บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1526 เหลิ่งเฟิ่งชิงแก่กว่าข้า
ในวันเกิดของเหยี้ยนจือหยู เขาได้รวบรวมบรรดาพ่อค้า ขุนนางจากเมืองใกล้เคียง จอมยุทธ์ผู้มากฝีมือ รวมถึงคนในยุทธภพ ในช่วงหลายปีมานี้ เหยี้ยนจือหยูมีการติดต่ออย่างกว้างขวาง ทั้งยังได้พบปะกับผู้คนมากมายจากทุกสาขาอาชีพ ครั้งนี้ จึงใช้ประโยชน์จากการจัดงานวันเกิดบังหน้า รวบรวมพวกเขาทั้งหมดมาอยู่รวมกัน เพื่อทำการเจรจาต่อรองเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง
เขารอมานานเหลือเกินแล้ว ก่อนหน้านี้พลาดโอกาสไป ตอนนี้จึงทำได้แค่ใช้ประโยชน์จากการที่หยู่เหวินเห้าขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน ระหว่างที่จิตใจของผู้คนยังไม่มั่นคง รีบชิงลงมือตอนนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
เมื่อหยู่เหวินเห้าเพิ่งครองประเทศได้เพียงสองสามปี เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป
ดังนั้น เมื่อรู้ว่าราชสำนักส่งคนมา เขาจึงมีความสุขมาก เพราะสามารถใช้โอกาสนี้ตัดไม้ข่มนามให้ราชสำนักต้องอับอายขายหน้าได้
หลุมฝังศพของตระกูลเทียนซ่วน ก็จะถูกเผาหลังพ้นงานวันเกิดไป และแน่นอนว่าเขาจะต้องหาข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบสักข้อ เพื่ออธิบายให้ชาวเมืองฟัง
ราชสำนักส่งคนมาที่นี่ ช่างทำให้เขามีข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการโยนความผิดทุกอย่างไปให้ราชบุตรเขยเหลิ่ง โดยบอกกับชาวเมืองว่าราชสำนักเป็นผู้ลงมือ ด้วยวิธีนี้ คนในเมืองเฟิงตูที่เชื่อถือในตระกูลเทียนซ่วน ก็จะพากันเกลียดชังราชสำนัก
ราชบุตรเขยเหลิ่งซี่ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขารู้ที่มาของคนคนนี้ ร่ำรวย เป็นเจ้าสำนักเหลิ่งหลัง แต่อย่างไรก็มีชาติกำเนิดเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา สุดท้ายได้แต่งงานกับองค์หญิง จึงเลื่อนฐานะเป็นราชบุตรเขย จะเห็นได้ว่าคนคนนี้เป็นพวกหัวสูง ถนัดใช้ประโยชน์และเจ้าเล่ห์ คนแบบนี้รับมือได้ไม่ยาก เพราะจะว่าไปรอบ ๆ ตัวเขาก็มีคนแบบนี้อยู่ไม่น้อย
เป็นชนชั้นล่าง พยายามปีนป่ายขึ้นไป ใช้ผลประโยชน์เปลี่ยนแปลงภูมิหลังของตัวเอง ดีดตัวเข้าสู่ชนชั้นสูง ได้กลายเป็นตระกูลผู้ดีมีหน้ามีตาในสังคม หลังผ่านไปได้สักสองสามรุ่น ก็จะสามารถกำจัดสถานะเดิมออกไปได้อย่างหมดจดแล้ว
ระยะเวลาก่อนจะถึงงานวันเกิด ยังเหลืออีกสองวัน
ต่อให้เขาไม่อยากไปพบหน้าซูหรูซวงอีกสักแค่ไหน เขาก็ต้องไปสักครั้งอยู่ดี เพราะในงานวันเกิดของเขา ซูหรูซวงในฐานะภรรยาเจ้าเมือง ย่อมสมควรอยู่ในงานวันเกิดของเขาด้วย
มีเพียงฉากหน้าระหว่างสามีภรรยาที่รักกันอย่างหวานชื่นเท่านั้น ถึงจะสามารถสร้างภาพลวงตาอันแสนงดงามให้กับผู้คนที่ได้พบเห็น
ซูหรูซวงอาศัยอยู่ที่เรือนอู๋ซวงที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของวังประจำเมือง หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันในปีนั้น ก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนอู๋ซวง ใช้ที่นั่นป็นเรือนหอใหม่ของพวกเขา
ในเวลานั้น หลังจากที่เขาคุยราชการเสร็จ เขาก็แทบจะอดรนทนไม่ไหว อยากกลับไปเรือนอู๋ซวงแทบใจจะขาด แต่ช่วงหลายปีมานี้ เขากลับไม่อยากก้าวเท้าเข้ามาเหยียบที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ในเรือนอู๋ซวงแห่งนี้ ฟุ่มเฟือยหรูหราอย่างที่สุด ในแง่ของการหว่านเงินทอง เขาไม่เคยขี้เหนียวกับนางแม้แต่น้อย เรื่องทำดีบังหน้าเขาต้องทำอยู่แล้ว ต่อให้เวลาปกติไม่ได้มา แต่พอได้มาแล้ว ก็ควรต้องทำให้คนอื่นรู้สึกว่า สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันเข้าไว้
“ ท่านเจ้าเมือง ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ?” หญิงรับใช้ชราข้างกายซูหรูซวงได้เห็นเขา ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หลังจากรีบค้อมกายคำนับแล้ว นางก็วิ่งเข้าไปข้างในแล้วป่าวร้องก้องตะโกนว่า “ฮูหยิน ท่านเจ้าเมืองมาเยี่ยมท่านแล้วเจ้าค่ะ”
เรือนอู๋ซวงทั้งหลังพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที บรรดาสาวใช้และคนรับใช้หนุ่มต่างก็ยุ่งมือไม้แทบจะพันกัน ต่างรีบเตรียมผ้าขนหนูร้อน น้ำชา และของว่างกันจ้าละหวั่น
ซูหรูซวงภรรยาเจ้าเมือง ค่อย ๆ เดินออกมาโดยมีสาวใช้ช่วยพยุงอยู่ข้าง ๆ
เส้นผมขาวโพลนไปทั้งหัว เปลือกตาหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่นปกคลุมทั่วใบหน้า ซีดเผือด ซูบตอบไร้สีเลือด ผอมโกรกจนไม่มีเนื้อเหลืออยู่บนตัวเลยแม้แต่น้อย เหมือนซากศพแห้งกรังที่ยังเดินได้ซากหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
นางเคลื่อนไหวเชื่องช้า สายตาที่ช้อนมองมาดูแห้งแล้งหมองหม่นเหมือนขี้เถ้า นางยืนอยู่ใต้ระเบียง ต้องให้สาวใช้คอยพยุงถึงจะไม่ซวนเซจนล้มลงไป
หญิงแก่หงำเหงือกคนนี้ คือซูหรูซวง สาวงามที่เคยมีชื่อเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงคนนั้น
“ท่านพี่!” นางร้องเรียกเสียงหนึ่ง สายตาที่กระจัดกระจายค่อย ๆ หาจุดรวมสายตาได้ในที่สุด พยายามจะมองสามีตัวเองให้ชัด ๆ แต่เพราะนางได้รับความเจ็บปวดมาอย่างยาวนาน ต้องกินยาแก้ปวดเข้าไปเยอะมาก ทำให้การมองเห็นของนางอ่อนแอลง ต้องรอจนเหยี้ยนจือหยูเดินเข้ามาใกล้มากแล้ว นางถึงจะมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน
เหยี้ยนจือหยูยืนอยู่ตรงหน้านาง ฝืนอดทนต่อความรู้สึกรังเกียจในใจ ยื่นมือออกไปช่วยพยุงนาง “ข้าเคยบอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าถ้าข้ามาเจ้าไม่จำเป็นต้องออกมาต้อนรับก็ได้ ข้างนอกลมแรง มันจะส่งผลร้ายกับร่างกายเจ้า”
เสียงของเขายังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า แต่สายตากลับเย็นชาไม่แยแส
“ ยากนักที่เจ้าจะมาสักครั้ง ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าให้มากขึ้นหน่อย จึงออกมาต้อนรับ” ซูหรูซวงเค้นรอยยิ้มออกมา แต่เมื่อผิวที่เต็มไปด้วยรอยย่นบนใบหน้าบีบเข้าหากัน มันยิ่งทำให้ดูแก่ขึ้น ร่องแก้มเหี่ยวย่นเป็นรอยลึก ทำให้ผิวแก้มสองข้างที่หย่อนคล้อยตกห้อยลงมาอย่างน่ากลัว
เห็นได้ชัดว่า นางแก่เกินไปแล้วจริงๆ
เหยี้ยนจือหยูแก่กว่านางหลายปี แต่เมื่อเขามายืนอยู่ตรงหน้านาง เขากลับดูเหมือนลูกชายของนางเสียมากกว่า
เหยี้ยนจือหยูปล่อยนาง แล้วเดินเข้าไปข้างในช้า ๆ “อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของข้า เจ้าสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ซูหรูซวงสะบัดมือสาวใช้ออก คิดว่าอยากจะรีบตามไปให้เร็วขึ้นอีกนิด แต่ฝีเท้ากลับซวนเซไปหลายครั้ง จนเกือบจะสะดุดล้มลงที่ด้านหลังของเหยี้ยนจือหยู
เดิมทีเหยี้ยนจือหยูสามารถช่วยพยุงนางได้ แต่เขากลับไม่ทำ แค่หันหลังให้นางแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
โชคดีที่สาวใช้คุ้นเคยดีแล้ว รีบเข้ามาพยุงนางไว้อย่างหูตาว่องไวมือไม้คล่องแคล่ว ทำให้นางไม่ล้มลงไปกับพื้น
นางหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นก็ยกยิ้มช้า ๆ ขึ้นอีกครั้ง “ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าสามารถไปร่วมงานกับเจ้าได้ วันเกิดของเจ้า เข้าย่อมต้องอยู่เคียงข้างเจ้าเป็นธรรมดา”
ตอนนี้เองที่เหยี้ยนจือหยูค่อยหันกลับมามองนาง “เมื่อถึงตอนนั้น จะมีแขกผู้มีเกียรติมากมายมาร่วมงานด้วย ปีนี้จะต้องยิ่งใหญ่กว่าปีที่ผ่าน ๆ มา เจ้าต้องแต่งหน้าแต่งกายให้เพียบพร้อม วันพรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คนนำเครื่องประดับ กับเครื่องประทินผิวมาให้เจ้า”
“ดี ดี!” นางตอบรับอย่างมีความสุข มองเหยี้ยนจือหยูอย่างล่องลอย
เหยี้ยนจือหยูกลับไม่อยากมองนางอีก เรื่องที่ต้องทำก็ทำแล้ว แล้วก็ทำเรื่องที่เป็นการรักษาหน้าตาพอเป็นพิธีเรียบร้อยแล้ว จึงพูดว่า “ข้ายังมีธุระที่ต้องทำ ไม่รบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ ”
เมื่อเขาพูดจบ ก็จากไปโดยไม่ชายตามองนางแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ซูหรูซวงก็ยื่นมือที่เหมือนกับตีนไก่ออกมา คว้าจับเข้าที่ข้อมือของเขา แล้วพูดด้วยความร้อนใจว่า “ท่านพี่ ยากนักที่เจ้าจะมาสักครั้ง อยู่คุยกับข้าอีกสักครู่เถอะนะ”
เหยี้ยนจือหยูก้มหน้าลง มองดูมือที่เหี่ยวแห้งแก่ชราของนาง ผิวหนังบนหลังมือของนางมีรอยกระดำกระด่าง เหมือนกับกองผ้าต่วนที่ถูกขยี้หนัก ๆ จนเกิดรอยยับย่น ดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง เขารู้สึกรังเกียจ ค่อย ๆ ดึงมือออกช้า ๆ “ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะ ว่าข้ายังมีธุระอื่นที่ต้องทำ”
ดวงตาของซูหรูซวงเปลี่ยนเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราดทันที พูดด้วยน้ำเสียงที่หยาบกระด้างเหมือนคนแก่อย่างโกรธแค้นว่า “มีธุระหรือว่าจะไปหานางจิ้งจอกพวกนั้นกันแน่? อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าซ่อนผู้หญิงไว้ในวังกี่คน”
เหยี้ยนจือหยูขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรอีกล่ะ?”
ซูหรูซวงสองมือกุมหน้าอก ประกายขุ่นเคืองวาบขึ้นในดวงตาที่ลู่ตกของนาง “เจ้ารังเกียจที่ข้าแก่แล้ว ใช่หรือไม่? เจ้าอย่าลืมนะว่าหญิงงามพวกนั้นของเจ้า สุดท้ายก็ต้องแก่ลงไปเหมือนกัน ต่อให้เหลิ่งเฟิ่งชิงยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้นางก็จะต้องน่าเกลียดยิ่งกว่าข้า แก่หง่อมยิ่งกว่าข้าแน่ ”
เหยี้ยนจือหยูจ้องนางเขม็ง อารมณ์โกรธเกรี้ยวผุดขึ้นในดวงตา “เจ้าอยู่ดีไม่ว่าดี จะพูดถึงนางขึ้นมาอีกทำไม? ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึ ว่าอย่าได้พูดถึงนางอีก?”
ซูหรูซวงพูดอย่างเคียดแค้น “ทำไมจะพูดถึงไม่ได้? นางผู้หญิงแพศยาหน้าโง่นั่น ตอนแรกไม่น่ารีบฆ่านางให้ตายเลยจริง ๆ ปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ ให้เจ้าได้เห็นว่านางจะทั้งแก่ทั้งอัปลักษณ์ขนาดไหน เจ้าจะได้ไม่ต้องคิดถึงนาง ”
“ หุบปาก ข้าเคยคิดถึงนางเมื่อไหร่กัน ?” เหยี้ยนจือหยูสีหน้าเย็นชาโหดเหี้ยม พูดจาไร้เยื่อใย
ซูหรูซวงยกยิ้มอย่างขมขื่น พูดอย่างชิงชังคั่งแค้น “ไม่เคยคิดถึง? ไม่เคยคิดถึงรึ? ในเมื่อไม่เคยคิดถึง ทำไมเจ้าถึงต้องไปสักการะหลุมฝังศพของตระกูลเทียนซ่วนด้วยตัวเองทุกปี? ไม่เคยคิดถึง แล้วทำไมถึงยังเก็บรักษาของของนางไว้ในบ้าน? ไม่เคยคิดถึง แล้วทำไมผู้หญิงที่เจ้าหามาแต่ละคน ถึงได้มีรูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ กับนางทั้งนั้น?”
เหยี้ยนจือหยูพูดอย่างเย็นชา “ทำไมถึงต้องสักการะ? ทำไมถึงต้องเก็บไว้? ตัวเจ้าเองรู้ดีแก่ใจ อย่ามาเสแสร้งแกล้งทำเป็นเลอะเลือน พูดจาบ้าบอแบบนี้”
“แค่เพราะอยากให้ประชาชนเห็นว่า เจ้าให้ความสำคัญกับความรักความผูกพันเท่านั้นจริง ๆ น่ะรึ? โกหกทั้งเพ เจ้ามันหลอกได้กระทั่งตัวเอง นับตั้งแต่วันที่เจ้ารู้ว่าข้าไม่อาจมีลูกได้เป็นต้นมา เจ้าก็เริ่มคิดถึงเหลิ่งเฟิ่งชิงแล้ว ฉากหน้าเจ้าก็แค่แสร้งทำเป็นว่ารักใคร่ลึกซึ้งต่อข้า แต่ที่จริง เจ้ารังเกียจเดียดฉันท์ข้ามานานแล้วใช่หรือไม่?”
เหยี้ยนจือหยูจ้องใบหน้าที่น่าเกลียดระคนหวาดระแวงของนาง พูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเจ้าอยากจะคิดอย่างนั้น ก็เชิญคิดอย่างนั้นต่อไปแล้วกัน”
ดวงตาของซูหรูซวงเป็นประกายโกรธเกรี้ยว มือที่เหมือนกิ่งก้านไม้ที่ตายแล้วคว้าจับเขาอีกครั้ง “เจ้าคิดถึงนางจริง ๆ ใช่หรือไม่? เจ้าเคยชอบนางจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
เหยี้ยนจือหยูผลักนางออกไป พูดด้วยความรังเกียจว่า “นังบ้าเอ๊ย!”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วก้าวเท้ายาว ๆ เดินจากไป
ซูหรูซวงระบายโทสะอยู่ข้างหลังเขา “เจ้ายอมคิดถึงกองกระดูกกองหนึ่ง มากกว่าจะยอมชายตามองข้าสักครั้งอย่างนั้นรึ? เจ้าเสียใจภายหลังแล้วใช่หรือไม่? ข้าควรปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่จริง ๆ ควรปล่อยให้นางอยู่จนถึงตอนนี้ ให้เจ้าได้เห็นว่านางแก่หง่อมน่าเกลียดขนาดไหน ไม่ยุติธรรมเลย ตอนที่นางตาย นางยังงดงามเบ่งบานเต็มที่ ความทรงจำที่นางจะเหลือทิ้งไว้ในใจเจ้า คือนางที่งดงามอยู่ตลอดกาล ส่วนข้าล่ะ ข้าอยู่เคียงข้างเจ้ามาสามสิบหกปี พอข้าแก่แล้ว เจ้ากลับนอกใจไปมีใหม่ เหยี้ยนจือหยู ไอ้ผู้ชายเนรคุณจอมนอกใจ เจ้าต้องไม่ได้ตายดีแน่!”