บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1509 อาจารย์อาของเหลิ่งจิ้งเหยียน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1509 อาจารย์อาของเหลิ่งจิ้งเหยียน
พระชายาส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่น่าเป็นไปได้ เหลิ่งเฟิ่งชิงน่าจะยังคงเก็บไว้ เอาหินญาณสวรรค์เก็บไว้กลับตัว เพราะก่อนหน้านั้นเหยี้ยนจือหยูเป็นประมุขตระกูลเทียนซ่วน คงเพราะต้องการหาพลังเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตของตระกูลเทียนซ่วน แต่เสียดายสุดท้ายเขาหาไม่เจอ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมกับเหลิ่งเฟิ่งชิง บีบบังคับให้เหลิ่งเฟิ่งชิงลงมือ เช่นนี้แสดงว่าหินญาณสวรรค์ไม่อยู่กับเหยี้ยนจือหยู”
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะสงสัย พร้อมพูดขึ้นว่า “หินญาณสวรรค์นี้ ทำมาจากอะไรกันแน่? ทำไมถึงมีพลังสามารถเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต?”
พระชายาพูดขึ้นว่า “ตามที่องครักษ์เงาดำไปสืบกลับมารายงาน สงสัยว่าการเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตของตระกูลเทียนซ่วน ที่จริงล้วนเป็นการช่วยผู้ป่วยที่ใกล้จะตายเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะรับกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้าย เป็นการตายอย่างไม่คาดคิด ตายอย่างกะทันหัน ดังนั้นข้าสงสัยว่าหินญาณสวรรค์นี้ อาจมีรังสีที่รุนแรง อาจเป็นพลังสสารมืดที่ยังไม่ถูกค้นพบในโลกของเรา สามารถเปลี่ยนแปลงยีนของมนุษย์ เพื่อรักษาโรคได้ แต่คนที่ใช้หินญาณสวรรค์ จะได้รับกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้ายจากรังสี ตายภายในหนึ่งเดือนถึงสามเดือน แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดา การคาดเดานี้ก็อาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะหากจะบอกว่าคนที่ใช้หินญาณสวรรค์ จะต้องรับกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้ายจนถึงชีวิต แต่ตอนนั้นเหลิ่งเฟิ่งชิงกำลังตั้งครรภ์ รังสีที่รุนแรงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่เป็นผลร้ายกับลูกในครรภ์?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “เรื่องที่พวกเราไม่สามารถคิดได้อย่างกระจ่าง ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดแล้ว หากมีหินญาณสวรรค์จริง และเหลิ่งเฟิ่งชิงก็เก็บไว้ติดตัว งั้นเมื่อหากเจอศพของนางก็จะสามารถรู้ได้ แต่การสงสัยของท่านนี้ ยังไม่สามารถยอมรับได้ เพราะหากหินญาณสวรรค์มีรังสีที่รุนแรง นางจะไม่เก็บไว้ติดตัว”
พระชายาครุ่นคิด แล้วก็พูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก เราไม่จำเป็นต้องไปวิเคราะห์พลังของหินญาณสวรรค์ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือหาศพของนางให้เจอ จากนั้นก็วางแผนแก้แค้น ที่ข้าพูดว่าย้อนเวลากลับไปเมื่อสามสามสิบหกปีก่อน เจ้าลองคิดดูอีกที ภายใต้การไม่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ และยังสามารถแก้แค้น ข้าเชื่อว่าหากฆ่าพวกเขาสองคนเสียเช่นนี้ ไม่มีใครพอใจแน่ สำหรับคนที่มีความสุขมาแล้วสามสิบหกปี หากตายตอนนี้ จะมีอะไรน่าเสียใจ?”
หยวนชิงหลิงเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด แต่ยิ่งเห็นด้วย ภายในใจก็ยิ่งบีบคั้นทรมาน คิดถึงเรื่องที่เหลิ่งเฟิ่งชิงต้องประสบพบเจอ หัวใจของนางทุกข์ทรมานเหมือนดั่งถูกไฟแผดเผา
และท่านชายสี่ก็ทุกข์ทรมานไม่แพ้นาง มีแต่จะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านาง
ดังนั้นหลังจากพระชายาไปแล้ว นางตั้งใจครุ่นคิดอย่างจริงจังกับสิ่งที่พระชายาพูด เป็นไปได้ไหมที่จะหาความเป็นไปได้ในนั้น?
แต่ก็ล้วนค่อนข้างยาก เพราะหากเมื่อย้อนกลับไปเมื่อสามสิบหกปีก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะนั่งเฉยๆโดยไม่ทำอะไร แต่ไม่ว่าจะแตะต้องอะไร ล้วนจะทำให้เกิดทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก
ห้ามไม่ให้เหลิ่งเฟิ่งชิงแต่งงานกับเหยี้ยนจือหยู งั้นก็จะไม่มีท่านชายสี่
ห้ามไม่ให้เหยี้ยนจือหยูฆ่าตระกูลเทียนซ่วน งั้นหากคนของตระกูลเทียนซ่วนยังมีชีวิตอยู่ ก็จะต้องแก้แค้นให้กับเหลิ่งเฟิ่งชิงกับเหลิ่งเฟิ่งหยู่ ฆ่าเหยี้ยนจือหยูให้ตาย
กลับไปฆ่าซูหรูซวงก็ไม่รู้ว่าเหยี้ยนจือหยูจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผู้คนมากมายในเมืองเฟิงตู
ก็เท่ากับว่า ต่อให้ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบหกปีก่อน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
นางไม่มีพลังที่เพียงพอ สามารถรับผลของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ได้
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก ก็ค่อยๆ เกิดความเชื่อมั่นในจิตใจของนาง เชื่อว่าเหลิ่งเฟิ่งชิงจะต้องเหลืออะไรสักอย่างไว้เพื่อแก้แค้น
ดังนั้น จะต้องตามหาศพเหลิ่งเฟิ่งชิงให้เจอ
จากสัมผัสสุดท้ายของจิตสำนึกที่ล่วงรู้ หมาป่าหิมะปรากฏตัว ตอนนั้นเหลิ่งเฟิ่งชิงตายหรือไม่ เป็นสิ่งที่ไม่แน่ใจจริงๆ หากนางยังไม่ตาย งั้นนางก็ยังมีพลังเหลืออะไรไว้บ้าง
นางตัดสินใจที่จะขึ้นไปบนยอดเขาหมาป่าหิมะด้วยตนเอง หลังจากที่ล่วงรู้ความทรงจำของเหลิ่งเฟิ่งชิง คลื่นสมองดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับจุดหนึ่งในจิตสำนึกของเหลิ่งเฟิ่งชิง เป็นเพียงความรู้สึกที่ยังอ่อนมาก เมื่อไปถึงยอดเขาหมาป่าหิมะ จะรุนแรงขึ้นไหม
นางปรึกษาหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าก็เห็นด้วย และจะไปเป็นเพื่อนนางด้วย
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “ที่จริงเจ้าไม่ต้องไปกับข้า ไปกลับจากยอดเขาหมาป่าหิมะ อย่างน้อยก็สองวัน เจ้าจะทิ้งงานราชการไม่สนใจตั้งสองวันไม่ได้”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร บอกจิ้งเหยียนก็พอ เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างได้ เพื่อท่านชายสี่ อย่าว่าแต่สองวัน ต่อให้ต้องเดินทางไปถึงเมืองเฟิงตูด้วยตนเอง ข้าก็จะไป”
คำพูดประโยคนี้ค่อนข้างเกินไป ความแค้นส่วนตัวยังไงก็ไม่มีทางยกทัพไป เพียงแต่ความรู้สึกนี้หายาก
ได้ยินเขาพูดถึงเหลิ่งจิ้งเหยียน หยวนชิงหลิงคิดขึ้นมาได้กะทันหัน เหลิ่งจิ้งเหยียนได้ยินได้ฟังและได้รู้ได้เห็นมาอย่างกว้างขวาง มีความรู้อย่างมาก บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องตระกูลเทียนซ่วนก็เป็นได้
แต่หากถามเหลิ่งจิ้งเหยียน ก็เท่ากับว่าจะต้องเราเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง
ลังเลอยู่สักพัก หยู่เหวินเห้าเข้าใจในสิ่งที่นางเป็นกังวล จึงพูดขึ้นว่า “เจ้าอยากถามจิ้งเหยียน เกี่ยวกับเรื่องตระกูลเทียนซ่วน?”
หยวนชิงหลิงค่อนข้างแปลกใจ จึงถามขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หยู่เหวินเห้าจับมือของนางไว้ ยิ้มหัวเราะด้วยตาคิ้วอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นว่า “เราเป็นสามีภรรยากันมานาน จิตใจเชื่อมรวมกันเป็นหนึ่งแต่แรกแล้ว เจ้าคิดอะไรอยู่จะสามารถปิดบังข้าได้หรือ?”
หยวนชิงหลิงซบในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ บางครั้ง เพียงแค่เรามองตากันก็เข้าใจแล้วจริงๆ เหมือนเจ้ากับท่านชายสี่ กับใต้เท้าเหลิ่ง กับพวกหงเย่ ก็มีความเข้าใจโดยปริยายนี้ หากพวกเขารู้เรื่องของท่านชายสี่ ก็จะต้องช่วยอย่างแน่นอน”
“อืม เจ้าพูดถูด งั้นข้าร่างพระราชโองการตามจิ้งเหยียนเข้าวัง”
หยู่เหวินเห้าไปหามู่หรูกงกงทันที ให้เขาไปที่จวนโสวฝู่ ตามเหลิ่งจิ้งเหยียนเข้าวัง และให้เข้าวังมาทันที ห้ามชักช้า
หลังจากหนึ่งชั่วโมง ฮ่องเต้กับฮองเฮาพบโสวฝู่เหลิ่งจิ้งเหยียนในห้องทรงพระอักษร
มู่หรูกงกงรินน้ำชาให้ด้วยตนเอง หลังจากรินน้ำชาแล้วก็ถอยออกไปพร้อมปิดประตูตำหนัก ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป
“ใต้เท้าเหลิ่งรู้เรื่องตระกูลเทียนซ่วน?” หยวนชิงหลิงรอมู่หรูกงกงเพิ่งออกไป ก็รีบถามขึ้น
เหลิ่งจิ้งเหยียนยกถ้วยชาขึ้นมา นิ่งไปแปบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ตระกูลเทียนซ่วน? ตระกูลเทียนซ่วนในเมืองเฟิงตูหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสามสิบหกปีก่อน เพราะตระกูลเทียนซ่วนช่วยคนเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต จึงประสบเคราะห์กรรมทั้งตระกูล คนของตระกูลเทียนซ่วนล้วนตายหมดแล้ว”
หยู่เหวินเห้าหลับตา พร้อมถามขึ้นว่า “เจ้ารู้เรื่องตระกูลเทียนซ่วนมากน้อยแค่ไหน?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ไม่มาก แต่อาจารย์ของข้าน่าจะพอรู้บ้าง เพราะเขามีศิษย์น้องคนหนึ่ง ก็คืออาจารย์อาของข้า เห็นว่าตายเพราะกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้ายของตระกูลเทียนซ่วน”
หยวนชิงหลิงอึ้ง พร้อมถามขึ้นว่า “อาจารย์อาของเจ้า เป็นคนตระกูลเทียนซ่วนหรือ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่”
หยวนชิงหลิงแปลกใจอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “หากไม่ใช่คนตระกูลเทียนซ่วน แล้วถูกการย้อนกลับมาทำร้ายของตระกูลเทียนซ่วนได้อย่างไร?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นว่า “สถานการณ์อย่างละเอียด ข้าก็ไม่รู้ เพียงแค่เมื่อหลายปีก่อนได้ยินท่านพูดตอนที่เมาสุรา บอกว่าศิษย์น้องของเขาตายอย่างอนาถ เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่ของเขา แม้แต่ชีวิตของตนเองก็ไม่เอา”
“ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่ของเขา” ในหัวสมองของหยวนชิงหลิง มีบางอย่างผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมถามขึ้นว่า “อาจารย์อาของเจ้าชื่ออะไร เจ้ารู้ไหม?”
“รู้ อาจารย์เคยพูดถึง ชื่อพอจี” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงลุกยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “พอจี? คือพอจี?”
หยู่เหวินเห้ามองดูนาง พร้อมถามขึ้นว่า “พอจีคือใคร?”
หยวนชิงหลิงมองดูเขาถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “องครักษ์เหล็กของเมืองเฟิงตูที่ช่วยพาเหลิ่งเฟิ่งชิงหนีออกมาในตอนนั้น เขาชื่อพอจี บังเอิญขนาดนี้ เขาเป็นอาจารย์อาของใต้เท้าเหลิ่ง”
ความเป็นความตายของพอจี หยวนชิงหลิงไม่รู้ เพราะเหลิ่งเฟิ่งชิงก็ไม่รู้
แต่ทำไมเขาถึงตายจากการย้อนกลับมาทำร้ายของตระกูลเทียนซ่วนล่ะ? เขาไม่ใช่คนของตระกูลเทียนซ่วนนี่
ในความทรงจำพวกนั้น เป็นเพราะตอนที่เหลิ่งเฟิ่งชิงเป็นฮูหยินของเจ้าเมืองนั้น ปฏิบัติดีกับพวกเขาอย่างมาก พอจีทนเห็นนางตายไม่ได้ จึงได้ช่วยนางหนีออกไป
แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูดีๆแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ เพียงเพราะนางปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี ถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตทรยศเจ้านายเพื่อช่วยนางนี้ไปหรือ?
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เหลิ่งจิ้งเหยียนเห็นทั้งสองดูผิดปกติ เรื่องนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ จึงถามอย่างเคร่งขรึม