บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1519 ทุบหินญาณสวรรค์แตก
ตอนที่เหลิ่งเฟิ่งชิงมองเห็นนาง ก็เกิดความตื่นตัวขึ้นมาทันที นอนราบกับพื้นถือกระบี่ชี้มาที่นาง สีหน้าเจ็บปวด พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้า….เจ้าเป็นใคร?”
หยวนชิงหลิงขยับปลายเท้า มองดูนาง ชูสองมือขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นชาวบ้านที่เชิงเขา ข้าไม่มีเจตนาร้าย เจ้า….จะคลอดลูกหรือ? ข้าเคยเรียนการคลอดลูก ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
“ชาวบ้าน” เหลิ่งเฟิ่งชิงผ่านอันตรายมากมายจนถึงตอนนี้ ไม่เชื่อคำพูดของนางง่ายๆอยู่แล้ว สูดหายใจเข้า เหวี่ยงกระบี่ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าถอยไป ไม่ต้องการให้เจ้าช่วย”
หยวนชิงหลิงรีบหยุดฝีเท้า ไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีก กลัวนางจะเหวี่ยงกระบี่อย่างไม่สนใจ แล้วทำให้ตนเองบาดเจ็บ
ความเจ็บปวดในการคลอดลูก เป็นความทรมานยิ่งกว่าทุกสิ่ง นางยกกระบี่ขึ้นมาสักพัก แล้วความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็มาเยือน เจ็บปวดจนนางไม่มีแรงถือกระบี่ ห้อยมือลง กุมท้องไว้ หายใจหอบเหนื่อย เจ็บปวดจนใบหน้าเปลี่ยนรูป
หยวนชิงหลิงรีบเดินไป คุกเข่าอยู่ด้านข้างนาง ยื่นมือลูบท้องของนางเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำใจให้สบาย ค่อยๆหายใจ อย่ารีบหายใจ”
เหลิ่งเฟิ่งชิงไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้กับนางแล้ว นางงอขาทั้งคู่ ลองค่อยๆปรับลมหายใจ ดวงตาหรี่ลง คนที่ปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหันนี้ ไม่เหมือนเป็นความจริง
นางแทบจะไม่มีแรงแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งกระหายทั้งหิว ภาพตรงหน้าทุกอย่างเหมือนเป็นภาพซ้อน รู้สึกเจ็บเล็กน้อยบนข้อมือ นางอยากหันไปดู แต่ผู้หญิงคนนั้นคุกเข่าอยู่ข้างท้อง บดบังไม่ให้นางมองเห็น ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อยก็หายไปโดยเร็ว
หยวนชิงหลิงเติมน้ำเกลือให้นาง บนพื้นไม่มีที่สำหรับแขวนขวดน้ำเกลือ นางจึงต้องใช้พลังจิต เอาเสาไม้ไผ่มาค้ำไว้ ให้ยาบำรุงกับวิตามินแก่นาง แล้วก็เฝ้าอยู่ข้างกายนาง จับมือของนางไว้แล้วก็พูดสอนให้นางคลอดลูก
นางสามารถทำได้ดีกว่านี้ แต่นางไม่ควรทำ เห็นเหลิ่งเฟิ่งชิงเจ็บปวดขนาดนี้ ในใจของนางทุกข์ทรมานอย่างมาก
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าที่ตนเองออกมาเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด นางเพียงแค่ทนไม่ได้ที่จะเห็นนางคลอดลูกท่ามกลางหิมะด้วยตัวคนเดียว อย่างน่าสงสารขนาดนี้อีกครั้ง ข้างกายไม่มีใครสักคน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีหยวนชิงหลิงอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า หรืออาจเป็นเพราะว่าน้ำเกลือช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย เหลิ่งเฟิ่งชิงแลดูอาการดีขึ้น แต่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในระหว่างคลอด ยังคงทำให้นางที่เหนื่อยล้าบาดเจ็บทรมานอย่างที่สุด
นางกัดฟันทน หลังจากทนทุกข์กับความเจ็บปวดทรมาน ในที่สุดก็คลอดลูกออกมาได้แล้ว
ทารกคลอดออกมาแล้ว ไม่ส่งเสียงร้องไห้ หยวนชิงหลิงมองดูแวบหนึ่ง แล้วก็เอื้อมมือไปอุ้มออกมา ในหน้าน้อยสีม่วงดำเหี่ยวย่น
นางรีบถอดเสื้อตัวหนามาห่อเด็กไว้ แล้ววางบนตัวเหลิ่งเฟิ่งชิง เหลิ่งเฟิ่งชิงแทบเป็นลมสลบไปแล้ว แต่ก็ยังกอดลูกไว้แน่นด้วยสัญชาตญาณ
หยวนชิงหลิงกลั้นน้ำตา ค่อยๆปล่อยมือของนาง ลุกขึ้นมาแล้วก็ถอยห่างไป
เหลิ่งเฟิ่งชิงเอียงหัวมา พยายามลืมตามองดูนางให้ชัดเจน แต่ท้องฟ้าอึมครึม บวกกับนางเวียนหัวอย่างมาก เห็นเพียงเงาเลือนรางของคนคนหนึ่ง
หยวนชิงหลิงเห็นนางขยับริมฝีปาก เหมือนกำลังพูดว่าขอบคุณ แต่นางไม่มีแรงพูดออกมาแล้ว ทำได้เพียงกอดลูกไว้แน่น
หลังจากนั้นไม่นาน ฝูงหมาป่ามาแล้ว โอบล้อมดมรอบเหลิ่งเฟิ่งชิงสักพัก เวลานี้เหลิ่งเฟิ่งชิงสลบไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมดสติไปทั้งหมด เพราะมือทั้งคู่ของนางยังกอดลูกไว้แน่น แรงฮึกสุดท้ายของนาง ล้วนนำมาใช้กอดลูกไว้
สุดท้ายหมาป่าหิมะคาบทารกไป เหลิ่งเฟิ่งชิงในเวลานี้ เหมือนกับตายไปแล้วจริงๆ หยวนชิงหลิงออกไปช่วยจัดเสื้อผ้าของนางให้เรียบร้อย ร้องเรียกนาง นางไม่ตอบสนองใดๆ หยวนชิงหลิงถอยห่างออกไป รอคอยการมาของพอจีต่อไป
หิมะขาวโพลนกว้างใหญ่ เลือดสีแดงตกค้าง กลิ่นคาวเลือดท่วมท้น ฟุ้งกระจายไม่หาย
ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นมีคนคนหนึ่งขึ้นมาแล้ว หยวนชิงหลิงเห็นตอนที่เขาเห็นเหลิ่งเฟิ่งชิง ก็ตะโกนร้องเรียกเสียงดัง รีบเร่งฝีเท้าเดินมาคุกเข่าลงเขาเขย่าไหล่เหลิ่งเฟิ่งชิง พร้อมพูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกหมดหวังว่า “เจ้าตายไม่ได้ เจ้ารีบลุกขึ้นมา เจ้ายังต้องแก้แค้น เจ้ายังต้องแก้แค้นให้กับคุณหนูรอง เจ้าจะตายไม่ได้”
หยวนชิงหลิงไม่กล้าหันไปมองพอจี เขาใช้ทุกวิถีทางทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยเหลิ่งเฟิ่งชิง กระทั่งสุดท้ายแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ต้องสูญเสีย เขาเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดคนหนึ่ง
นอกจากศิษย์พี่ของเขาแล้ว คงไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของเขาอีกแล้ว
เหลิ่งเฟิ่งชิงถูกเขาเขย่าอยู่หลายครั้ง จึงพอมีสติกลับมาบ้าง ค่อยๆลืมตาขึ้น พอจีล้มนั่งอยู่บนพื้น อย่างค่อยโล่งอก รีบหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด ทุบแตกแล้วก็ใส่เข้าไปในปากของนาง จ้องมองดูนางพร้อมพึมพำพูดขึ้นว่า “เจ้าจะตายไม่ได้ เจ้ายังจะต้องแก้แค้น ข้าเคยพูดแล้ว ว่าจะช่วยแก้แค้นให้กับคุณหนูรอง ข้าจะผิดคำพูดไม่ได้ เจ้าจะตายไม่ได้”
“แก้แค้น?” เหลิ่งเฟิ่งชิงได้สติขึ้นมาอย่างชัดเจนขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ลูก…ลูกของข้า”
พอจีอุ้มนางขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าจะพาเจ้าไปวัดศาลเจ้า ช่วยชีวิตเจ้าก่อน จากนั้นพวกเราค่อยลงเขาเข้าเมืองหลวงไปหาฮ่องเต้ พวกเราจะแก้แค้นให้กับคุณหนูรอง”
ศีรษะเหลิ่งเฟิ่งชิงห้อยลง หยวนชิงหลิงเห็นน้ำตาของนางไหลลง ปากก็ยังพูดร้องหาลูก แต่พอจีวิ่งกระแทกหลายครั้ง นางทนรับไม่ไหว จึงสลบไปอีกครั้ง
หยวนชิงหลิงตามไปห่างๆ เห็นพวกเขาเจอเจ้าอาวาสตอนที่ยังเป็นหนุ่มตรงเนินเขาวัดศาลเจ้า เจ้าอาวาสพาพวกเขาไปอยู่ภายในถ้ำ หยวนชิงหลิงไม่เข้าไปยุ่ง รักษาระยะห่างรอคอยโอกาสที่จะได้ทุบหินญาณสวรรค์แตก
ในที่สุดก็เห็นพวกเขาปรึกษากันแล้ว ได้ยินเจ้าอาวาสพูดถึงเรื่องหินญาณสวรรค์ เหลิ่งเฟิ่งชิงถามเขาว่าทำไมถึงรู้เรื่องหินญาณสวรรค์ เจ้าอาวาสบอกกับนางว่า เดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน หินญาณสวรรค์ถือเป็นสิ่งของล้ำค่าของวัดศาลเจ้า ต่อมามีนักพรตของวัดศาลเจ้าศึก แล้วเอาหินญาณสวรรค์ไปด้วย นักพรตคนนี้ ต่อมาก็คือผู้ก่อตั้งตระกูลเทียนซ่วน
เขาแต่งงานมีลูก ตระกูลเทียนซ่วนค่อยๆเข้มแข็งยิ่งใหญ่ เพราะเขาไปยังเข้มแข็ง หาเขาไม่เจอมานานกว่าหลายสิบปี สุดท้ายตอนที่หาเจอ ตระกูลเทียนซ่วนก็แข็งแกร่งแล้ว สุดท้ายหลังจากพูดคุยกันหลายครั้ง ไม่รู้ว่าทำข้อตกลงอะไรกัน วัดศาลเจ้าไม่เอาเรื่องอีก ตระกูลเทียนซ่วนก็จะใช้หินญาณสวรรค์เปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตของคนไปเรื่อยไม่ได้
เหลิ่งเฟิ่งชิงขอร้องให้เจ้าอาวาสทุบหินญาณสวรรค์แตก แต่เจ้าอาวาสลังเล เขารู้ถึงผลที่จะตามมาหลังจากทุบหินญาณสวรรค์แตก นั่นก็คือผู้รับก่อนหน้านี้จะต้องทุกข์ทรมานอย่างตายทั้งเป็น เขาทนรับไม่ได้ที่จะกระทำเช่นนี้
นี่คือความเมตตาของคนออกบวช เจ้าอาวาสในเวลานี้ ไม่รู้ว่าการมีเมตตากับคนคนหนึ่ง จะเป็นการกระทำที่โหดร้ายสำหรับอีกคนหนึ่ง
และเจ้าอาวาสได้แสดงท่าทีลังเลตรงหน้าเหลิ่งเฟิ่งชิง อย่างไม่ทิ้งร่องรอย เหลิ่งเฟิ่งชิงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เลือดไหลอยู่ภายในใจ ยังต้องเผชิญหน้ากับพอจีที่จะยอมเสียสละ ความเกลียดชังที่มีต่อเหยี้ยนจือหยูกับซูหรูซวง ก็วนเวียนอยู่ในใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นางจึงมองไม่เห็นถึงความลังเลของเจ้าอาวาส
นางกับพอจีเริ่มแล้ว คุกเข่าลงบนพื้น พร้อมทั้งหลับตา ยกมือพนมแล้วก็เชิญหินญาณสวรรค์ออกมา กล่องอันหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ลักษณะพิเศษ ค่อยๆลอยขึ้นตรงหน้าของนาง กล่องถูกเปิดออก ก้อนหินสีดำก้อนหนึ่งโผล่ออกมา นั่นก็คือหินญาณสวรรค์
หินสีดำที่ไม่ธรรมดา ขนาดประมาณนิ้วโป้ง แต่ดูเหมือนจะหนักอย่างมาก หยวนชิงหลิงเห็นท่าทีเหนื่อยยากของเหลิ่งเฟิ่งชิง คิดว่านางกำลังใช้พลังจิตควบคุมหินญาณสวรรค์
หินญาณสวรรค์ไม่ได้เปล่งแสงอะไรออกมา เพียงแค่ลอยจากตรงหน้าเหลิ่งเฟิ่งชิง มายังตรงหน้าพอจี แนบติดหน้าอกของพอจี ประมาณห้าวินาที
ราวกับพอจีต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ร่างกายที่คุกเข่าอยู่สั่นสะท้าน มีพลังบางส่วนกำลังรวมตัวกัน คนอื่นอาจมองไม่เห็นพลังนี้ แต่หยวนชิงหลิงสามารถมองเห็น พลังนั้นเหมือนดั่งสายน้ำที่ไหล อัดแน่นมาจากทั่วทุกทิศทาง ตกลงบนหินญาณสวรรค์
ในขณะที่หินญาณสวรรค์ล่วงลง เหลิ่งเฟิ่งชิงกระอักออกมาเป็นเลือด จู่ๆก็ลืมตาขึ้น พร้อมตะโกนพูดขึ้นว่า “ทุบหินญาณสวรรค์ให้แตก”