บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1524 เมื่อไหร่จะไปเมืองเฟิงตู
ท่านชายสี่ช่วยพยุงเหลิ่งเฟิ่งชิงก้าวข้ามธรณีประตู ชั่วขณะที่เห็นหยวนชิงหลิงอุ้มเทียนสิง สีหน้าของเหลิ่งเฟิ่งชิงก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จ้องเขม็งไปที่หยวนชิงหลิง ภาพต่าง ๆ มากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมอง ฉากนั้นฝังลึกอยู่ในจิตใจไม่เคยเลือนหาย คุ้นเคยจนชินตา
“เจ้า….” นางสูดหายใจอย่างยากลำบาก เดินเข้าไปหาช้า ๆ สายตาจ้องมองหยวนชิงหลิง ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง “ข้าเคยพบเจ้า ข้าเคยพบเจ้า!”
หยวนชิงหลิงยกยิ้มเล็กน้อย “ท่านป้า ท่านต้องเคยพบข้าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อน เราได้พบกันที่บนยอดเขาหมาป่าหิมะอย่างไรล่ะ”
เหลิ่งเฟิ่งชิงส่ายหน้า ยังคงจ้องมองไปที่นางอย่างไม่ละสายตา “ไม่ถูก ไม่ถูก”
ท่านชายสี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านแม่ แล้วท่านเคยพบนางเมื่อไหร่หรือ?”
หลังจากที่หยวนชิงหลิงกลับมา ไม่ได้บอกท่านชายสี่ว่านางเคยออกมาช่วยเหลิ่งเฟิ่งชิงตอนที่นางคลอดลูก ส่วนตอนที่หินญาณสวรรค์แตกนั่น เป็นเพราะสถานการณ์เร่งด่วน บวกกับอันตรายมาก ตอนนั้นเลยเดาว่าแม่ของเขาคงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก หรือต่อให้เห็นชัด สำหรับนางที่ผ่านไปนานถึงสามสิบหกปี ยังจะจำคนคนหนึ่งที่มีวาสนาได้เจอกันเพียงแค่ครั้งเดียวได้อย่างไรล่ะ?
เหลิ่งเฟิ่งชิงกุมข้อมือของเขาไว้แน่น ย้อนนึกถึงภาพฉากในช่วงเวลาที่สิ้นหวังและยากลำบากตอนคลอดซึ่งผุดขึ้นมาไม่หยุด นางพยายามหายใจเข้า เหมือนกับคนที่กำลังจะจมน้ำ ฝืนดิ้นรนเพื่อให้พ้นขึ้นเหนือน้ำ นางยืดคอ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่กลับกลายเป็นเสียงคร่ำครวญ เพียงพริบตาร่างกายของนางก็อ่อนยวบ ทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้พลางพูดขึ้นว่า “ลูกแม่ เป็นนางที่ช่วยทำคลอดเจ้าออกมา นางเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราแม่ลูก”
ท่านชายสี่มองหยวนชิงหลิงด้วยแววตาซับซ้อน
คนอื่นที่เหลือ ต่างพากันมองนางด้วยสายตาแปลก ๆ อย่างพร้อมเพรียง
หยวนชิงหลิงอุ้มเทียนสิงด้วยความกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เรื่องนี้ยากจะอธิบายแล้วจริง ๆ เดิมทีคิดว่าหลังจากที่ท่านป้าเหลิ่งมีอาการสมองทึ่มทื่อไปแล้ว นางคงจะจำเรื่องนี้ไม่ได้ รอจนนางฟื้นคืนสติดี ก็จะผ่านไปนานหลายปี บวกกับการฟื้นคืนสติครั้งนี้ ก็ค่อนข้างครุมเครือไม่สมจริง นางอาจถือว่าเป็นแค่ความฝันฉากหนึ่งแล้วผ่านเลยไป
แต่คิดไม่ถึงว่า แค่นางเพิ่งปรากฏตัวก็จะถูกจำได้ทันทีแบบนี้
หลังจากปลอบเหลิ่งเฟิ่งชิงจนสงบลงแล้ว หยู่เหวินหลิงกับสาวใช้ก็พานางออกไป แล้วเชิญฮูหยินใหญ่หยวนมาช่วยตรวจร่างกาย
ท่านชายสี่กับหยวนชิงหลิงนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ผ่านไปครู่ใหญ่ทั้งสองคนก็ยังไม่พูดอะไรกันเลยสักคำ
ต่างฝ่ายต่างก็กระอักกระอ่วน รู้สึกซับซ้อนมาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านชายสี่ก็มองนางแล้วถามว่า “สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าถึงเป็นนางผดุงครรภ์ที่ทำคลอดข้าได้?”
เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าหยวนชิงหลิงก็ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว จึงยอมเล่าเรื่องที่นางอดใจไม่ไหว จนยื่นมือเข้าช่วยทำคลอดให้เหลิ่งเฟิ่งชิง ในตอนที่อยู่บนยอดเขาหมาป่าหิมะออกไป
ตอนที่พูดไป นางก็กระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เพราะประเด็นหลัก ๆ คือท่านชายสี่ในตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กทารกแรกเกิด ส่วนท่านชายสี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนางตอนนี้ ซึ่งมีสภาพที่แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนภูเขาน้ำแข็ง กลับมีสถานะเป็นอาจารย์ของนาง
หลังจากท่านชายสี่ฟังจบ เขาก็นิ่งเงียบไป
เวลาที่น่ากระอักกระอ่วนชวนอึดอัด มักจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอ หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ท่านชายสี่ก็มองนางแล้วพูดว่า “สรุปแล้ว อะไรคือคำอธิบายของชะตากรรมนี้? ก่อนหน้าที่เจ้าจะกลับไป ข้าได้รับการจ้างวานให้ทำการลอบสังหารเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบข้าเอาแต่ลังเลไม่ยอมลงมือ แม้ว่ากฎของสำนักจะกำหนดไว้ว่า จะไม่ลอบสังหารคนในราชวงศ์ แต่เพราะเดิมทีข้าเป็นคนตั้งกฎนี้ขึ้นมาเอง ข้าก็สามารถเปลี่ยนมันได้ แต่ข้าก็ไม่ทำ กลับไว้ไมตรีให้เจ้าเสมอมา ข้าไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไรนักหรอก ช่างเป็นชะตากรรมที่ยากจะอธิบายให้เข้าใจได้เสียจริง”
“นี่ก็.…” หยวนชิงหลิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเหมือนกัน
“ ดังนั้น สรุปแล้วเรื่องไหนล่ะที่เป็นประวัติศาสตร์ที่แท้จริง? ทำไมมันถึงเป็นเอกเทศอยู่เสมอ?” ท่านชายสี่ถามอย่างสงสัย
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
หลังจากนั้น การปรากฏตัวของพระชายาก็มาอธิบายทุกสิ่ง
คำอธิบายของพระชายาช่างง่ายดายมาก ทุกสิ่งล้วนมีชะตากรรมที่แยกไม่ออก หากพวกเขาไม่มีวาสนาต่อกัน ในชีวิตนี้ของพวกเขาก็จะไม่มีทางได้รู้จักกัน และจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบเจ้าช่วยข้า ข้าก็จะช่วยเจ้าแน่นอน นี่คือชะตากรรมที่พันกันยุ่งเหยิง ไม่ว่าจะเดินวกวนไปแค่ไหน สุดท้ายทุกคนก็จะต้องกลับสู่พื้นฐานที่ต้องเป็นไปในที่สุด
ท่านชายสี่มองพระชายาผู้เอ้อระเหยลอยชายมาสาย แล้วถามว่า “ท่านอาจารย์ ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงได้เข้าใจอภิปรัชญาขึ้นมาได้เสียแล้วล่ะ?”
พระชายาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “เพื่อที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเทียนซ่วน มีนักปราชญ์ที่นับถือลัทธิขงจื๊อมากมายมาที่จวน นี่คือสิ่งที่พวกเขาพูด”
ท่านชายสี่หันหน้าออกไปเล็กน้อย หัวเราะพลางพูดว่า “ศิษย์ก็ยังนึกสงสัยอยู่เชียวว่า ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงกลายเป็นผู้มากความรู้ไปเสียได้ ?”
“ เหลิ่งซี่ เบื่อชีวิตแล้วรึ ? กับครูบาอาจารย์ยังกล้าล้อเล่น?” พระชายาขมวดคิ้วพลางตำหนิ
“ไม่กล้า ๆ ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับ!” ท่านชายสี่หัวเราะกลบเกลื่อน ในใจรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้มาก อย่างน้อย ก็สามารถเปลี่ยนหัวข้อเรื่องแปลกประหลาดเมื่อครู่ได้เสียที ช่างน่าอึดอัดใจยิ่งนัก
หยวนชิงหลิงก็ถอนหายใจด้วยเช่นกัน ตอนนั้นนางไม่ได้คิดให้ถ้วนถี่ ก็รีบวิ่งออกไปแล้ว…. แน่นอนว่า ถ้าให้นางเลือกอีกครั้ง นางก็ยังเลือกที่จะวิ่งออกไปอีกอยู่ดี
กลับมาที่หัวข้อเดิม ยกประเด็นเรื่องการแก้แค้นมาพูดให้ชัด
เหยี้ยนจือหยูตั้งใจจะเผาสุสานของตระกูลเทียนซ่วน เอากระดูกของพวกนั้นมาทุบทำลายบดขยี้ให้เป็นผุยผง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาอยากหลีกเลี่ยงภัยพิบัติตามที่ท่านนักพรตได้กล่าวไว้ แต่ในครั้งนี้ ท่านนักพรตบอกเขาว่าระยะเวลาสามสิบหกปีได้มาถึงแล้ว ถ้าฮูหยินเจ้าเมืองอยากจะหลุดพ้นจากความทุกข์ยากเจ็บปวด จะต้องเผาหลุมฝังศพของตระกูลเทียนซ่วนเพื่อเผาวิญญาณชั่วร้ายที่สถิตอยู่ในศิลาวิญญาณไปด้วย
หลายปีมานี้ แม้ว่าเหยี้ยนจือหยูกับซูหรูซวง จะสามารถมีลูกได้เหมือนคนปกติทั่วไป แต่สุดท้ายคนที่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนปกติหรือไม่ ก็มีแค่พวกเขาเท่านั้น
ตามข่าวล่าสุดที่ได้ยินมา ซูหรูซวงมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานจนเกินบรรยายมาตลอดสามสิบหกปีที่ผ่านมา นั่นคือในทุก ๆ เดือน จะต้องประสบกับความเจ็บปวดที่เหมือนถูกแล่เนื้อเถือกระดูกติด ๆ กันหลายวันต่อเนื่อง
แต่ถ้าจะบอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ก็ต้องเรียกได้ว่ามีอยู่บ้าง นั่นก็คือเด็กที่เกิดจากซูหรูซวงคนนั้น ในที่สุดก็กลายเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา ในตอนแรกเหยี้ยนจือหยูไม่ได้รับอนุเข้าบ้าน แต่ถึงอย่างไร ตำแหน่งของเจ้าเมืองก็ต้องมีผู้สืบทอด ดังนั้น เขาจึงรับอนุเข้ามาสองคน
เหยี้ยนจือหยูไม่ได้รับความทรมานจากความเจ็บปวดที่ว่านั้น แต่เขาได้เห็นคนที่เขารักถูกกัดกร่อนจากความทรมานด้วยตาตัวเองอยู่ทุกเดือน ชีวิตของเขาจึงผ่านไปอย่างไม่เป็นสุขเท่าไรนัก แต่ก็เป็นแค่ช่วงสองสามปีแรกเท่านั้น เวลาต่อมาเขาก็ค่อย ๆ รังเกียจเดียดฉันท์ซูหรูซวงที่ถูกทรมานจากความเจ็บปวด จนมีสภาพเหมือนคนก็ไม่ใช่ เหมือนผีก็ไม่เชิงไปทุกขณะ แล้วไปรักใคร่เอ็นดูอนุสองคนนั้นแทน ดังนั้น เมื่อว่ากันตามจริง ชีวิตของเขาก็ไม่ได้นับว่าลำบากอะไรนัก สามารถพูดได้เลยว่า เวลาสามสิบกว่าปีให้หลังของเขา เป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขสดชื่นรื่นเริงอย่างยิ่ง มีอำนาจล้นฟ้าในมือ มีอนุที่งดงามอยู่เต็มสองแขน โดยเฉพาะช่วงสิบยี่สิบปีที่ผ่านมา เขายังได้ซื้อสาวงามกลับมาด้วยมากมาย ความทะเยอทะยานก็ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
หลังจากที่พระชายาบอกเล่าสถานการณ์โดยสังเขป ก็ถามท่านชายสี่ว่า “คนถูกส่งออกไปแล้ว เจ้าอยากไปด้วยตัวเองหรือไม่? หรือว่า คิดจะไว้ชีวิตพวกเขา ให้เรื่องนี้จบกันไปเพียงเท่านี้?”
ท่านชายสี่สีหน้าเย็นชา ตอบว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ข้าไม่เคยใจดีมีเมตตาพร่ำเพรื่อ เขาใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลยนี่ ดังนั้นควรต้องเจอผลกรรมตามหลังบ้างได้แล้ว จะความแค้นส่วนตัวหรือความแค้นส่วนรวมก็ไม่ต่างกัน เขาควรตายให้พ้น ๆ ไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้น ขืนปล่อยให้เขาตั้งทัพต่อไปอีกสักสองสามปี ก็ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ของเป่ยถังก็เป็นได้”
พระชายาพอใจกับคำตอบนี้มาก ถามขึ้นว่า “คิดว่าจะไปเมื่อไหร่ล่ะ?”
“วันเกิดเขาคือเมื่อไหร่หรือ?”
“ใกล้แล้วล่ะ ประมาณอีกเจ็ดแปดวันข้างหน้านี้แล้ว” พระชายาพูด
ท่านชายสี่พูดว่า “ดี ข้าจะเตรียมตัวให้พร้อมทันในวันเกิดเขา แล้วไปด้วยกันกับท่านแม่”
พระชายาตกใจจนผงะ “พานางไปด้วย? นางจะทนรับไหวหรือ? ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของนางค่อนข้างอ่อนแอนะ?”
ดวงตาของท่านชายสี่เป็นสีเขียวปัดด้วยอารมณ์เคียดแค้นชิงชัง “ข้าควรพานางไปด้วย ถ้านางไม่ได้เห็นเหยี้ยนจือหยูตายอย่างอเนจอนาถกับตา นางจะคลายความแค้นได้อย่างไร? หัวของเหยี้ยนจือหยูสมควรเอาไปวางไว้หน้าหลุมฝังศพของตระกูลเทียนซ่วน เพื่อปลอบโยนวิญญาณคนที่ต้องตายไปเหล่านั้นถึงจะถูกต้อง!”
พระชายากับหยวนชิงหลิงหันมามองหน้ากัน รู้สึกว่าสิ่งที่เหลิงซี่พูดมาก็สมเหตุสมผลดี ความแค้นหนนี้ แน่นอนว่าท่านชายสี่ย่อมไม่ได้ลึกล้ำเท่าเหลิ่งเฟิ่งชิง คนเหล่านั้นล้วนเป็นญาติพี่น้องร่วมสายเลือดของเหลิ่งเฟิ่งชิง แม้ว่าท่านชายสี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เขากลับไม่เคยมีโอกาสได้เจอกับพวกเขาเหล่านั้นมาก่อน
“อย่างนั้นก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย อย่างน้อยจะได้มีคนดูแลระหว่างทาง!” พระชายาพูด
เหลิ่งซี่มองดูพระชายาด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความกตัญญูอย่างสุดจะพรรณนา “ขอบคุณขอรับ ท่านอาจารย์!”
“พูดเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นทำไมกัน ไปเถอะ พาอาจารย์ไปพบกับแม่ของเจ้าได้แล้ว ” พระชายายืนขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หยวนชิงหลิงกับท่านชายสี่ยืนขึ้นพร้อมกัน เดินตรงไปที่ส่วนเรือนหลัง
เหลิ่งเฟิ่งชิงได้พบกับพระชายา รู้ว่านางเป็นอาจารย์ของลูกชาย และเป็นคนที่เลี้ยงดูลูกชายของนางจนเติบใหญ่ จึงเกิดความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ถึงกับคิดจะคุกเข่าเพื่อโขกหัวแสดงความขอบคุณ เป็นฉากที่ทำให้ใครเห็นก็ต้องอยากร้องไห้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มาก