บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1513 ผู้หญิงคนที่อุ้มเด็กอยู่คนนั้น
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1513 ผู้หญิงคนที่อุ้มเด็กอยู่คนนั้น
หยวนชิงหลิงอดทนต่อความตื่นเต้นในใจไม่ไหว รีบถามเจ้าอาวาสว่า “ท่านรู้ว่าเหลิ่งเฟิ่งชิงไปไหนแล้วหรือไม่?”
ถึงแม้จะผ่านไปสามสิบหกปี และนางก็เป็นบ้าไปแล้ว แต่หากนางมีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลตัวเอง ก็ยังมีความหวังที่จะยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ การเปลี่ยนแปลงนี้ถึงจะมีความหมาย
เจ้าอาวาสถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “หลังจากประมุขตระกูลเหลิ่งเสียสติ คิดว่าลูกของตนเองยังมีชีวิตอยู่ คิดแต่เพียงว่าจะออกไปตามหาลูกมาตลอด ลงจากดอยไปแล้วหลายครั้ง ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ไหว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังกลับมา ตอนนี้ยังอยู่ที่หลังเขาของวัด พวกเราสร้างกระต๊อบเล็กๆให้นางอยู่ กอดหมอนทั้งวันเหมือนกอดลูกชายของตน ข้าเคยคิดที่จะแย่งหมอนใบนั้น นางเสียสติขึ้นมาเกือบที่จะฆ่าข้า”
“เจ้าห้า นางยังมีชีวิตอยู่ นางยังมีชีวิตอยู่” หยวนชิงหลิงน้ำตาไหล ในใจทั้งเจ็บปวดทั้งดีใจ สามสิบหกปี ผ่านมาอย่างเสียสติ โชคดีที่ลืมเรื่องราวที่ผ่านมา ไม่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน
หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้กับนาง น้ำตาของตนเองก็ยากที่จะกลั้นไว้ อัดอั้นใจมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นข่าวดีที่สุด
“เจ้าอาวาส รบกวนท่านพาพวกเราไปหานางด้วย” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นมาพนมมือพร้อมพูดขึ้น
เจ้าอาวาสรีบลุกขึ้นมายกมือประสานกลับ พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮองเฮาไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ หากท่านอยากเจอ ข้าจะพาท่านไป”
หยู่เหวินเห้าจับมือหยวนชิงหลิงไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าก็จะไปด้วย”
เจ้าอาวาสพยักหัวเล็กน้อย เดินนำพาพวกเขาทั้งสามคนไปหลังเขา
บริเวณวัดไม่ใหญ่ แต่อ้อมไปด้านหลังเขา ยังคงมีระยะไกลอยู่บ้าง ถนนบนเขาเดินไม่สะดวก มีความสูงเล็กน้อย ไม่กล้าเดินอย่างเร่งรีบ เดินกว่าครึ่งชั่วโมงค่อยถึง
แล้วก็เห็นบ้านไม้หลังเล็กๆ บนพื้นราบใต้ยอดเขา บ้านไม้มีขนาดเล็กมาก คาดว่าไม่ถึงสิบตารางเมตร ค่อนข้างทรุดโทรม หลังคากองเต็มไปด้วยฟางแห้ง ไม่มีพืชอะไรอยู่หน้าประตู ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ เห็นมีก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ข้างบ้านไม้ ข้างล่างมีเก้าอี้เก่าอยู่ตัวหนึ่ง บนเก้าอี้มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ ถือหมอนผ้าฝ้ายอยู่ในมือ ผู้หญิงคนนั้นผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าก็สกปรกอย่างมาก สกปรกจนเป็นมันเงา
นางสวมรองเท้าผ้าฝ้ายสีดำกว้างหนึ่งคู่ เผยให้เห็นนิ้วเท้า 2 นิ้ว อุณหภูมิบนภูเขายังค่อนข้างต่ำ นางสวมเสื้อผ้าตัวบาง กลับดูไม่หนาวเลย นางดูผอมมาก ผอมจนเห็นหนังหุ้มกระดูก ได้ยินเสียงฝีเท้า นางเงยหัวขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่แข็งกร้าวเพื่อป้องกันตัว กอดหมอนในมือไว้แน่น เท้าที่เหยียดออกหดกลับไป เหมือนกำลังอยากจะหนี
แต่อาจจะเป็นเพราะมองเห็นเจ้าอาวาส ความตึงเครียดในแววตาของนางค่อยลดลง แต่ก็ยังคงกอดหมอนไว้แน่น
บนใบหน้าของนางสกปรกมาก เส้นผมที่หน้าผากจับเป็นก้อน ติดอยู่บนหน้าผาก ดูรูปโครงหน้าตาแล้ว หยวนชิงหลิงก็น้ำตานองหน้า
ท่านชายสี่กับนาง เหมือนกันมากเลย คิดมาตลอดว่าใบหน้าของท่านชายสี่ สวยงดงามอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าตอนที่เหลิ่งเฟิ่งชิงเป็นสาว จะสวยงดงามขนาดไหน ตอนนี้ถึงแม้จะสกปรก บนใบหน้าก็ยังมีร่องรอยของความงดงาม ถึงแม้จะผอมอย่างมาก แต่ก็ยังสามารถมองเห็นความงดงามของนางในอดีตได้จากใบหน้าของนาง
หยวนชิงหลิงให้พวกหยู่เหวินเห้ารออยู่ด้านข้าง ไม่ต้องเดินเข้าไปใกล้ ส่วนนางค่อยๆเดินเข้าไป ห่างกันประมาณสามสี่เมตร เหลิ่งเฟิ่งชิงรีบลุกขึ้นมา อุ้มหมอนไว้แล้วก็จะวิ่งเข้าไปหลบในห้อง
หยวนชิงหลิงรีบหยุดฝีเท้า อดกลั้นน้ำตาไว้ พร้อมพูดขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นว่า “เสื้อผ้าของลูกเจ้าขาดแล้ว ข้าอยากช่วยเจ้าเย็บ เจ้าอย่าพึ่งไป ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
มือของเหลิ่งเฟิ่งชิงจับหมอนไว้แน่น ด้านข้างหมอนมีรอยขาด จนปุ้ยฝ้ายหลุดออกมา นางใช้นิ้วมือยัดเข้าไปข้างใน แล้วก็มองดูหยวนชิงหลิงอย่างทำตัวไม่ถูก
หยวนชิงหลิงขยับเดินไปข้างหน้า พร้อมพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “เสื้อผ้าขาดแล้ว ลูกจะหนาว เมื่อหนาวแล้วจะทำให้ป่วย ให้ข้าช่วยเจ้าเย็บดีไหม?”
นางไม่พูดอะไร แต่สายตาที่คอยระวังไม่หนักหนาขนาดนั้นแล้ว
“ข้าก็มีลูก โตขนาดนี้เหมือนกัน” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
สายตาของนางเป็นประกายขึ้นมาทันที พร้อมพูดขึ้นว่า “ลูก?”
“ใช่ ข้าก็เป็นแม่ ข้าเย็บผ้าเป็น ให้ข้าช่วยเจ้าดีไหม?” หยวนชิงหลิงขยับเข้าไปใกล้อีก ห่างจากนางเพียงสามสี่ก้าวเท่านั้นแล้ว
นางหันหน้าไป เหมือนกำลังครุ่นคิด ลมพัดโบยมา ผมด้านข้างของนางปลิวขึ้น เผยให้เห็นหน้าผากดำประกาย มีกลิ่นโชยมา ไม่รู้ว่านางไม่ได้อาบน้ำมากี่ปีแล้ว
สุดท้ายแล้วน้ำยังคงค่อยๆยื่นมือมาหาหยวนชิงหลิง แต่กลับไม่ก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็รีบหันไปมองหยู่เหวินเห้ากับสวีอีแวบหนึ่ง สายตายังคงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
หยวนชิงหลิงหันไปพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “เจ้าห้า เจ้ากับสวีอีไปตามท่านชายสี่ บอกกับเขา แต่อย่าให้เขาใจร้อน”
หยู่เหวินเห้าพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าให้สวีอีไป ข้ายืนอยู่ที่นี่”
“ไม่ เจ้าไปบอกเอง สวีอีพูดตื่นตูม”
นอกจากบอกท่านชายสี่แล้ว ยังต้องควบคุมอารมณ์ของท่านชายสี่ สวีอีทำไม่ได้
หยู่เหวินเห้าจ้องมองดูเหลิ่งเฟิ่งชิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง แล้วพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ งั้นข้าไปด้วยตนเอง เจ้าอย่าวู่วาม อยู่เป็นเพื่อนนางให้ดีก็พอ”
“ข้ารู้” หยวนชิงหลิงมองดูแววตาแดงๆของเขา รู้ว่าเขาก็ตื่นเต้นมาก ไม่เคยเจอหน้าเหลิ่งเฟิ่งชิงมาก่อน แต่นับจากที่รู้เรื่องของนาง ก็เห็นนางเป็นญาติคนหนึ่งแล้ว
หยู่เหวินเห้าให้เจ้าอาวาสก็จากไปด้วยกัน เมื่อพวกเขาไปแล้ว ความระแวดระวังของเหลิ่งเฟิ่งชิงก็ค่อยๆหมดลง แล้วก็ยิ้มให้กับหยวนชิงหลิง
เวลานางยิ้มขึ้นมา เหมือนความมืดมิดมลายหายไปหมด ท้องฟ้าสดใสขึ้นมาทันที
หยวนชิงหลิงค่อยๆเดินไป มองดูนางด้วยน้ำตานองหน้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ให้ข้า ข้าดูก่อน ดีไหม?”
เหลิ่งเฟิ่งชิงลังเลสักพัก แล้วยื่นหมอนให้กับนาง หยวนชิงหลิงรับมา ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยมา และยังมีความอบอุ่น
นั่งกอดหมอนไว้แนบอกตลอด
หยวนชิงหลิงกอดหมอนไว้ แล้วก็น้ำตาไหลอีกครั้ง
ในระหว่างที่นางน้ำตาไหลไม่หยุด ได้เอื้อมมือไปจับมือของนางไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “นั่งลง เรามาช่วยกันเย็บผ้าให้ลูกด้วยกัน ดีไหม?”
เหลิ่งเฟิ่งชิงไม่ได้ปฏิเสธ เดินตามนางเข้าไปในบ้านทีละก้าว หยวนชิงหลิงมองดูภายในห้อง นอกจากเตียงหนึ่งตัวกับโต๊ะหนึ่งตัว ก็ไม่มีอะไรแล้ว บนโต๊ะมีหมั่นโถแห้งวางอยู่ มีหลายอันที่ขึ้นราแล้ว พวกนี้น่าจะเป็นพวกเจ้าอาวาสนำมาให้
นางหยิบหมั่นโถขึ้นมาหนึ่งอัน ยื่นมาตรงหน้าหยวนชิงหลิง พร้อมพูดขึ้นว่า “กิน”
หยวนชิงหลิงรับมา น้ำตาไหลหยดลงบนหมั่นโถ นางอ้าปาก รู้สึกเหมือนมีก้อนสำลีติดอยู่ในคอ พูดอะไรไม่ออก ในใจโศกเศร้าอย่างมาก
“กิน” เหลิ่งเฟิ่งชิงพูดขึ้นอีก แล้วก็ชี้ไปที่หมอน พร้อมพูดว่า “เย็บ”
หยวนชิงหลิงวางหมั่นโถลง พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า “ข้าไม่หิว เราซ่อมเสื้อผ้ากันก่อน”
นางนั่งลงข้างเตียง ผ้าห่มบนเตียงโชยกลิ่นเหม็นออกมา หยวนชิงหลิงรู้สึกหายใจค่อนข้างลำบาก จึงลุกขึ้นมาเปิดประตูกว้างอีกหน่อย ให้ลมพัดเข้ามา พัดกลิ่นเหม็นออกไป
นางกลับมานั่งลง หลับตาคิดถึงเข็มด้ายในตำหนักของตน ค่อยๆยื่นมือออกไป หยิบของผ่านพลังจิตสำหรับนาง ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก แต่ที่ผ่านมาไม่เคยใช้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
เข็มได้ตกอยู่ในมือของนาง นางเช็ดน้ำตา สอยด้ายเข็มเสร็จ เงยน่ามองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “นั่งลง”
เหลิ่งเฟิ่งชิงแลดูค่อนข้างดีใจและตื่นเต้น พร้อมพูดพึมพำว่า “เย็บ เย็บ ลูกหนาว”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเดี๋ยวท่านชายสี่ก็จะมา ไม่อยากให้เขาเห็นเหลิ่งเฟิ่งชิงในสภาพเช่นนี้ ดังนั้น เย็บหมอนเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญคือต้องช่วยจัดการนางสวยงาม
ใช้พลังจิตเอาหวีกับผ้าเช็ดตัวมา นอกห้องมีโอ่งน้ำ นางเข้ามาพร้อมผ้าขนหนูเปียก อยากช่วยเช็ดตัวให้นาง แต่นางรีบถอยห่างทันที พร้อมพูดขึ้นอย่างค่อนข้างโกรธว่า “เย็บ เย็บ”