมา ระหว่างที่ควันขาวโอบล้อมอยู่ก็เอ่ยอย่างอวดดีว่า
“ข้าไม่เพียงแต่จะฟ้องว่าท่านสูบบุหรี่ ยังจะฟ้องว่าเมื่อคืนท่านดื่มเหล้า แล้วยังตีข้าด้วย”
อู๋ซ่างหวงถอดรองเท้าจะเอามาตีเขา โสวฝู่ก็เข้ามาสงบศึก พูดกับอู๋ซ่างหวงว่า “ท่านให้เขาไปเถอะ ไม่เช่นนั้นก็จะพูดมากทั้งวัน ไม่จบไม่สิ้น ”
“ไม่ให้ ”อู๋ซ่างหวงเกลียดการข่มขู่จากน้องสิบแปดมากที่สุด
โสวฝู่ดันเขาเบาๆทีหนึ่ง ใช้สายตาส่งสัญญาณ “ให้เถอะให้เถอะ ประเดี๋ยวถ้าฟ้องขึ้นมาต้องถูกตรวจสอบ ในห้องของท่านยังซ่อนอยู่เท่าไหร่ท่านก็รู้ ในห้องข้าก็มีสมบัติซ่อนอยู่เช่นกัน ”
อู๋ซ่างหวงประหลาดใจมาก “ในห้องของเจ้ามีสมบัติอะไรซ่อนอยู่ ”
โสวฝู่เอ่ยอย่างระอาใจว่า “ครั้งที่แล้วเจ้าเมืองฉองโจวกลับมารายงานการทำงานได้เอาลูกหมากมาให้ข้า พี่จูตี้ไม่ให้กินสิ่งนั้น บอกว่าเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ข้าก็ยังกินอยู่ดี ”
“ของนั่นไม่น่ากินจริงๆ เจ้าก็อย่ากินให้มาก”อู๋ซ่างหวงพูด
“สูบบุหรี่ก็ไม่มีอะไรน่าสูบ ทำไมท่านยังสูบอยู่เล่า”โสวฝู่ถามกลับ
เซียวเหยากงยื่นมือออกและถามอู๋ซ่างหวง “ท่านจะให้หรือไม่”
อู๋ซ่างหวงโยนให้เขามวนหนึ่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เจ้ามันเหลือทน”
ผ่านไปชั่วครู่ ก็มีคนเข้ามารายงานว่า สองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันแบกสัมภาระออกจากจวนไปแล้ว
“บอกหรือไม่ว่าจะไปที่ใด”อู๋ซ่างหวงถาม
“ไม่ได้บอก บอกแค่ว่าถ้ามีเวลาว่างจะมาพักที่นี่”
โสวฝู่บอกว่า “คาดว่าคงจะกลับไปแล้ว”
อู๋ซ่างหวงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่มาบอกลากันสักคำ ไม่ไว้หน้ากันเลย”
เซียวเหยากงพูดขึ้นในห้องประโยคหนึ่งว่า “คาดว่าในใจของพวกเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถกลับไปอย่างเป็นทางการได้หรือไม่ ถ้าหากไม่สามารถกลับไปได้จริงๆ กล่าวลาแล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากสามารถกลับไปได้จริงๆ พวกเขาจะกลับมากล่าวอำลาก็เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว”
อู๋ซ่างหวงเอามือเท้าคางเอาไว้ “ข้าก็อยากจะไปสักครั้ง ไม่รู้ว่าภายหน้าจะมีโอกาสได้ไปหรือไม่ ”
“ทำไมจะไม่มี วันหน้าหากฮองเฮากลับไปทำเรื่องยาอะไรนั่น พวกเราก็ตามไปเที่ยวสักวันสองวันก็ได้มิใช่หรือ”โสวฝู่พูด
“ไม่พาน้องสิบแปดไปนะ”อู๋ซ่างหวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เซียวเหยากงหลุดเสียงหัวเราะออกมา ลำพังคนแก่อ่อนแอสองคน จะทิ้งเขาไว้ได้อย่างไรกัน
แต่ว่า เขาชื่นชอบที่จะดูพวกเขาทำท่าทีไร้เดียงสาจริงๆ
ประโยคนี้ของเซียวเหยากงไม่เป็นเรื่องจริง ผ่านไปไม่กี่วัน ก็เห็นสองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันแบกสัมภาระกลับมาแล้ว ยังอุ้มแตงโมลูกใหญ่กลับไปยังหอจัยซิงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนก็แค่ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับไม่รู้มาก่อนว่าพวกเขาเคยจากไป
แต่ว่าเซียวเหยากงนั้นสอดรู้สอดเห็นมาก ไปถามไถ่ข่าวคราว พระชายาบอกเขาว่า กลับไปแล้วรู้สึกเสียดายที่นี่ แล้วก็กลับมาอีก เพราะว่าอยู่ที่นี่จนคุ้นชินแล้ว มีคนที่ตัดใจทิ้งไม่ลง อดทนรอให้พวกเขาตายแล้วค่อยกลับไป
เซียวเหยากงซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง กลับไปเล่าให้โสวฝู่ฉู่และอู๋ซ่างหวงฟัง อู๋ซ่างหวงไม่เชื่อ “เป็นเพราะยังกลับไปไม่ได้กระมัง เพราะว่า เป่ยถังยังไม่นับว่าเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ตามที่หมายมั่นเอาไว้”
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอะไร แต่พวกเขาก็ยังอยู่ ”โสวฝู่มองเพียงผลสุดท้าย ไม่สนใจรายละเอียดขั้นตอน
ก็จริง
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน พริบตาเดียวก็ใกล้สิ้นปี จะขึ้นปีใหม่แล้ว หยู่เหวินเห้าได้วางแผนว่าจะส่งพวกเด็กๆกับสองแฝดกลับไปเรียนหนังสือ เหลือแค่เสี่ยวกวาจื่อไว้ข้างกายก็พอ
หัวใจเป็นกังวลอยู่ตลอดเรื่องที่ฉีฮั่วบอกว่ารอให้กวากวาอายุครบสามขวบแล้วจะมาพานางไป ความเป็นมาของฉีฮั่ว ที่จริงเขานับว่าไม่รู้ทั้งหมด เพียงแค่ได้ยินพวกเขาคุยกันในยุคปัจจุบันเท่านั้น แม้ความจริงเป็นเช่นไร ก็ยังไม่รู้ จะวางใจให้เขาพาไปได้อย่างไร
เรื่องนี้ ยังคงค้างคาอยู่ในใจเขาตลอดมา ไม่สามารถสบายใจได้ คิดว่าจะใช้โอกาสหลังปีใหม่ตอนที่ส่งพวกลูกๆไป ให้ยายหยวนถามเรื่องของฉีฮั่วให้ละเอียด
คืนรวมญาติในวันปีใหม่ปีแรกของฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ หยู่เหวินเห้าได้ให้คนไปรับอู๋ซ่างหวงและไท่ซ่างหวงกลับมาร่วมฉลองปีใหม่ด้วยกัน บรรดาญาติพี่น้องในราชวงศ์ต่างก็เข้าวังอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
องค์หญิงท้องใหญ่มากแล้ว ไม่สะดวกในการเดินทาง ฉะนั้นปีนี้จึงไม่ได้กลับบ้านมารดา วันที่สองของปีใหม่หยวนชิงหลิงไปเยี่ยมนางด้วยตัวเอง และได้ทำการตรวจร่างกายให้นาง
เมื่อก่อนท่านชายสี่เหลิ่งเอาแต่บอกว่าหนึ่งครรภ์คลอดสามคนก็ดี เพราะว่าเป็นการแก้ไขเรื่องราวทั้งหมดได้ในครั้งเดียว แต่พอหลังจากที่หยู่เหวินหลิงต้องทรมานจากการตั้งครรภ์ เขาก็เปลี่ยนความคิด คนเดียวก็พอ ความเสี่ยงจะได้ไม่สูงนัก
หลังจากหยวนชิงหลิงตรวจร่างกายแล้ว ก็มีแค่คนเดียวจริงๆ ท่านชายสี่เหลิ่งรู้สึกโล่งใจมาก
เท้าทั้งสองข้างของหยู่เหวินหลิงบวมเบ่งอย่างร้ายกาจ เดินลำบากมาก และอ้วนเป็นอย่างยิ่ง หลักๆคือความผิดของท่านชายสี่เหลิ่ง หลังจากหยู่เหวินหลิงตั้งครรภ์และผ่านช่วงแพ้ท้องไปแล้ว ก็กินจุมาก หยวนชิงหลิงได้เคยกำชับไว้แล้วว่าต้องกินให้น้อยแต่กินบ่อยๆ แต่หยู่เหวินหลิงควบคุมไม่ได้ ได้แต่ร้องว่าหิวอยู่ตลอดเวลา ท่านชายที่สี่เหลิ่งที่มีสติสัมปชัญญะมาตลอดสงสารภรรยา ก็เริ่มไม่มีสติเสียแล้ว ทำของกินอร่อยต่างๆนานาให้นางกิน ทุกครั้งเขาจะเป็นคนบอกว่ากินอีกมื้อหนึ่ง มื้อหน้ากินให้น้อยหน่อย ผลปรากฏว่าก็กินมากทุกมื้อ ตอนที่หยวนชิงหลิงมาตรวจร่างกาย เขาก็ให้คนปิดบังเอาไว้ บอกว่ากินน้อยลงจริงๆ
จนกระทั่งช่วงหลังที่น้ำหนักเกินเกณฑ์ไปมากแล้ว ตอนที่หยวนชิงหลิงบอกว่าลูกตัวใหญ่เกินไปจะทำให้คลอดลำบาก ท่านชายสี่เหลิ่งจึงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ว่ากระเพาะขององค์หญิงถูกเลี้ยงจนใหญ่แล้ว จะให้อดอาหารเป็นเรื่องที่ลำบากมาก
วันที่สองของปีใหม่ หยวนชิงหลิงนั้นมาทำการตรวจร่างกายให้โดยเฉพาะ เกรงว่าอาหารในช่วงปีใหม่จะอุดมสมบูรณ์มากเกินไป บรรยากาศก็ดี ท่านชายสี่เหลิ่งไม่มีสติให้นางกินมากเกินไป
พอมาถึงจวนเหลิ่งและทำการสอบถาม ก็กินมากเกินไปจริงๆด้วย และยังกินจนอาเจียนอีกด้วย
หยวนชิงหลิงกล่าวโทษท่านชายสี่เหลิ่งเป็นคนแรก ครั้งนี้ท่านชายสี่เหลิ่งนั้นบริสุทธิ์จริงๆ หยู่เหวินหลิงอาเจียน เขาก็ร้อนใจจะแย่ เพราะว่าครั้งนี้หยู่เหวินหลิงแอบขโมยกินเอง โดยที่เขาไม่รู้
ใบหน้าขาวซีดของหยู่เหวินหลิง ทั้งรู้สึกผิดทั้งทรมาน ดึงมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้เอ่ยอย่างทุกข์ทรมานว่า “ข้ารู้ว่าต้องกินน้อยๆ แต่ว่าข้าอดไม่ได้จริงๆ คืนส่งท้ายปีเก่า ข้ากินเนื้ออกไก่ไปแค่ไม่กี่ชิ้น กินข้าวไปครึ่งถ้วย พอถึงเวลากลางคืน ก็รู้สึกหิวมาก ได้แต่พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ พอวันขึ้นปีใหม่ข้าก็อดไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉวยโอกาสตอนที่เขาออกไปแบ่งสันเงินกำไร ข้าจึงแอบเข้าไปในห้องครัวกินมื้อหนึ่ง ตอนที่กินรู้สึกสะใจมาก ชั่วขณะนั้นไม่ทันคิดว่ากินมากไปแล้ว ท่านอย่าโทษเขาเลย ไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ ”