บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1501 เมืองเฟิงตู
พระชายาบอกว่าจะฟื้นฟูทุกอย่างผ่านสมองของเขา อันที่จริงมันเป็นการบุกรุกพื้นที่ของสมองของเขาที่รับผิดชอบในการจัดเก็บความทรงจำ ตอนนี้นางสามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ต้องให้อีกฝ่ายนอนหลับไปอย่างลึกต่อหน้านาง นี้ไม่เหมือนกับการสะกดจิต การสะกดจิตคือการย้ำผ่านปากของผู้ถูกสะกดจิต การบุกรุกสมองของเขา เป็นการที่หยวนชิงหลิงเข้าไปดูพื้นที่ความทรงจำของเขาแล้วหาความทรงจำส่วนนั้น อาจเป็นความทรงจำโดยที่เขาเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เหมือนอย่างเช่นความทรงจำของทารกโดยทั่วไปจะไม่ถูกจดจำ แต่ที่จริงแต่ยังฝังลึกอยู่ในสมอง เพียงแต่ถูกครอบคลุมไปด้วยข้อมูลที่เข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จำไม่ได้
ตามปกติ เป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะบุกรุกสมองของบุคคลอื่น แต่หยวนชิงหลิงสามารถทำได้ คลื่นสมองของนางแตกต่างจากคนธรรมดา นอกจากสามารถล่วงล้ำเข้าไปในสมองคนอื่นแล้ว ยังสามารถควบคุมความคิดคนอื่น แม้แต่ฝังหน่วยความจำ สำหรับหยวนชิงหลิงในตอนนี้ ถือว่ามีความยากระดับหนึ่ง หากนางไม่ทานยายับยั้ง นี่ถือเป็นเรื่องง่ายมาก แต่หลังจากทานยาแล้ว ส่งผลยับยั้งสมองของนางอย่างมาก สิ่งนี้ทำให้นางต้องค่อยๆ สำรวจและฝึกฝนการใช้พลังพิเศษของตนเอง
ดังนั้นเมื่อพระชายาพูดเช่นนี้ หยวนชิงหลิงก็เข้าใจแล้ว
นางถามขึ้นว่า “พระชายาอยากให้ข้าทำอะไร?”
พระชายามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “หลังจากที่เจ้ารู้เรื่องของเขาแล้ว ลองดูว่าสามารถฝังความทรงจำใหม่เข้าไปได้ไหม? เรื่องแบบนี้สำหรับเจ้า น่าจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถสะกดจิต”
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช้การสะกดจิตเพื่อปลูกฝังความทรงจำ กับคนอื่นอาจจะสามารถทำได้ แต่กับท่านชายสี่ไม่ได้ การป้องกันตัวของท่านชายสี่ไม่ใช่คนปกติจะเทียบได้ หากปลูกฝังไม่สำเร็จ กลับจะยิ่งทำให้เขาสับสน อีกอย่าง ข้ายังไม่แน่ใจว่าอดีตที่ผ่านมาจะส่งผลกระทบกับเขาในตอนนี้หรือเปล่า ข้าจะกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ไหม?”
ความจริงแล้ว เท่าที่นางรู้คือการใช้การสะกดจิตเพื่อปลูกฝังความทรงจำ ไม่มีตัวอย่างความสำเร็จที่แท้จริง กลับทำให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น กระทั่งนำไปสู่บุคลิกภาพหลายแง่มุมในจิตใต้สำนึก
พระชายายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “หากไม่ หลายวันมานี้เจ้าวิตกกังวลขนาดนั้นทำไม? แม้แต่หยู่เหวินเย่ยังมองออกว่าเขาผิดปกติ เจ้าต้องรับรู้อย่างยิ่งลึกซึ้งแน่ เขาผิดปกติ เหมือนอย่างน้ำใสผสมหยดหมึก หากไม่กระทำการใดๆหยดหมึกนี้ก็จะปนเปื้อนไปทั้งชามน้ำไม่ช้าก็เร็ว จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้ความมืดมิดในใจยังคงหมักหมมต่อไป ต้องพาเขาออกมา และต้องรวดเร็วที่สุด เขาคือคนที่รวยที่สุดในเป่ยถัง และเป็นอัจฉริยะหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเศรษฐกิจของเป่ยถัง เมื่อเขาหลุดเข้าไปในกระแสน้ำวน เจ้าน่าจะรู้ว่าอันตรายแค่ไหน”
หยวนชิงหลิงเงียบไปสักพัก มองดูพระยายา พร้อมพูดขึ้นว่า “ดังนั้น ท่านเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง?”
พระชายาถอนหายใจเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “หากไม่มีความจำเป็น ข้าก็คงไม่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสุดวิสัย”
ท่านชายสี่ เป็นที่อุ่นใจของใครหลายคนมาโดยตลอด มีเขาอยู่ ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจเสมอ แต่ความสามารถในการแบกรับของแต่ละคนมีขีดจำกัด คนที่เป็นผู้ให้มาตลอด จะต้องมีความทุกข์ยากบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้
ถึงแม้หยวนชิงหลิงจะไม่รู้ว่าท่านชายสี่เคยผ่านอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้ความอึดอัดเริ่มรุนแรงขึ้น นางหวังว่าจะสามารถช่วยท่านชายสี่ได้
นางตัดสินใจที่จะดูความทรงจำของท่านชายสี่ก่อน รู้ว่าในใจของเขาซ่อนอะไรไว้กันแน่ แล้วค่อยตัดสินใจคำเสนอแนะของพระชายาที่ให้ฝังความทรงจำนั้น เป็นไปได้ไหม
คนที่ท่านชายสี่ไว้ใจจริงๆ มีเพียงพระชายากับหยู่เหวินหลิง แต่เรื่องนี้ยังไม่ต้องให้หยู่เหวินหลิงรับรู้ นางเพิ่งคลอดลูกเสร็จ เพื่อนางจะได้ไม่เป็นกังวล ดังนั้นพระชายาจึงเป็นคนไปคุยกับเขา ให้เขานอนหลับ แล้วจึงค่อยให้หยวนชิงหลิงไปดูเรื่องราวความทรงจำอันลึกล้ำของเขา
ห้องพักสะอาดเรียบหรู กลิ่นธูปหอมจางๆในกระถางธูปทองแดง ควันฟุ้งรอบห้อง ท่านชายสี่นอนเอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย กอดหมาป่าทังหยวนที่ว่าง่ายไว้ พระชายานั่งอยู่ตรงหน้า พูดคุยกับเขาก่อน
พระชายาไม่ใช้เขารู้อยู่แล้ว เพียงหาข้ออ้างพูดคุยกับเขา ถึงแม้ทั้งสองจะอยู่ในสถานะอาจารย์กับลูกศิษย์ แต่ก็รักกันเหมือนแม่ลูก ท่านชายสี่ไม่ระแวงนางเลยสักนิด ก่อนจะคุยกัน พระชายาชงชาด้วยตนเอง ยังให้ท่านยายหยวนเตรียมชาช่วยให้ผ่อนคลาย ชวนท่านชายสี่ดื่มไปสองแก้ว
บนเตียงอรหันต์วางนาฬิกาทรายขนาดเล็กไว้หนึ่งอัน พระชายาหยิบขึ้นมาเล่นอยู่ในมือ ท่านชายสี่จ้องมองดูพอดี นาฬิกาทรายค่อยๆร่วงลง ช่วงนี้ท่านชายสี่นอนไม่ค่อยหลับ จ้องมองไปซักพักก็ง่วงแล้ว
เสียงลมหายใจท่านชายสี่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทั่วทั้งร่างกายก็ผ่อนคลาย กำลังเข้าสู่สภาวะหลับใหล พระชายาร้องเรียกเบาๆ ไม่ได้ยินเสียงเขาตอบ จึงลุกขึ้นมาจ้องมองดูอย่างรักใคร่สักพัก แล้วก็เดินไปเปิดประตู
หยวนชิงหลิงรออยู่ข้างนอก เมื่อประตูถูกเปิด นางเดินเข้าไป พระชายาเฝ้าอยู่ด้านนอก
นางปิดหน้าต่างทั้งหมดให้สนิท ม่านในห้องตกร่วงลงมาอย่างแรง แสงสว่างสลัวเหมือนอย่างตอนพลบค่ำ
นางนั่งตรงที่พระชายานั่งเมื่อกี้ หลับตาสูดดมกลิ่นหอมจางๆนั่น จิตใจสงบอย่างมาก
หมอกควันบางๆ ลอยมาอย่างท่วมท้น เหมือนดั่งนางหลุดเข้าไปในเขาวงกต เห็นเส้นทางตรงหน้าเหมือนดั่งถนนเส้นเล็กที่มีเจ็ดคดเคี้ยวแปดโค้ง ความคิดค่อยๆคืบคลาน กำเนิดแตกแยกมากมาย เจาะทะลุล่วงล้ำเข้าไปทุกที่ เก็บข้อมูลทั้งหมด บางส่วนเป็นความทรงจำของเขา มีบางส่วนเป็นเรื่องภายหลังจากที่เขารู้ แต่ก็เพียงพอจะฟื้นฟูความจริงทั้งหมด
เมืองเฟิงตูเมื่อสามสิบหกปีก่อน
ในตอนต้นของการก่อตั้งเป่ยถัง เมืองเฟิงตูเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของเป่ยถัง แต่มีอำนาจการปกครองตนเองมาตลอด เพียงต้องส่งบรรณาการทุกปี เป็นเขตพื้นที่ที่ราชสำนักไม่สนใจ
เจ้าเมืองเหยี้ยนจือหยูเป็นผู้สืบสกุลที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของตระกูลเหยี้ยน เข้าขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลิ่ง
ตระกูลเหลิ่งเป็นตระกูลเทียนซ่วนที่มีชื่อเสียงของเมืองเฟิงตู คำว่าเทียนซ่วนคือการดูดวงดาวแล้วล่วงรู้เหตุการณ์ในโลก ให้มันเป็นไปตามฟ้าลิขิต
เพราะประมุขของตระกูลเหลิ่ง ช่วยคนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต จนเกิดโศกนาฏกรรม เหลิ่งเฟิ่งชิงคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลิ่งเป็นประมุขอยู่สามปี แล้วก็แต่งงานกับเจ้าเมืองเฟิงตูเหยี้ยนจือหยู ปีนั้น เหลิ่งเฟิ่งชิงอายุสิบแปด
เหลิ่งเฟิ่งชิงสืบทอดความสามารถในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาฟ้าลิขิต ซึ่งควรเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาฟ้าลิขิต ก็จะถูกย้อนกลับมาทำลายตัวเอง เพราะท่านพ่อของเหลิ่งเฟิ่งชิงก็ตายเพราะสาเหตุนี้ หลังจากที่นางขึ้นเป็นประมุข ก็ถือเรื่องนี้เป็นบทเรียน
ปีแรกที่แต่งงานกับเหยี้ยนจือหยู นางมีชีวิตอย่างมีความสุข เหยี้ยนจือหยูรักใคร่และถนุถนอมนางดั่งของล้ำค่า เหลิ่งเฟิ่งชิงเป็นประมุขของตระกูล จิตใจแน่วแน่ ทำอะไรเด็ดขาด เมื่อถูกเหยี้ยนจือหยูติดตามเอาใจใส่ จิตใจที่แข็งกร้าวกลายเป็นนุ่มนวลอ่อนหวาน
เพิ่งแต่งงานได้สามเดือน เหลิ่งเฟิ่งชิงตั้งครรภ์ เหยี้ยนจือหยูถึงกับเชิญหมอชื่อดังคนหนึ่งมาจากเมืองหลวง คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกายเหลิ่งเฟิ่งชิง ดูแลการอยู่การกินอย่างพิถีพิถัน คนเมืองเฟิงตูต่างก็พูดว่า เจ้าเมืองเหยี้ยนดีกับเหลิ่งเฟิ่งชิงอย่างสุดจิตสุดใจ เหลิ่งเฟิ่งชิงแต่งงานกับเจ้าเมือง ถือเป็นบุญวาสนามาแต่ปางก่อน
เหลิ่งเฟิ่งชิงก็คิดเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยได้ใช้ชีวิตที่ได้รับความรักใคร่อย่างที่สุดเช่นนี้ จึงทำให้นางหลงหัวปักหัวปำ จนยอมตกลงตามที่เหยี้ยนจือหยูเสนอรับดูแลตระกูลเทียนซ่วน เหยี้ยนจือหยูบอกว่าไม่อยากให้นางลำบาก นางมอบอำนาจประมุขมาให้ แล้วก็สามารถดูแลลูกในครรภ์เป็นอย่างดี เรื่องภายนอก ปล่อยให้เขาไปจัดการคนเดียว
หลังจากเหลิ่งเฟิ่งชิงตอบตกลงแล้ว เหยี้ยนจือหยูรับดูแลตระกูลเทียนซ่วน เริ่มแรกก็ไม่มีอะไร ยังไงตระกูลเทียนซ่วนอยู่ในเมืองเฟิงตู ก็ต้องเคารพให้เกียรติเจ้าเมือง แต่หลังจากที่เหลิ่งเฟิ่งชิงตั้งครรภ์ได้แปดเดือน เหยี้ยนจือหยูกระทำเรื่องหนึ่งทำให้เหลิ่งเฟิ่งชิงโกรธโมโหเสียใจและผิดหวัง
เขาเอาป้ายประกาศิตของประมุข เรียกรวมตัวคนทั้งหมดของตระกูลเทียนซ่วน แล้วก็จับพวกเขาทั้งหมดกักขังไว้