บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1522 ฟื้นคืนสติ
ท่านชายสี่มองดวงตาใสกระจ่างแต่กลับมีแววหมองเศร้าของนาง หัวใจของเขาเต้นแรง เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นทุกที คุกเข่าลง พลางลองเรียกนางขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ท่านแม่?”
น้ำตาของเหลิ่งเฟิ่งชิงไหลอาบใบหน้าอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าน้ำตาที่นางฝืนสะกดกลั้นเอาไว้นานถึงสามสิบหกปี ได้ปะทุออกมาแล้วในเวลานี้ นางมองใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ชัด แต่ยังมองเห็นได้ว่าเขาค่อย ๆ คุกเข่าลงช้า ๆ คุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้านาง แล้วเรียกนางว่าแม่
เหมือนเวลาได้ย้อนกลับสู่ยอดเขาหมาป่าหิมะเมื่อสามสิบหกปีก่อน ลูกของนางเพิ่งเกิด นางได้เห็นเขา ว่าเป็นเด็กทารกที่มีใบหน้าเป็นสีม่วงคล้ำ กระทั่งจะร้องไห้ก็ร้องไม่ได้ นางทำได้เพียงอุ้มเขาเข้ามากอดแน่นในอ้อมแขน นางคิดโดยสัญชาตญาณว่า บางทีวาสนาของนางกับเด็กคนนี้อาจมีเหลือแค่ชั่วพริบตานี้แล้ว
นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไปอย่างไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง อุดปากไว้ไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ออกมา นางเพียงปล่อยให้น้ำตาไหลพราก มือของนางไม่อาจสัมผัสใบหน้าของท่านชายสี่
นางไม่กล้า!
มืออันอบอุ่นและเอื้ออาทรข้างหนึ่ง ยื่นมากุมมือที่สั่นเทาของนางไว้แน่น ดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของเขา แล้วกอดนางเอาไว้
“แม่!”
เมื่อเสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนนั้นไม่ได้แย่เลย นางกำหมัดแน่น กอดหัวลูกชาย เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความเจ็บปวด ทุกความรู้สึกทยอยปรากฏขึ้นในใจของนางอย่างต่อเนื่อง
นางร้องไห้คร่ำครวญ ร้องไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ร้องไห้ราวปิ่มว่าจะขาดใจ ร้องไห้จนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ปล่อยให้ลูกชายโอบนางไว้ แล้วยกมือขึ้นทุบ ๆ ที่หัวอย่างแรง เปล่งเสียงร้องไห้ต่ำ ๆ ที่ฟังแล้วน่าเวทนาเหมือนเสียงร้องของสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ร้องไห้จนเหมือนเสียสติไปแล้ว “อ้า…..อ้า!”
เมื่อคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นฉากนี้ ไหนเลยจะทนกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ? รู้สึกแค่ว่าความเจ็บปวดที่บาดลึกนั้น มันแพร่กระจายใส่ทุกคนจนเกิดความรู้สึกร่วมไปด้วย ทั้งหลิงเอ๋อและหรงเยว่ต่างก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกันอย่างสุดจะกลั้น
ท่านชายสี่จับมือของนางที่เอาแต่ทุบหัวตัวเองไม่หยุด นำมือทั้งสองข้างของนางมาวางบนหน้าอกของเขา ดวงตาแดงก่ำราวกับดอกงิ้วที่ห้อยระย้าอยู่บนกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ เป็นสีแดงฉานไปทั้งผืน พูดปลอบโยนด้วยน้ำเสียงเจือสะอื่นว่า “ท่านแม่ ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ทุกเรื่องก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน ”
แต่ไม่ว่าท่านชายสี่จะพูดกล่อม หรือจะปลอบโยนอย่างไร เหลิ่งเฟิ่งชิงก็ยังหยุดร้องไห้ไม่ได้ ชั่วขณะที่เห็นว่านางแทบจะเป็นลมไปเพราะการร้องไห้อันหนักหน่วงนั่นเอง พลันเสียงร้องของเทียนสิงก็ดังขึ้น ดึงเอาสติของเหลิ่งเฟิ่งชิงให้กลับมาได้ นางแทบจะหยุดร้องไห้ลงในทันที เปลี่ยนความสนใจหันหน้าไปหาเทียนสิงแทน
หยู่เหวินหลิงรีบเช็ดน้ำตา แล้วอุ้มเทียนสิงเข้าไปทันที เพียงอึดใจเดียวเหลิ่งเฟิ่งชิงก็อุ้มเขาไปอย่างรวดเร็ว ตัวของเทียนสิงนั้นไม่ใช่เบา ๆ เพราะนางรูปร่างซูบผอม พริบตาเดียวนางก็ต้องนั่งลงไปกับพื้น ขัดสมาธิแล้ววางตัวของเทียนสิงให้นั่งลงบนตักของนาง รีบเช็ดน้ำตา แล้วมองดูเขาอย่างละเอียดพินิจ
เด็กชายตัวน้อยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของท่านย่า กลับเงียบสงบว่าง่ายอย่างมาก เมื่อครู่เขายังร้องไห้อยู่แท้ ๆ แต่มาตอนนี้กลับหัวเราะเบิกบาน บนใบหน้าเล็ก ๆ ที่อวบอ้วนกลมเกลี้ยงของเขามีรอยปานแดงของทารก ดวงตาสีดำที่เหมือนองุ่นกลอกกลิ้งไปมา อ้าปากยิ้มกว้าง รอยยิ้มของเด็กที่ยังไม่มีฟัน มักเต็มไปด้วยพลังแห่งการเยียวยาเสมอ เหลิ่งเฟิ่งชิงจ้องมองเขาจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะกละตะกลาม นางแทบไม่อาจตัดใจกะพริบตาแม้สักครั้ง ไม่กล้าเอื้อมมือออกไปแตะที่แก้มเล็ก ๆ ของเขา ทำได้แค่มองเขา อุ้มเขาอยู่อย่างนั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็เงยหน้าขึ้นมองท่านชายสี่ น้ำตาไหลอาบหน้าอีกครั้ง ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เจ้าคือลูกของข้าจริง ๆ หรือ? ข้าไม่ได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่?”
ท่านชายสี่คุกเข่าอยู่บนพื้น แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่จริงจัง ยิ้มทั้งน้ำตาเต็มหน่วยตา “ข้าชื่อเหลิ่งซี่ เป็นลูกชายของท่าน ลูกชายที่ท่านคลอดบนยอดเขาหมาป่าหิมะ ส่วนเขาชื่อเหลิ่งเทียนสิง เป็นลูกชายของข้า หลานชายของท่าน”
เหลิ่งเฟิ่งชิงส่งเสียงตอบรับในลำคอ มือก็โอบกอดเทียนสิงจนแน่นอีกครั้ง เอียงหัวเข้าไปใกล้ ๆ ตัวเขา น้ำตาไหลจนเปียกชุดเสื้อคลุม “ข้าไม่ได้ฝันไปจริง ๆ ใช่หรือไม่? คลาดกันครั้งนี้ ผ่านไปกี่ปีแล้วหรือ?”
“สามสิบหกปี” ท่านชายสี่กอดนางแล้วตอบคำถาม
เหลิ่งเฟิ่งชิงพึมพำ “สามสิบหกปี? แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงเท่านี้ ก็ผ่านไปถึงสามสิบหกปีแล้วรึ? แต่ข้ากลับรู้สึกว่า เหมือนเพิ่งจะคลอดเจ้าได้ไม่นานนี้เอง พวกเราอยู่บนยอดเขาหมาป่าหิมะ มีทหารไล่ตาม แล้วเจ้าก็ถูกหมาป่าคาบไป…”
จู่ ๆ นางก็ตกใจ หันไปมองเขาทันที “หมาป่า!”
ท่านชายสี่จับมือนาง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร หมาป่าหิมะไม่ได้กินข้า แต่ยังช่วยชีวิตข้า เลี้ยงข้าด้วยนมหมาป่า จนกระทั่งท่านอาจารย์ปรากฏตัว นางจึงรับข้าไว้ แล้วเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่”
มือของลูกชาย ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างมาก อารมณ์ของนางจึงค่อย ๆ สงบลง ภาพชิ้นส่วนความทรงจำในหัวค่อย ๆ บีบอัดเข้ามา รู้สึกเหลือเชื่อจนแทบจะเชื่อไม่ลง “ที่แท้หมาป่าก็ช่วยเจ้าไว้นี่เอง แล้วตอนนี้อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ไหนแล้วรึ? ข้าอยากจะไปโขกหัวคารวะเขา ขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตลูกชายของข้าไว้!”
“ อย่างไรก็ต้องได้พบนางแน่ พรุ่งนี้นางก็คงจะมาแล้ว ท่านรีบลุกขึ้นเร็วเข้าเถอะ อย่านั่งบนพื้นเลย” ท่านชายสี่อุ้มเทียนสิงขึ้นมาก่อน แล้วเอื้อมมือไปดึงนาง “ลูกสะใภ้ของท่านก็อยู่ตรงหน้านี้ด้วย ท่านไม่อยากคุยกับนางสักหน่อยหรือ?”
“ลูกสะใภ้?”เหลิ่งเฟิ่งชิงยังคงสับสนเล็กน้อย ดวงตาของนางเลื่อนผ่านใบหน้าของหยู่เหวินหลิงกับหรงเยว่ แต่แล้วก็มองกลับมาที่หยู่เหวินหลิงอีกครั้ง
หยู่เหวินหลิงร้องไห้หนักมากจนตาบวมไปหมด เมื่อเห็นสายตาของแม่สามีมองมา ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้า ยังไม่ทันเช็ดน้ำตาให้แห้งดี ตั้งใจว่าจะย่อตัวคุกเข่าลง ท่านชายสี่ก็ยื่นมือออกไปดึงนางเอาไว้ “ตอนนี้อย่าเพิ่งคำนับเต็มพิธีเลยนะ พื้นมันเย็น เจ้าร่างกายอ่อนแอหลังคลอด”
หยู่เหวินหลิงจึงค้อมกายลง คำนับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นว่า “ลูกสะใภ้หยู่เหวินหลิงคารวะท่านแม่สามี!”
เหลิ่งเฟิ่งชิงหลั่งน้ำตาด้วยความปิติยินดี จับมือหยู่เหวินเหลิง “ข้ามีทั้งลูกชาย ลูกสะใภ้ ทั้งยังมีหลานชาย…..นี่พอข้าตื่นจากความฝันนี้ ทำไมถึงได้มีทุกอย่างครบถ้วนขนาดนี้ได้นะ ? ข้า.. . ข้าไม่กล้าเชื่อเลยจริง ๆ”
“ ท่านแม่ ทั้งหมดนี้เป็นความจริง ท่านอยู่บนยอดเขาหมาป่าหิมะมาสามสิบหกปีแล้ว ลูกไม่เคยรู้เลยว่าท่านอยู่บนภูเขา ลูกช่างอกตัญญูนัก….” ท่านชายสี่พูดพลางสะอื้น เขาร่ำรวยจนแทบจะพลิกแผ่นฟ้าได้ สำนักเหลิ่งหลังก็แทบจะครองทั้งยุทธภพได้ แต่แม่ของเขากลับต้องลำบากยากเข็ญ ตากแดดตากลมอยู่บนยอดเขาหมาป่าหิมะ
เหลิ่งเฟิ่งชิงส่ายหน้า มองเขาอย่างเลื่อนลอย จนตอนนี้ค่อยกล้าเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเขา แล้วพูดว่า “อะไรจะทำให้แม่มีความสุขไปมากกว่าการที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกล่ะ ช่วงเวลาที่ข้าเอาแต่ทึ่มทื่อไร้สติ แม้ว่าแม่จะไม่ค่อยรู้เรื่องราวภายนอก แต่เมื่อตกดึก แม่ก็มักจะฝันถึงภาพฉากที่หมาป่าคาบเจ้าไปเสมอ ๆ แต่เวลาส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ในความสับสนมึนงง ไม่รับรู้โลกภายนอก….. การที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องที่ดีเหลือเกินแล้ว การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ คือความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
สายตาของนางทิ้งลงบนใบหน้าของเทียนสิง ยังคงมองเขาอย่างตะกละตะกลาม ราวกับว่าถ้านางได้มองเขานานขึ้นอีกนิด ก็นับว่าเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ของนางแล้ว
หรงเยว่เช็ดน้ำตา แล้วก้าวขึ้นไปข้างหน้า “ท่านชายสี่ ให้ท่านป้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ทุกคนคงหิวกันแล้วด้วย ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมากินข้าวกันดีกว่า”
เหลิ่งเฟิ่งชิงมองหรงเยว่ ตกตะลึงกับรูปโฉมของนาง ถามขึ้นว่า “ท่านนี้คือ ?”
“ท่านป้า ข้าชื่อหรงเยว่ ความสัมพันธ์กับท่านชายสี่ก็คือ …ก็คือน้องสาวบุญธรรมคนหนึ่งของลูกชายท่าน” หรงเยว่ค้อมกายคารวะนางตามพิธีการอย่างถูกต้องเหมาะสมเป็นที่สุด เมื่อเงยหน้าขึ้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม “ ได้พบท่าน ช่างน่ายินดีจริง ๆ เจ้าค่ะ”
เหลิ่งเฟิ่งชิงมองไปที่หรงเยว่ด้วยความโล่งอก “เขามีน้องบุญธรรมด้วย ช่างดีจริง ๆ ดีจริงๆ ยิ่งมีคนอยู่ข้างกายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
ท่านชายสี่อุ้มเทียนสิง ดวงตาอ่อนโยน “ท่านแม่ หรงเยว่จะพาท่านไปอาบน้ำก่อน ลูกจะไปสั่งให้คนเตรียมอาหารรอท่านเอง”
หรงเยว่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงนางออกไป ทันใดนั้น นางก็ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของท่านชายสี่ไว้ แววตาสั่นไหวเล็กน้อย “เจ้า… เจ้าจะอยู่ตลอดใช่หรือไม่?”
เมื่อท่านชายสี่เห็นความกังวลของนาง ก็รู้ว่านางกลัวอะไร ในใจพลันเจ็บแปลบ จมูกก็แสบร้อนขึ้นมา พูดเบา ๆ ว่า “ได้ ลูกจะไปกับท่าน จะรออยู่ตรงหน้าประตู ดีหรือไม่?”
เหลิ่งเฟิ่งชิงค่อย ๆ ยิ้มช้า ๆ จากนั้นค่อยส่ายหน้าช้า ๆ เช่นกัน แล้วปล่อยข้อมือของเขา “ไม่ ไม่ต้อง เจ้าแค่รับปากกับข้า ว่าเจ้าจะอยู่ตรงนี้ก็พอ ข้าแค่กลัว กลัวว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ความฝัน นี่มันเหมือนกับความฝันจริง ๆ นะ”
นางหมุนตัว แล้วเดินตามหรงเยว่ไป บ่นพึมพำอะไรบางอย่าง เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองท่านชายสี่ ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ดูมีท่าทียากจะตัดใจและหวาดกลัว ท่านชายสี่เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารมาก
เมื่อเก็บสายตากลับมา ก็เห็นหยู่เหวินหลิงมองดูเขาพลางร้องไห้ เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “เด็กโง่ อย่าร้องไห้สิ!”
ดวงตาของหยู่เหวินหลิงแดงก่ำ “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าได้อุ้มเทียนสิงอย่างแท้จริง!”
ท่านชายสี่รู้สึกเจ็บปวดในใจ มือข้างหนึ่งอุ้มเทียนสิง อีกมือหนึ่งก็โอบนางเข้ามาในอ้อมแขน พูดเสียงแหบพร่าว่า “ขอโทษนะ!”