บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1499 ไม่อยากอุ้มลูก
หยู่เหวินเห้าดีใจมากที่ตัวเองได้เป็นลุงแล้ว เอาแต่ให้หยวนชิงหลิงบรรยายลักษณะหน้าตาของเด็กให้ฟัง ว่าเหมือนใครกันแน่ ยังบอกอีกว่าจะออกจากวันไปดูในวันที่สามซึ่งเป็นวันอาบน้ำให้ทารก
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ได้ ถึงเวลาแล้วพวกเราไปด้วยกัน ท่านที่เป็นลุง ก็ควรต้องมอบของขวัญให้หลาน”
“วางใจได้ ข้าได้ให้มู่หรูจัดเตรียมไว้แล้ว ถึงตอนนั้นพาน้องแปดกับพวกลูกๆ ไปจวนเหลิ่งด้วยกัน ”หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างยินดี
เป็นพ่อที่มีประสบการณ์มากคนหนึ่ง เขารู้สึกว่าต้องถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองให้กับท่านชายสี่เหลิ่งเสียหน่อย ท่านชายสี่เหลิ่งคนนี้ดูแล้วเหมือนจะรู้ทุกเรื่อง แต่การเป็นพ่อคนครั้งแรก ย่อมต้องวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูกแน่ ต้องการคนที่มีประสบการณ์อย่างเขาคอยแนะนำอยู่ข้างๆ
หยวนชิงหลิงตอบรับด้วยท่าทีที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หยู่เหวินเห้าเอาแต่ดีใจ และไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหยวนชิงหลิง กระทั่งยังเรียกมู่หรูกงกงเข้ามา บอกว่าจะใช้สถานะที่เป็นฮ่องเต้ ประทานชื่อให้หลาน
หยวนชิงหลิงรีบพูดว่า “ไม่ต้อง ได้ตั้งชื่อเด็กแล้ว ชื่อเหลิ่งเทียนสิง ชายาเฟิงอันเป็นผู้ตั้งให้”
หยู่เหวินเห้าขมวดคั้ว “เทียนสิง ทำไมจึงได้ตั้งชื่อที่เป็นโรคระบาดเช่นนี้ ไม่เป็นมงคลเอาซะเลย ไม่ดี ไม่ดี ”
หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเทียนสิงเคยเป็นโรคระบาดในช่วงเวลาหนึ่ง เทียนสิงเป็นชื่อของโรคระบาด พระชายาคงจะละเลยไปชั่วขณะกระมัง
นางครุ่นคิด “เทียนสิงไม่ได้หมายถึงชื่อของโรคระบาดเพียงอย่างเดียว ได้ยินมาว่าพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญหนทางทั้งห้าหนึ่งในนั้นคือหนทางแห่งสวรรค์ และยังมีการเคารพกฎแห่งธรรมชาติ มีความหมายว่าปล่อยให้เป็นไปตามครรลองไม่สวนกระแสกระมัง”
และพระชายาได้บอกว่าเป็นหนทางแห่งธรรมชาติ ถ้าเช่นนั้นที่สอดคล้องกันน่าจะเป็นปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคระบาดอะไรเลยสักนิด
ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กคนนี้ต้องเหมือนกวากวาแน่ ที่มีคนรายล้อมอยู่รอบตัวเต็มไปหมด เรื่องของชื่อก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ชื่อเหลิ่งเทียนสิงน่าฟังมาก
วันรุ่งขึ้นหยวนชิงหลิงยังคงกลับไปที่โรงหมอ ตอนนี้ทางด้านโรงหมอได้ขยายพื้นที่ใหญ่ขึ้น กำลังสร้างห้องทดลองยาของคุณย่า นางต้องคอยจับตาดูด้วย
พอดีกับที่ช่วงพลบค่ำคุณย่าจะไปที่จวนอ๋องซู่เพื่อตรวจชีพจรให้กับพวกเขา หยวนชิงหลิงจึงไปด้วย เพื่อไปน้อมคำนับ
หลังจากไปถึงจวนอ๋องซู่และน้อมคำนับแล้ว หยวนชิงหลิงอยากจะไปน้อมคำนับสองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอัน แต่เซียวเหยากงบอกกับนางว่า พระชายาไปที่จวนเหลิ่งยังไม่กลับมา บอกว่าจะไปอยู่ที่นั่นสักพัก
หยวนชิงหลิงตอบรับเสียงหนึ่ง คิดว่าพระชายาใส่ใจท่านชายสี่เหลิ่งมากจริงๆ ช่างเป็นห่วงราวเป็นแม่พระจริงๆ
ระหว่างที่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระอยู่นั้น ก็พูดถึงเรื่องที่สองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันก่อนหน้านี้เคยจะกลับไป แต่สุดท้ายก็กลับไปไม่ได้ หยวนชิงหลิงยิ้ม “พวกเขายังไม่สามารถกลับไปได้อีกหรือ ”
“บอกว่าพวกเขากลับมาเอง รู้สึกอาลัยอาวรณ์”โสวฝู่พูดขึ้นประโยคหนึ่ง
“จริงหรือ”
โสวฝู่บอกว่า “อืม เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่า พวกเขาวางแผนจะอยู่ที่นี่ในระยะยาว ได้ทำเครื่องเรือนไว้มากมาย และยังซื้อที่นอกเมืองเอาไว้ผืนหนึ่ง วางแผนจะสร้างบ้าน น่าจะเป็นการจัดหาที่อยู่ให้กับคนที่ติดตามเขามาหลายสิบปี เดิมทีพี่จี๋เอ๋อร์จะหลับไปยังผิงหนาน ก็ไม่ให้กลับไป บอกให้เขาอยู่ที่เมืองหลวงตลอดไป ยังเขียนจดหมายไปให้กับอ๋องชาง ให้พวกเขาสองสามีภรรยากลับมาใช้บั้นปลายชีวิตในเมืองหลวง”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิด เพราะว่าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี จะตัดขาดได้อย่างไร ตอนที่ไม่สามารถกลับไปได้ก็อยากจะกลับไป พอกลับไปได้จริงๆแล้ว ก็กลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์ คนก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่
เซียวเหยากงเตรียมของขวัญเอาไว้ชิ้นใหญ่ บอกว่ารอให้ลูกของท่านชายสี่เหลิ่งครบเดือนแล้ว จะไปมอบของขวัญให้
เซียวเหยากงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ศิษย์น้องของข้าคนนี้ แม้จะไม่ขาดแคลนอะไรเลย แต่เห็นเขามีลูกแล้ว ข้าที่เป็นศิษย์พี่ก็ยินดีไปกับเขาด้วย”
หยวนชิงหลิงหัวใจกระตุกเบาๆ ถามเซียวเหยากง “ประวัติของท่านชายสี่เหลิ่ง ท่านรู้หรือไม่”
เซียวเหยากงส่ายหน้า “ไม่รู้ ไม่เคยถาม แต่ว่าเมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์เอ่ยถึง มารดาของเขาตายไปตอนที่ให้กำเนิดเขา”
คลอดยาก
ในยุคสมัยนี้ ความเสี่ยงในการให้กำเนิดลูกของผู้หญิงยังคงมีอัตราสูงอยู่ ทุกปีจะมีหญิงสาววัยเจริญพันธุ์ต้องตายเพราะอาการคลอดยากไม่น้อย คิดไม่ถึงว่ามารดาของท่านชายสี่เหลิ่งจะตายไปเพราะเหตุนี้เช่นกัน ถึงว่า ท่านชายสี่เหลิ่งทำไมจึงได้ตื่นเต้นขนาดนั้นตอนที่หลิงเอ๋อคลอดลูก
แต่ว่า หรงเยว่ก็บอกว่าท่านชายสี่เหลิ่งคลอดได้ไม่ทันไรก็ถูกโยนไปยังหุบเขาหมาป่าหิมะ หรืออาจเป็นเพราะว่าเป็นเพราะเขาทำให้มารดาคลอดยาก ฉะนั้น จึงโยนความผิดให้เขา
แม้ว่าในประชาชนทั่วไปจะมีความเชื่อที่หลงผิดเช่นนี้ แต่ว่า คนที่คลอดยากมีตั้งเท่าไหร่ ประชาชนตั้งมากมายก็ไม่ได้ระบายความแค้นไปบนตัวเด็กที่ได้เกิดมามีชีวิตอย่างโชคดีเพราะทำให้แม่คลอดยาก กลับกันจะยิ่งรักและทะนุถนอมมาก แน่นอนว่าก็ไม่ได้ตัดเรื่องพ่อแม่ที่จิตใจเหี้ยมโหดออกไป แต่อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลย
“พระชายาบอกว่า คนในบ้านท่านชายสี่เหลิ่งต่างก็ตายหมดแล้ว ”หยวนชิงหลิงเอ่ยหยั่งเชิง
เสียวเหยากงนิ่งอึ้ง “ตายหมดแล้ว จริงหรือ ก็มีแค่แม่เขาที่ตายไปมิใช่หรือ”
เห็นที เซียวเหยากงก็ไม่รู้ เดิมทีหยวนชิงหลิงไม่ควรจะสืบต่อลงไปอีก แต่ความไม่สบายใจที่ซ่อนอยู่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางรู้สึกร้อนใจอยู่ตลอดเวลา
หลังจากกลับไปที่วังแล้ว นางปรึกษากับทังหยวน ขอยืมหมาป่าทังหยวนกับเขาหนึ่งเดือนเพื่อเอาไปให้ท่านชายสี่เหลิ่งในวันที่สามที่อาบน้ำเด็กทารก นางไม่รู้ว่านี้จะสามารถปลอบประโลมท่านชายสี่เหลิ่งได้หรือไม่ แต่ท่านชายสี่เหลิ่งเอาแต่ปรารถนาในตัวหมาป่าหิมะมาตลอด ก่อนหน้านี้เคยยืมไปสักพัก เขาก็มีความสุขมาก หวังเพียงแค่ว่าหมาป่าหิมะกับลูกที่เพิ่งลืมตาดูโลกจะสามารถปลอบประโลมจิตวิญญาณของเขาได้ ให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขสงบลง
เมื่อถึงวันอาบน้ำเด็กทารก คนทั้งบ้านได้พาหมาป่าหิมะไปยังจวนเหลิ่งอย่างยิ่งใหญ่ ท่านชายสี่เหลิ่งเห็นหมาป่าหิมะก็ดีใจมาก จูงหมาป่าหิมะกับหมาเอ้อฮาไปยังลานด้านหลัง ไม่อยู่ต้อนรับพวกเขา
พิธีอาบน้ำเด็กทารกค่อนข้างยิ่งใหญ่ มีชายาเฟิงอันเป็นผู้รับผิดชอบจัดการพิธี หลังจากอาบน้ำแล้ว หยวนชิงหลิงอุ้มกลับไปให้กับองค์หญิง พบว่าองค์หญิงดวงตาแดงก่ำ ราวกับผ่านการร้องไห้มา
หยวนชิงหลิงไล่คนอื่นๆออกไป นั่งลงข้างเตียงมองนางและถามอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าเป็นอะไรไป น้อยใจอะไรหรือไม่ ท่านชายสี่เหลิ่งปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีหรือ”
องค์หญิงนั่งอยู่บนเตียง ยื่นมือไปอุ้มลูก ใบหน้ายังคงขาวซีดอยู่บ้าง แสร้งยิ้มออกมา “ไม่ใช่ เขาดีกับข้ามาก ตั้งแต่ข้าคลอดลูกจนถึงตอนนี้ เขาแทบจะอยู่เป็นเพื่อนข้าตลอดเวลาไม่จากไปไหน”
“แล้วเจ้าทุกข์ใจเรื่องอะไร ”หยวนชิงหลิงเห็นนางพูด พลางดวงตาก็แดงก่ำขึ้น อดไม่ได้ที่หัวใจจะรู้สึกหนักอึ้ง
องค์หญิงส่ายหน้า สูดจมูกทีหนึ่ง “เป็นข้าที่คิดไปเองเรื่อยเปื่อย แต่พี่สะใภ้ห้าท่านวางใจเถอะ เขาดีกับข้ามากจริงๆ ดีจนแทบหาจุดบกพร่องไม่เจอเลยแม้แต่น้อย ”
“เขาดีกับเจ้าและลูกก็ดีแล้ว อย่าคิดมาก”หยวนชิงหลิงเอ่ยเกลี้ยกล่อม
หยู่เหวินหลิงพยักหน้าอย่างแรงเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูก “อืม ข้ารู้แล้ว พี่สะใภ้ห้าอย่าเป็นห่วงข้าเลย”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ ลูบที่ใบหน้านางหนึ่งที “จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร ยังอยู่เดือนอยู่เลยก็ร้องไห้แล้ว อากาศก็หนาวขนาดนี้ เอาล่ะ เจ้าดูแลเทียนสิงเถอะ เดี๋ยวจะหัวเราะเจ้าที่เป็นแม่เอาได้”
เทียนสิงยังคงตื่นอยู่ เพิ่งจะสระผมเสร็จ เช็ดจนผมไฟยุ่งเหยิงไปหมด หรี่ดวงตาลง ใบหน้าที่อ้วนกลมราวกับมีรอยยิ้มแฝงอยู่ รอยยิ้มนี้เหมือนท่านชายสี่เหลิ่งมาก
หยวนชิงหลิงพูดอีกประโยคหนึ่งว่า “เหมือนท่านชายสี่เหลิ่งมากจริงๆ”
หยู่เหวินหลิงหลุดเสียงหัวเราะออกมา “แต่ใบหน้าใหญ่เกินไป”
“ไม่ใหญ่ ใหญ่ตรงไหนกัน”หยวนชิงหลิงอุ้มมา เด็กคนนี้ค่อนข้างหนักอยู่บ้างจริงๆ จึงพูดยิ้มๆว่า “ตอนนี้รู้หรือยังว่าทำไมตอนนั้นข้าถึงให้เจ้าอดอาหาร เด็กตัวใหญ่เกินไปคลอดลำบาก ยังดี ที่สามารถคลอดออกมาได้อย่างราบรื่น ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งอุ้มเด็กให้มาก อยากจะดูแล้วก็ให้ท่านชายสี่เหลิ่งอุ้มมาให้เจ้าดู ”
หยู่เหวินหลิงหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบาว่า ”เขาไม่อุ้มลูก”
หยวนชิงหลิงมองนาง “ไม่อุ้มลูกหรือ”
หยู่เหวินหลิงเงยหน้าขึ้น ดวงตามีน้ำตารื้นขึ้นมา “พี่สะใภ้ห้า ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ชอบเทียนสิง”
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างตำหนิว่า “พูดเหลวไหล นี่เป็นลูกชายคนแรกของเขา จะไม่ชอบได้อย่างไร วันนั้นตอนที่เจ้าคลอดลูก เขาตื่นเต้นออกปานนั้น เขาต้องชอบลูกอย่างแน่นอน แต่อาจเป็นเพราะว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธ มือไม้เก้งก้าง ไม่กล้าอุ้ม ”
“พี่ห้าก็เป็นคนฝึกยุทธ ตอนนั้นเขาก็ไม่กล้าอุ้มหรือ ”หยู่เหวินหลิงเงยหน้าขึ้นขนตาชื้นไปด้วยน้ำตา ดูแล้วน่าสงสารมาก
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “อืม ตอนแรกเขาก็ไม่กล้าอุ้ม หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนรู้จนเป็น และกล้าอุ้ม”
หยู่เหวินหลิงจึงยิ้มออกมาได้ “เช่นนั้นข้าจะรอดูอีกสักพัก”