บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1510 อาการตายจากกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้าย
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1510 อาการตายจากกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้าย
หยวนชิงหลิงคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้หยู่เหวินเห้าเล่าเรื่องท่านชายสี่ให้เหลิ่งจิ้งเหยียนฟัง ทุกสิ่งที่แม่ของท่านชายสี่ต้องพบเจออย่างไม่ปิดบัง เล่าให้เหลิ่งจิ้งเหยียนฟังทั้งหมด
ใต้เท้าเหลิ่งที่เป็นคนสุขุมมาตลอด เมื่อฟังเรื่องพวกนี้แล้ว ก็โกรธโมโหอย่างมาก โยนถ้วยในมือลงพื้นอย่างแรง สั่นสะท้านไปทั้งตัว พร้อมพูดขึ้นว่า “โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างมาก คนแบบนี้ ทำไมถึงยังปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่บนโลก? ต้องเผาเขาเป็นเถ้าถ่าน ถึงจะระบายความแค้นในใจของท่านชายสี่ได้”
“ตอนนี้เผาเขาเป็นเถ้าถ่าน ถือเป็นการง่ายไปสำหรับเขา” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโกรธว่า “ตอนนี้เรายังไม่แน่ใจว่าเหลิ่งเฟิ่งชิงตายแล้วจริงหรือไม่ หรือว่าตระกูลเทียนซ่วนยังนี้พลังอะไรที่พวกเรายังไม่รู้ หากรู้เรื่องพวกนี้แล้ว บางทีอาจจะมีโอกาสพลิกผันได้”
ถึงแม้เหลิ่งจิ้งเหยียนจะโกรธจัด แต่เมื่อฟังเช่นนี้แล้วก็คิดว่าไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะพลิกผัน เรื่องราวผ่านมาตั้งสามสิบหกปีแล้ว
แต่ฮองเฮามักจะทำอะไรในสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ ในเมื่อนางอยากรู้ งั้นก็ช่วยอย่างเต็มที่
“อาจารย์ของข้าก็อยู่ในเมืองหลวง ข้าจะรีบไปพาเขาเข้าวัง เรื่องตระกูลเทียนซ่วน เขาน่าจะพอรู้อยู่บ้าง”
ใต้เท้าเหลิ่งพูดเสร็จ ก็รีบหันตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
สามารถทำให้เหลิ่งจิ้งเหยียนไม่สงบได้ขนาดนี้ ถือว่าเห็นได้น้อยครั้งมาก
หยวนชิงหลิงหลับตา อยากจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจับจิตสำนึกที่เลือนรางนั้น เพราะพอจีชอบเหลิ่งเฟิ่งชิง ดังนั้นจึงช่วยพานางหนีไปหรือ? แต่สุดท้ายเขาตายเพราะถูกการย้อนกลับมาทำร้ายของตระกูลเทียนซ่วน เป็นเพราะอะไรกันแน่?
นางมีความรู้สึกที่แข็งแกร่ง สาเหตุการตายของพอจี บางทีอาจจะเป็นคำตอบที่พวกเขาตามหา นางจะต้องรู้ให้ได้
ในขณะที่กำลังรอหนานเปียนเค่ออาจารย์ของเหลิ่งจิ้งเหยียน พระชายาส่งคนเข้าวังมาบอกว่า สำนักเหลิ่งหลังยังหาศพของเหลิ่งเฟิ่งชิงบนยอดเขาหมาป่าหิมะไม่ได้
หยวนชิงหลิงสั่งคนนำความกลับไปบอกว่า พรุ่งนี้นางจะขึ้นไปบนยอดเขาหมาป่าหิมะด้วยตัวเอง ดูว่าสามารถสัมผัสอะไรได้บ้าง
ด้วยอุปนิสัยของพระชายา นางพอรู้อยู่บ้าง บางครั้งนางดูเหมือนจะสุขุม แต่ความจริงแล้วเป็นคนใจร้อน ใจเด็ด เฉียบขาด แน่วแน่ไม่ย่อท้อ และนางก็รักท่านชายสี่อย่างที่สุด ยอมทนทุกข์ทรมานทั้งวันทั้งคืนเพื่อเรื่องนี้ หวังอยากที่จะหาวิธีให้ได้โดยเร็ว
ใต้เท้าเหลิ่งพาหนานเปียนเค่อเข้าวังมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างทาง จิ้งเหยียนได้เล่าเรื่องทั้งหมดในตอนนั้นให้หนานเปียนเค่อฟังโดยประมาณแล้ว แต่ไม่ได้บอกหนานเปียนเค่อว่าเหลิ่งเฟิ่งชิงเป็นแม่ของท่านชายสี่ เพียงแค่พูดว่าตอนนี้ราชสำนักต้องการที่จะสืบเรื่องตระกูลเทียนซ่วน ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
เข้าไปในห้องทรงพระอักษร งดพิธีรีตองทั้งหมด หยู่เหวินเห้าให้หนานเปียนเค่อพูดเข้าประเด็นทันที เล่าเรื่องของพอจี
หนานเปียนเค่อก็เป็นคนตรงไปตรงมา จึงพูดขึ้นทันทีว่า “พอจีถูกไล่ออกจากสำนัก เขาฆ่าคนสองคน เจ้าสำนักโกรธจัด จึงไล่เขาลงเขา ดังนั้น ตามหลักจริงๆแล้ว เขาไม่ถือว่าเป็นศิษย์น้องของข้าแล้ว แต่เพราะตอนที่อยู่ในสำนักเขากับข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้น ลับหลังข้าจึงยังยอมรับเขา”
“หลังจากออกมาจากสำนักแล้ว ได้ข่าวว่าเขาไปที่เมืองเฟิงตู เป็นองครักษ์เหล็กอยู่ข้างกายเหยี้ยนจือหยู ด้วยฝีมือการต่อสู้ของเขาที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียแล้ว ไม่มีใครกล้าใช้เขา จึงเป็นได้เพียงแค่องครักษ์เหล็กคนหนึ่ง ต่อมาข้าลงเขาแล้วเคยไปหาเขาที่เมืองเฟิงตู ตอนนั้นเหยี้ยนจือหยูกับเหลิ่งเฟิ่งชิงเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน เขาเล่าความให้ข้าฟัง ที่พูดถึงเยอะที่สุดก็คือเหลิ่งเฟิ่งหยู่น้องสาวของเหลิ่งเฟิ่งชิง”
“ต่อมาเมื่อคุยกันอย่างละเอียดแล้ว ค่อยรู้ว่าเขาอยู่กับเหยี้ยนจือหยูอย่างไม่มีความสุข เหยี้ยนจือหยูเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ปรนนิบัติยากมาก แต่เขาก็ไปไหนไม่ได้ เพราะคนในเมืองเฟิงตูไม่รู้เรื่องที่ผ่านมาของเขา เขาอยู่ที่นี่ ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ มีครั้งหนึ่งเขาทำผิด ถูกเหยี้ยนจือหยูลงโทษ ถูกขังอยู่ในกรงเหล็กในวันที่อากาศหนาวเย็น เหลิ่งเฟิ่งหยู่ที่มาเยี่ยมพี่สาวช่วยพูดขอร้อง เหยี้ยนจือหยูเห็นแก่น้องสาวภรรยา จึงยอมปล่อยเขา เขารู้สึกทราบซึ้งเหลิ่งเฟิ่งหยู่”
“ข้าเห็นว่าเขามักจะพูดถึงเหลิ่งเฟิ่งหยู่ จึงถามเขาว่าชอบนางหรือเปล่า เขารีบปฏิเสธทันที บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด เพราะเหลิ่งเฟิ่งหยู่เป็นคุณหนูรองของตระกูลเทียนซ่วน เขาเป็นแค่ฆาตกรที่ไร้ยางอาย เขาไม่เหมาะสม เขาพูดว่า เหลิ่งเฟิ่งหยู่ใกล้จะอายุครบสิบห้าแล้ว หลังจากอายุครบสิบห้าแล้วก็จะแต่งงาน ถึงตอนนั้นเขาจะส่งนางขึ้นเกี้ยวในวันแต่งงาน”
“หลังจากคุยกับเขาแล้วทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปเป็นแขกที่ตระกูลเทียนซ่วน ตอนนั้นประมุขของตระกูลเทียนซ่วนยังเป็นเหลิ่งเฟิ่งชิง ข้ากับนางเคยมีโอกาสได้เจอกันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นนางเพิ่งตั้งครรภ์ สำนักของข้ามีชื่อเสียง นางจึงแนะนำให้ข้าได้รู้จักกับเหยี้ยนจือหยู เหยี้ยนจือหยูเป็นคนโหดเหี้ยมภายใต้ความอ่อนโยน ข้าไม่ชอบ บวกกับที่รู้ว่าเขาปฏิบัติไม่ดีกับองครักษ์เหล็ก จึงยิ่งไม่ไว้หน้าเขา ต่อให้เป็นเช่นนี้ เหยี้ยนจือหยูกลับยังอยากชักชวนให้ข้าเข้าไปอยู่ด้วย ซึ่งข้าไม่ยินยอมอยู่แล้ว พักอยู่ในตระกูลเทียนซ่วนไม่กี่วัน ก็ออกมาจากเมืองเฟิงตู”
“น่าจะประมาณหลังจากครึ่งปี ข้าได้รับจดหมายจากพอจี เขาเขียนในจดหมายบอกว่าเหลิ่งเฟิ่งหยู่ตายแล้ว เขาเคยพูดว่าจะปกป้องนางไปตลอดชีวิต แต่เขาไม่สามารถทำได้ เขารู้สึกละอายใจ อยากแก้แค้นให้กับนาง แต่ลำพังเขาคนเดียวไม่สามารถทำได้ จึงต้องเลือกเดินเส้นทางอันตราย เขาขอให้ข้าเห็นแก่ความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกัน ช่วยเก็บศพของเขา นำศพของเขาไปฝังท้ายภูเขาสำนัก”
“หลังจากที่ข้าได้รับจดหมาย เป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องกับเขา จึงรีบเดินทางไปยังเมืองเฟิงตู แต่หลังจากไปถึงเมืองเฟิงตู เพิ่งรู้ว่าตระกูลเทียนซ่วนประสบโศกนาฏกรรม ถูกฆ่าล้างตระกูล ส่วนพอจีหายสาบสูญ ข้าไปถามกับคนใกล้ชิดเหยี้ยนจือหยู ถึงรู้ว่าเขาหักหลังเหยี้ยนจือหยู ไปจากเมืองเฟิงตูแล้ว เห็นว่าเขามุ่งหน้ามาทางเมืองหลวง และเหยี้ยนจือหยูยังส่งองครักษ์เหล็กกว่าร้อยคนตามฆ่าเขา เมื่อข้าอยากสืบรู้เรื่องราวอย่างละเอียด กลับไม่มีใครยอมบอก ต่อมาข้าก็เลยไปสืบในหมู่ประชาชน มีคนขายสุราคนหนึ่งบอกเขาว่า เคยเห็นมีอยู่คืนหนึ่ง ศพของเหลิ่งเฟิ่งหยู่ ถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง แต่วันที่สองก็ไม่เห็นแล้ว ข้าไปถามคนอื่นอีก แต่นอกจากคนขายเหล้าคนนี้แล้ว ก็ไม่มีใครเห็น ข้าก็เลยคิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่ เพราะเหลิ่งเฟิ่งหยู่เป็นคุณหนูรองของตระกูลเทียนซ่วน เป็นน้องสาวภรรยาของเหยี้ยนจือหยู ศพของนางจะถูกแขวนไว้บนกำแพงเมืองได้อย่างไร?”
“ข้าไม่ได้อยู่นาน เดินทางมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง และก็ขอคนในยุทธภพช่วยตามหาเขา ในใจก็รู้สึกแปลกใจ เหลิ่งเฟิ่งหยู่ถูกฆ่าได้ยังไง ทำไมเขาถึงได้หักหลังเหยี้ยนจือหยู? ตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเฟิ่งหยู่จะถูกเหยี้ยนจือหยูฆ่า ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน เดินทางตามหาเขามาตลอด ตามหามาหนึ่งเดือนกว่าก็ไม่เจอ และก็ไม่มีใครเห็นเขา ข้าคิดว่าน่าจะเกิดเรื่องกับเขาแล้ว แต่เขาขอให้ข้าช่วยฝังศพให้กับเขา แต่กลับหาศพไม่เจอ ข้าปล่อยวางไม่ได้ จึงจ่ายเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ให้คนสำนักทงเทียนช่วยออกตามหา ในที่สุด ไม่เกินเดือนคนของสำนักทงเทียนก็มาบอกข้าว่า เจอศพของเขาแล้ว คนของสำนักทงเทียนแอบขึ้นไปหาบนยอดเขาหมาป่าหิมะ เพราะพวกเขาสืบรู้มาว่าเมื่อไม่นานมีคนขึ้นไปบนยอดเขาหมาป่าหิมะ จึงขึ้นไปดูว่าใช่เขาหรือไม่ ผลปรากฏว่าพบศพของเขาบริเวณใกล้วัดศาลเจ้าบนยอดเขาหมาป่าหิมะ”
“พวกเขานำศพลงมา ข้ารีบตามไปดู สภาพการตายอนาถอย่างมาก ผิวไหม้ไปทั้งตัว ไม่สิ แม้แต่ผิวหนังก็ไม่มีแล้ว ไม่มีผิวหนังแล้วทั้งตัว ข้าแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นเขา แต่บนหลังมีสัญลักษณ์ประจำสำนักที่ยังสามารถเห็นอย่างเลือนราง ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินว่า คนของตระกูลเทียนซ่วน หากช่วยเปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิต หลังจากกรรมแห่งการย้อนกลับมาทำร้ายมาเยือน สภาพการตายก็จะไม่มีหนัง เน่าสลายจนตาย หลังจากที่ข้าฝังศพเขาแล้ว ก็กลับไปยังเมืองเฟิงตูอีกครั้ง ในที่สุดก็เจอคนที่ฝังศพให้กับเจ้าสำนักตระกูลเทียนซ่วนคนก่อน เขาก็บอกว่าเห็นศพของเจ้าสำนักคนนั้น สภาพการตายเน่าสลายทั้งตัว น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ข้าจึงมั่นใจ เสียดายที่ตอนนั้นคนของตระกูลเทียนซ่วนตายหมดแล้ว ข้าจึงสืบไม่รู้อะไร สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงปล่อยไป”
พูดถึงตรงนี้ หนานเปียนเค่อถอนหายใจอย่างหนักใจ สายตายังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เห็นได้ชัดว่าถึงจะผ่านไปแล้ว 30 กว่าปี ก็ยังไม่สามารถปล่อยวางกับสภาพการตายของศิษย์น้อง