บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1525 รู้สึกเสียใจภายหลังบ้างหรือไม่
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1525 รู้สึกเสียใจภายหลังบ้างหรือไม่
หลังจากคุณย่าหยวนตรวจชีพจรแล้ว แม้ว่าร่างกายของเหลิ่งเฟิ่งชิงจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง ส่วนอาการเวียนหัวนั้น เป็นเพราะเมื่อคืนดื่มน้ำแกงคลายประสาทที่เข้มข้นเกินไป ร่างกายที่เวลานี้มีพื้นฐานอ่อนแอไม่สามารถทนได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน หากได้พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร
วันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้หยู่เหวินเห้าก็มีราชโองการ ให้ราชบุตรเขยเหลิ่งซี่ พาคนไปอวยพรวันเกิดเจ้าเมืองเฟิงตู เหยี้ยนจือหยู
บรรดาคนที่พาไปไม่นับว่าเยอะ แต่เบื้องหลังของแต่ละคนน่ากลัวมาก
สำนักเหลิ่งหลังส่งกองกำลังทั้งหมดออกประจัญบาน สำนักเหมยแดงก็ส่งกองกำลังทั้งหมดออกประจัญบาน องครักษ์ลับผีหน่วยที่หนึ่งออกประจัญบาน หน่วยที่สองรักษาการณ์อยู่ในเมืองหลวง ส่วนคนที่จะทำหน้าที่แม่ทัพคอยบัญชาการได้ก็จะมี คู่สามีภรรยาลู่หยวนกับเสี้ยวหงเฉิง สวีอี กู้ซือ ฮุ่ยเทียน หรงเยว่ หลู่หม่าง กับพี่ซูหลง เป็นต้น
อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาพาเสือขนทองกับหมาป่าหิมะ รวมถึงหมาป่าสีเทาที่ได้รับการฝึกฝนจากท่านชายสี่ไปด้วย ดูอึกทึกคึกคักอย่างยิ่ง ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงตู
ที่ด้านหลังของขบวนอันยิ่งใหญ่นี้ มีท่านชายหงเย่ที่พาเจ้าลิงติดตามไป กับมารกระบี่ที่สะพายกระบี่ยาวไว้ที่แผ่นหลัง ค่อย ๆ เยื้องย่างตามไปอย่างช้า ๆ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมืองเฟิงตูมีการส่งบรรณาการให้ราชสำนักน้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งยังมีท่าทีเหมือนหลบอยู่แค่ในที่ตัวเอง ไม่พัฒนาพื้นที่ให้ก้าวหน้า แต่กลับยึดครองที่ดินทำตัวเป็นเจ้าของที่ดินเอง พอใกล้จะถึงวันเกิดของเขา แล้วจู่ ๆ ทางราชสำนักก็ส่งราชบุตรเขยกับกองทัพบางส่วนมาอวยพรวันเกิด แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกระแวงเป็นธรรมดา
แต่เมื่อส่งคนไปตรวจแล้ว กลับไม่มีวี่แววว่ากองทัพจะเคลื่อนไหว ทั้งยังพาแต่คนประเภทที่ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์อะไรในราชสำนักมา ทำให้รู้สึกวางใจได้มาก หรือต่อให้มีเจตนาร้ายขึ้นมาจริง ๆ ก็เป็นได้แค่การลงไม้ลงมือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น และหากมีเจตนาร้ายจริง การจะเข้าเมืองเฟิงตูนั้นอาจจะง่าย แต่การจะออกไปนั้นทำได้ยากแน่ นี่ไม่เท่ากับว่าอีกฝ่ายเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาเป็นเต่าในไหให้เขาจับได้ง่าย ๆ หรอกหรือ?
แต่เขาก็ยังกลัวอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาอยู่มาก จึงสั่งให้เฝ้าระวังภายในเมืองเฟิงตูทันที สั่งกองทัพเข้าประการปกป้องรอบเมือง ให้แม่ทัพนายกองทั้งหมดอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม
โชคดีที่ในช่วงหลายปีมานี้ เมืองเฟิงตูของเขาได้มีโอกาสต้อนรับขับสู้ จนรู้จักสหายในยุทธภพมากมาย มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อย ที่จะมาร่วมฉลองงานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้ด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าจะมีการส่งบรรณาการน้อยลง แต่ราชสำนักเวลานี้แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ทั้งยังไม่เคยตำหนิเขา ถึงขั้นไม่เคยออกราชโองการตำหนิหรือสอบสวนอะไรเขาเลยสักครั้ง เขายิ่งรู้สึกลำพองใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าเมืองเฟิงตูนั้นแข็งแกร่งมากพอแล้ว ราชสำนักก็คงจะกลัวเขาอยู่หลายส่วน
แล้วตอนนี้ พวกแม่ทัพนายกองปลาซิวปลาสร้อยที่อ๋องชินเฟิงอันพามา จะนับเป็นอะไรได้?
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่กลับกำลังนึกเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องอื่นมากกว่า
นั่นคือเรื่องหลุมฝังศพของตระกูลเทียนซ่วน
วิญญาณของคนพวกนี้ตายไปสามสิบหกปีแล้ว แต่กลับยังตามมาหลอกมาหลอนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นในเมืองเฟิงตู ก็มักจะมีคนที่หวนระลึกถึงความทรงจำของตระกูลเทียนซ่วน บอกว่าพวกเขามีความสามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน รู้ลิขิตฟ้าสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ตอนที่คนในตระกูลเทียนซ่วนยังมีชีวิตอยู่ คำสรรเสริญเยินยอนี้ยังไม่นับว่าสูงนัก แต่พอพวกเขาตายไป ผู้คนกลับมองพวกเขาเป็นดั่งเทพเซียน
ผ่านไปสามสิบหกปีแล้ว คนที่เคยได้พบคนตระกูลเทียนซ่วน ก็ล้มหายตายจากไปแล้วมากมาย แต่จะยอมปล่อยให้ตระกูลเทียนซ่วน ยังคงมีชื่อเสียงเกียรติยศสูงส่งอยู่ในเมืองแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องขุดรากถอนโคนตระกูลเทียนซ่วนให้หมดจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
ทั้งท่านห้ากับท่านนักพรตต่างก็บอกว่า ตอนนี้เขาสามารถลงมือได้ตามอำเภอใจแล้ว นั่นจะบรรเทาความทรมานของซูหรูซวงได้ แต่เขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น ไม่ว่าซูหรูซวง จะได้รับความทุกข์ทรมานหรือไม่ เขาก็ไม่เห็นว่ามันสำคัญอีกต่อไปแล้ว เขาเพียงต้องการรวบรวมอำนาจ รวบรวมศูนย์กลางการปกครองของเขา อาศัยความทะเยอทะยานทำลายคำแนะนำที่ให้หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับราชสำนัก ซึ่งเสนอโดยตระกูลเทียนซ่วนให้กลายเป็นแค่เศษขยะไร้ค่า เขาต้องเลือกเวลาที่จะประกาศสงครามกับราชสำนัก เพื่อให้เมืองเฟิงตูกลายเป็นแคว้นอิสระ
ก่อนการวางแผนเผาสุสาน จู่ ๆ ท่านห้าก็ล้มป่วย แล้วสั่งให้คนมาเชิญเขาไปที่จวน
ท่านห้าเป็นทั้งที่ปรึกษา รวมถึงเป็นขุนนางเก่าแก่ที่ครอบครัวทำงานให้เขามาหลายรุ่น เขาย่อมเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของที่ปรึกษาหวู่เป็นธรรมดา จึงเร่งพาหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองมารักษาให้
แต่ล้มป่วยไปแค่ไม่กี่วัน ร่างทั้งร่างของท่านห้าก็เรียกได้ว่า เกือบจะมีลักษณะที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปเลย ซูบผอมจนแก้มตอบตาลึกโหล เหยี้ยนจือหยูตกใจมาก “นี่เจ้าป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่? ทำไมถึงได้ร้ายแรงขนาดนี้?”
ท่านห้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยว่า “ปวดกระเพาะ นอกจากดื่มน้ำกับพอจะกินข้าวต้มได้นิดหน่อย กินอะไรอื่นเข้าไปก็จะปวดจนทนไม่ไหว เกรงว่าข้าคงจะไม่ไหวแล้ว”
เหยี้ยนจือหยูรู้ว่าเขามีปัญหาเรื่องกระเพาะมานานแล้ว จะเชิญหมอมาตรวจวินิจฉัยอาการเพื่อรักษาให้ เขาก็เอาแต่บอกว่าไม่ต้อง
เขาสั่งให้คนรอบข้างถอยออกไป จับมือของเหยี้ยนจือหยูไว้ ในดวงตามีประกายแสงวับวาม “ท่านเจ้าเมือง เวลานี้ข้าไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรได้อีกแล้ว มีคำพูดบางประโยคที่ข้าอยากฝากฝังไว้ให้ท่าน ท่านฟังแล้วต้องเก็บใส่ใจเอาไว้ให้ดี”
เหยี้ยนจือหยูพูดว่า “ท่านอาจารย์ หากท่านมีอะไรจะพูดก็เชิญพูดมาได้เลย”
ท่านห้าถอนหายใจยาว ๆ แล้วพูดว่า “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองอย่าได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อราชสำนัก ข้ารู้ว่าท่านเจ้าเมืองมีความทะเยอทะยาน น่าเสียดาย เวลานี้บัลลังก์ฮ่องเต้ของเป่ยถังมีการเปลี่ยนมือแล้ว หยู่เหวินเห้าเก่งกาจในด้านสงคราม รู้จักมองคน ใช้แม่ทัพนายพลได้ดี หลังจากที่เขาขึ้นครองบัลลังก์ ทั่วทุกสารทิศล้วนมีใจเป็นหนึ่ง กุมอำนาจในมือแท้จริง เมืองเฟิงตูไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านราชสำนักได้ ”
คำพูดเหล่านี้ ท่านห้าเคยพูดมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง เหยี้ยนจือหยูชักเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว สีหน้าแววตาบูดบึ้ง พูดอย่างขุ่นเคืองใจว่า “ท่านอาจารย์ นี่ท่านเปลี่ยนเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้ไปแล้วหรือ? นี่เคยเป็นเป้าหมายร่วมกันของพวกเราแท้ ๆ”
ท่านห้าทอดถอนใจ ใช่แล้ว นี่คือเป้าหมายของเขา แต่นั่นคือเขาเมื่อตอนที่ยังเป็นหนุ่ม คือเขาที่อยู่ในวัยคึกคะนอง กระทั่งล่วงเข้าสู่วัยชรา ความคิดของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
เขายังคงมีความทะเยอทะยาน แต่เขาในเวลานี้ต่อให้มีใจก็ไร้กำลังแล้ว ความแก่ชราร่วงโรยและความเจ็บป่วย มันกัดกร่อนทำลายความปรารถนาของเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านเจ้าเมือง วันเวลาไม่เคยคอยท่า พวกเราพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว ทั้งยังสูญเสียคนที่สามารถช่วยพวกเราได้ไปแล้วด้วย มีคำถามหนึ่งที่ข้าอยากจะถามท่านมาตลอด ว่าหากได้ย้อนกลับไปอีกครั้งตั้งแต่แรก ท่านยังจะฆ่าเหลิ่งเฟิ่งชิงกับคนของตระกูลเทียนซ่วนหรือไม่? ถ้าคนในตระกูลเทียนซ่วนยังมีชีวิตอยู่ แผนการยึดอำนาจของพวกเรา ก็คงจะสำเร็จไปนานแล้ว ”
เหยี้ยนจือหยูเม้มริมฝีปาก ค่อย ๆ ยื่นมือขึ้นไปกด ๆ จอนผมสีดอกเลาข้าง ๆ ที่ออกขาวมากกว่า ทำให้ใครได้เห็นเกิดความรู้สึกเย็นชาและโหดเหี้ยม คำถามนี้ เขาเฝ้าถามวนเวียนอยู่ในใจตัวเองเป็นพัน ๆ ครั้ง ว่าถ้ามีโอกาสได้ย้อนกลับไปอีกครั้ง เขาจะฆ่าเหลิ่งเฟิ่งชิงหรือไม่?
คำถามนี้ เขาไม่อยากตอบ ทั้งไม่ยินดีตอบ แต่ในความเป็นจริง ในใจเขามีคำตอบอยู่นานแล้ว
ซูหรูซวงเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมสักเส้นของเหลิ่งเฟิ่งชิง
ตอนนี้แค่พอได้เห็นใบหน้านั้นของซูหรูซวง เขาก็อยากจะอาเจียนออกมาให้ได้
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของนางทุกเดือน เขาก็อยากจะฆ่านางให้ตายไปพ้น ๆ เพื่อให้หูตัวเองปลอดโปร่งโล่งสบายเสียที
แต่เขาทำไม่ได้ เพราะเขาอยากได้คำอธิบายให้ตัวเองว่า เพื่อจะช่วยซูหรูซวง เขาถึงได้ฆ่าคนตระกูลเทียนซ่วนไปตั้งมากมายขนาดนั้น ทั้งยังฆ่าเหลิ่งเฟิ่งชิงกับลูกในท้องของนางไปด้วย เขาไม่สามารถฆ่าซูหรูซวงได้อีก ไม่อย่างนั้น ทุกสิ่งที่เขาทำมาก็จะไม่มีความหมาย
“เจ้าเมือง?” ท่านห้าร้องเรียกเสียงหนึ่ง
เหยี้ยนจือหยูหลุบสายตาเย็นชาลง “ไม่ ข้าไม่นึกเสียใจ ไม่เคยนึกเสียใจภายหลังเลยสักนิด!”
“ไม่นึกเสียใจภายหลังเลยรึ?” ท่านห้าพึมพำ “แต่ถ้าพวกเขาไม่ตาย มันจะดีสักแค่ไหนนะ?”
เหยี้ยนจือหยูตัดบทคำพูดของเขาอย่างลวก ๆ “ต่อให้พวกเขาจะไม่ตาย ก็ไม่มีทางช่วยพวกเราหรอก ท่านอย่าลืมสิ ว่าพวกนั้นอุทิศทั้งชีวิตให้กับราชสำนัก”
ท่านห้ายิ้มอย่างอ้างว้าง “แต่ในตอนนั้น เจ้าบ้านเหลิ่งกลับยินดีทุ่มเททำทุกอย่างให้ท่าน ให้พวกเขาปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม อย่างไรก็ยังดีกว่าตอนนี้มากนัก”
เหยี้ยนจือหยูยืนขึ้น ดวงตาเย็นชาและกราดเกรี้ยว “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว รักษาตัวเองให้ดีเถอะ เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ในที่สุดมันจะต้องสำเร็จแน่!”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินออกไป
ที่ด้านหลัง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดาย ทั้งยังโศกเศร้าของท่านห้าก็ดังขึ้นว่า “ถ้าในตอนนั้น ท่านมีความรักใคร่ต่อเจ้าบ้านเหลิ่งบ้างสักนิด บางทีสถานการณ์ทั้งหมดก็อาจจะไม่เหมือนตอนนี้แล้วก็ได้อีกทั้งเด็กที่อยู่ในท้องเจ้าบ้านเหลิ่งก็มีสายเลือดของตระกูลเหลิ่ง อย่างไรก็ต้องโดดเด่นมากความสามารถกว่าบรรดาคุณชายในตอนนี้แน่ ๆ คงไม่เป็นอย่างเช่นวันนี้ไปนานแล้ว สิ่งที่ข้าเสียดายที่สุด นั่นคือคนที่ควรจะได้มาเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดเมืองเฟิงตูของข้าคนต่อไป ช่างน่าเสียดายนัก ช่างน่าเสียดายนัก ”
เหยี้ยนจือหยูสาวเท้ายาว ๆ ก้าวออกไป มุมปากยับย่นจนแทบกลายเป็นกระแสน้ำวน ไอสังหารอันโหดเหี้ยมยิ่งเข้มข้นขึ้น
สิ่งที่เขาทำต่อเหลิ่งเฟิ่งชิง คือการใช้ประโยชน์เท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกรักใคร่ห่วงหาใด ๆ ต่อผู้หญิงหน้าโง่คนนั้น นางไม่คู่ควร
มีเพียงการทำลายตระกูลเทียนซ่วนให้พินาศย่อยยับเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้เมืองเฟิงตูเจริญรุ่งเรืองได้เหมือนอย่างวันนี้!
หากไม่อย่างนั้น เมืองเฟิงตูก็ยังต้องเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง ที่คอยเฝ้าบ้านให้เป่ยถังต่อไปเท่านั้น!
สำหรับเด็กคนนั้น… ดวงตาของเหยี้ยนจือหยูสาดแสงเย็นเยียบ เดิมทีเด็กนั่นก็ไม่สมควรเกิดมาแต่แรกแล้ว ไม่สมควรมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้