บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1528 บุกพังงานเลี้ยงวันเกิด
เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าเมือง ย่อมไม่ควรให้เกิดการนองเลือด ดังนั้น ถึงแม้ทุกคนจะชักดาบออกมา แต่ก็ไม่มีใครลงมือฆ่าหมาป่าก่อน
ดวงตาของเหยี้ยนจือหยูหนักอึ้ง ฝูงหมาป่า? มีสายลับมารายงานว่า อ๋องชินเฟิงอันพาฝูงหมาป่ามากับเขาด้วย
พวกเขากล้าบุกเข้ามาในวังประจำเมืองตรง ๆ ได้อย่างไร?
เขายกจอกเหล้า สีหน้านิ่งสงบ อารมณ์มั่นคงหนักแน่นในระดับที่ ต่อให้ภูเขาไท่ซานมาถล่มลงตรงหน้าเขาก็หน้าไม่เปลี่ยนสี หลังจากที่หมาป่าเข้ามา พวกมันก็ยืนเรียงกันเป็นสองแถว จ้องมองไปที่ผู้คนที่อยู่ตรงหน้าอย่างดุดันกระหายเลือด
“ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมือง พวกเขาฝืนบุกเข้ามาในงาน…..” คนเฝ้าประตูตะโกนมาจากที่ไกลๆ แต่กลับไม่เห็นคน เสียงนั้นอยู่ไกลมาก แต่บรรดาคนที่ราชสำนักส่งมา กลับสาวเท้าเข้ามาข้างในก่อนแล้ว
สองคนที่เดินอยู่ข้างหน้า เขาเคยได้พบมาก่อน เป็นอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยา ในตอนนั้น พวกเขามาตามตรวจสอบเรื่องของตระกูลเทียนซ่วน แต่ถูกเขาหลอกปั่นหัวกลับไป แม้ว่ามันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ได้เจอกันแค่ครั้งเดียว แต่วิธีการตรวจสอบนั้นน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง เขาย่อมจดจำใบหน้าของพวกเขาได้
ติดอยู่แค่ ทำไมทั้งที่เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเขากลับยังดูไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากมายเท่าไรเลย?
ที่ด้านหลังของอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยา มีกลุ่มชายชราชุดดำหลายสิบคนตามมาด้วย ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นทหารองครักษ์ของพวกเขา สีหน้าของเจ้านายไม่ได้มีอะไรน่ากังวลใจ แต่กลุ่มชายชราในชุดดำพวกนั้น ทันทีที่เข้ามาแล้วเงยหน้าขึ้น สีหน้าแววตาเย็นชาดุดัน ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก
เขายังคงไม่ลุกขึ้นยืนเหมือนเดิม ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาเย็นชา ในใจมีแผนรองรับไว้แล้ว รอจนพวกเขาเดินมาถึงขั้นบันได ค่อยลุกขึ้นทักทายก็ยังไม่สาย นี่คือความคิดที่จะเอามาใช้รับมือของเขา
แต่แล้ว อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยยากลับไม่ได้เหยียบเท้าขึ้นบันได แต่กลับนั่งลงพร้อมกับกลุ่มชายชราชุดดำบนเก้าอี้ของแขกที่ยืนขึ้นคารวะจอกเหล้า เรียกว่าเป็นการบีบพวกเขาออกจากที่นั่งแบบหน้าด้าน ๆ แล้วล้วงตะเกียบที่แต่ละคนพกมากันเองออกมา แล้วเริ่มกินอาหารเข้าไป ทำเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ทำเอาทุกคนตกใจไปตาม ๆ กัน
ระหว่างที่พวกเขานั่งลงกินข้าวก่อนแล้ว คนด้านหลังเขาก็ค่อย ๆ เดินออกมา
มีคนสองคนท่ามกลางฝูงชนที่คลาคล่ำ ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
ชายผู้นั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวเรียบ ๆ เส้นผมดำขลับราวน้ำหมึก แววตาเหมือนสระน้ำลึกสองสระ ทำให้คนรอบข้างมองอารมณ์ของเขาไม่ออก ใบหน้าเหมือนแกะสลักมาจากมีดของช่างฝีมือชั้นยอด ทุกส่วนทุกจุดช่างเหมาะสมลงตัว ชายหนุ่มที่รูปงามเช่นนี้ หาได้ยากมากในใต้หล้า
แต่ใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ก็แปลกหน้าดวงนี้ กลับทำให้ร่างกายของเหยี้ยนจือหยูเย็นเฉียบแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
“เหลิ่งเฟิ่งชิง!”
เป็นเสียงของซูหรูซวงที่กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก นางผุดลุกขึ้นยืนทันที จอกเหล้าจานชามร่วงตกลงไปบนพื้น ระหว่างเสียงแตกดังเพล้ง ๆ ดังสนั่น เหยี้ยนจือหยูก็ค่อย ๆ เลื่อนสายตาไปที่เงาร่างข้าง ๆ ร่างกายนั้นทั้งผอมบางและซีดเซียว แต่กลับไม่สามารถซ่อนความเย็นชาแต่สง่างามของหญิงสาวคนนั้นได้ แววตาของนางลุกโชนดั่งเปลวเพลิงอันร้อนแรง เปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้นที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้
สามสิบหกปี ทุกฤดูกาลที่ผ่านพ้นไป ทั้งผลิร้อนฝนหนาวเป็นเวลาสามสิบหกปีเต็ม นับตั้งแต่วันที่นางตายไป สิทธิ์ขาดอำนาจทั้งหมดของเมืองเฟิงตู ก็ตกมาอยู่ในมือของเขาอย่างแท้จริง
เมื่อคนของตระกูลเทียนซ่วนตายจนหมดไม่มีเหลือ เขาถึงจะสามารถวางใจได้
เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนแรก เขาคิดว่าทุกสิ่งที่ตัวเองทำลงไปก็เพื่อซูหรูซวง ความรักที่เขามีต่อซูหรูซวง ทำให้เขาวางแผนสมรู้ร่วมคิดทั้งหมดนั่นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
จนกระทั่งคนในตระกูลเทียนซ่วนตายไปจนหมด ใจที่เริ่มปลอดโปร่งจึงเริ่มเผยให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของเขา นั่นเองที่ทำให้เขาเข้าใจว่า มันไม่ได้เป็นแค่เพราะซูหรูซวงหรอก ที่มากไปกว่านั้นคือ เพื่อจะให้ตระกูลเทียนซ่วนสูญสลายหายไปจากเมืองเฟิงตูต่างหาก เพื่อที่เขาจะได้ยึดอำนาจในเมืองเฟิงตูมาเป็นของตัวเองได้อย่างแท้จริง
ท่านอาจารย์ถามเขาว่า เขาเสียใจในภายหลังหรือไม่ที่ฆ่าเหลิ่งเฟิ่งชิง ? ฆ่าคนตระกูลเทียนซ่วน เขาไม่เคยเต็มใจที่จะยอมรับ เอาแต่หลอกตัวเองต่อไป แต่มาถึงตอนนี้ ตอนที่เหลิ่งเฟิ่งชิงที่น่าจะตายไปตั้งแต่เมื่อสามสิบหกปีก่อน มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า เขาเสียใจในภายหลังเหลือเกินแล้ว
ความสามารถของคนที่ตายไปแล้วแต่ไม่อาจกำจัดชื่อเสียงอันฉกาจฉกรรจ์ได้นั้น เป็นอะไรที่ไม่อาจคาดเดา ถึงขั้นไม่อาจประเมินค่าได้เลยจริง ๆ เป็นเพราะตอนแรกเหลิ่งเฟิ่งชิงรักเขาอย่างสุดซึ้ง การจะให้นางช่วยเปลี่ยนตำแหน่งให้เขา ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วจริง ๆ
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป ถ้าเปลี่ยนให้เขาตัดสินใจเลือกในวันนี้ ไม่มีทางที่เขาจะตัดสินใจแบบเดิมแน่
ดวงตาสี่ข้างสบประสาน กลิ่นอายพร้อมรบปะทุเหมือนมีดินระเบิดอยู่กลางอากาศ รุนแรงมากจนทุกคนสามารถสัมผัสได้ และคำเรียกชื่อที่ซูหรูซวงเรียกเหลิ่งเฟิ่งชิงคำนั้น ก็ทำให้แขกทุกคนที่อยู่ในงานพากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
เหลิ่งเฟิ่งชิง ยังไม่ตายจริง ๆ รึ?
ซูหรูซวงที่ร่างกายอ่อนแอ เดิมทีแค่จะเดินก็ต้องพึ่งคนอื่นให้ช่วยพยุง ทันทีที่นางเห็นเหลิ่งเฟิ่งชิง ชั่วพริบตานั้น นางก็มีเรี่ยวแรงมหาศาลราวได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเซียนมอบให้ ใช้มือข้างหนึ่งผลักโต๊ะที่อยู่ข้างหน้า จ้องไปที่เหลิ่งเฟิ่งชิงอย่างโกรธจัด “เจ้าเป็นคนหรือว่าผี? เจ้าเป็นคนหรือว่าผีกันแน่? ทำไมเจ้าถึงไม่แก่ ?”
เหลิ่งเฟิ่งชิงกลับไม่แม้แต่จะชายตามองนาง แค่หลุบตาลงช้า ๆ แล้วหันไปพูดกับท่านชายสี่ว่า “ลูกแม่ เป็นเหยี้ยนจือหยูคนนี้นี่ล่ะ ที่ฆ่าทุกคนในตระกูลเทียนซ่วนจนหมด หากเจ้าต้องการจะแก้แค้นแทนคนในตระกูลเทียนซ่วนและแม่ ก็ฆ่าเขาเสียเถอะ”
นางไม่จำเป็นต้องแก้แค้นด้วยตัวเอง นางมีลูกชาย นางแค่มาเพื่อให้ได้เห็นการล่มสลายของตระกูลเหยี้ยนกับตาตัวเอง รวมถึงการตายอย่างน่าอนาถของเหยี้ยนจือหยูเท่านั้น ดังนั้น นางจึงต้องการมาบอกลูกชายว่า ใครคือศัตรูของพวกเขา
เหยี้ยนจือหยูหันไปมองท่านชายสี่ทันที เหลิ่งเฟิ่งชิงเรียกเขาว่าลูกชาย หรือเขาจะเป็น?
ท่านชายสี่ค่อย ๆ ปรายตามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้น แล้วพูดเนิบ ๆ ไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้าว่า “วันนี้มีเรื่องบุญคุณความแค้นบางอย่างที่ต้องแก้ไขกับเจ้าเมืองเหยี้ยน หากใครไม่อยากเข้ามาพัวพัน ก็จงออกจากงานไปซะ!”
มีคนยืนขึ้นพร้อมชักกระบี่ออกมา ตะโกนร้องอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าเป็นใคร? อาศัยอะไรมาบอกให้พวกเราออกไปจากงาน ถ้าเจ้าคิดจะสร้างปัญหาให้เจ้าเมืองเหยี้ยน ก็ผ่านด่านข้าไปให้ได้ก่อนเถอะ!”
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็แทงกระบี่ยาวออกไป แล้วใช้วิชาตัวเบาเหินตัวลู่ลมดั่งกิ่งไผ่ตรงเข้าไปหาท่านชายสี่ทันที
ท่านชายสี่ขยับมือเพียงเล็กน้อย ผลักด้ามกระบี่ด้วยฝ่ามือ กระบี่พุ่งออกไป เฉี่ยวข้างใบหูของชายคนนั้นในพริบตา เห็นเพียงหยดเลือดสาดกระเซ็นเป็นทาง ชายที่เมื่อครู่ยังเย่อหยิ่งอวดดี ก็แหกปากร้องโหยหวนดังลั่นขึ้นมาทันที ใบหูร่วงลงไปบนพื้น
กระบี่เหินกลับมาเข้ามือของท่านชายสี่ เขาจับมันไว้ได้อย่างมั่นเหมาะ
การกระทำทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสามวินาที
“เพลงกระบี่หวนกลับ?” คนที่รู้จักวิชาเพลงกระบี่พูดด้วยความตกตะลึง
ทุกคนในงานต่างเงียบกริบ
เพลงกระบี่หวนกลับ เป็นเพลงกระบี่อันเลื่องชื่อของมารกระบี่ เขาเป็นผู้สืบทอดของมารกระบี่อย่างนั้นหรือ?
ทุกคนอดมองหามารกระบี่ในฝูงชนไม่ได้ ผลคือพวกเขาได้เห็นคนคนหนึ่ง ที่สองมือกอดกระบี่คู่ปะปนอยู่จริง ๆ แม้จะก้มหน้าอยู่ แต่กลับรู้สึกอยู่เสมอว่า มีดวงตาคู่หนึ่งที่วับวามเป็นประกายเย็นเยือกกวาดมองมาไม่หยุด
คนผู้นั้นเป็นมารกระบี่จริง ๆ ทุกคนถึงกับสูดเอาลมหายใจเย็น ๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่
มารกระบี่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เหลือบตามองท่านชายสี่ แต่กลับนึกประหลาดใจไม่น้อย เจ้าหนูนี่ แอบมาเรียนรู้ทักษะการดูแลทำความสะอาดบ้านของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
กระบี่ของท่านชายสี่ถูกวาดลง ที่ปลายกระบี่ยังมีรอยเลือดหยดอยู่ เขายังคงพูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าใครที่ยังอยากยื่นหน้าเข้ามาร่วมสนุก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”
“บังอาจ!” เหยี้ยนจือหยูค่อย ๆ ฟื้นคืนสติจากความตกตะลึง จ้องมองไปที่ท่านชายสี่ด้วยสายตาแข็งกร้าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ? ข้าคือพ่อของเจ้า!”
ท่านชายสี่แค่นยิ้มเย้ยหยันเย็นชา!
บรรดาลูกชายของเหยี้ยนจือหยูรีบกรูกันออกมา แล้วร้องตะโกนว่า “ท่านพ่อ พวกเราจะปกป้องท่านเอง”
อ๋องชินเฟิงอันวางตะเกียบลง ยืนขึ้น แล้วสั่งอย่างเย็นชาว่า “ทุกคนกินอิ่มแล้วใช่หรือไม่? กินอิ่มแล้วก็ไปทำงานทำการกันได้แล้ว เหยี้ยนจือหยูปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหลิ่งซี่ ส่วนที่เหลือ ลงมือตามใจชอบ!”
เขาผิวปาก หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงร้องคำรามของเสือ เงาร่างสีทองร่างหนึ่งเหมือนกับบินโฉบลงมาจากท้องฟ้า แล้วมาทิ้งตัวลงที่กลางลานบ้าน
เสือขนทองปรากฏตัว หมาป่าหิมะและหมาป่าสีเทาเริ่มโจมตีทันที สัญชาตญาณของหมาป่าดุร้าย ทั้งเคยถูกฝึกฝนโดยท่านชายสี่ พลังในการโจมตีเข่นฆ่าจึงรุนแรงมาก เห็นแค่ร่างที่แข็งแกร่งวิ่งเข้าไปในฝูงชน เจอใครเข้าใกล้เป็นกัดจนจมเขี้ยว แม้ว่าในงานจะมีคนจำนวนมากที่เป็นจอมยุทธ์ แต่ก็มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งและขุนนางอยู่ไม่น้อย เพียงอึดใจเดียว เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาก็ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เลือดสาดกระจายไหลรินจนเจิ่งนอง
ทั้งเสือขนทองและหมาป่าสีเทาล้วนได้รับการฝึกฝนมา ท่านชายสี่ไม่ได้สั่งให้ฆ่าใคร ดังนั้น จึงแค่ทำให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ได้ฆ่า พวกมันแค่กัดลงไป แต่ไม่มีใครถูกฆ่าเลย
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มชายชราในชุดดำก็ลงมือแล้วเช่นกัน พวกเขาดูเหมือนเครื่องทำลายแขนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต เพียงแค่หักแขนเท่านั้น
คนของสำนักเหลิ่งหลังกับสำนักเหมยแดงต่างก็ไม่ลงมือ คอยยืนเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าออก ถ้ามีคนคิดจะหนี ก็ช่วยเสียหน่อย หรือถ้ามีคนคิดจะบุกเข้ามาช่วย นั่นถึงค่อยลงมือ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แค่เสือขนทองกับฝูงหมาป่า ก็สร้างความวุ่นวายโกลาหลในงานได้มากเกินพอแล้ว
เหยี้ยนจือหยูเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะควบคุมไม่ได้แล้ว จึงตะโกนขึ้นว่า “วันนี้ต้องขอขอบคุณมิตรสหายทุกท่านที่มาร่วมฉลองวันเกิดให้ข้า แต่วันนี้ข้ามีเรื่องในครอบครัวที่ต้องจัดการ อย่างไรคงต้องขอให้ทุกท่านกลับไปก่อน วันหลังข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจและชดใช้ให้ทุกท่านอย่างเหมาะสมแน่นอน !”
เหยี้ยนจือหยูเป็นคนเอ่ยปากพูดเอง เป็นธรรมดาที่บรรดาแขกในงาน ย่อมไม่เต็มใจที่จะทำเรื่องโง่ ๆ อย่างการเสียสละตัวเองอย่างไร้เดียงสาอยู่แล้ว จึงทยอยจากไปทีละคนๆ
จากงานเลี้ยงรื่นเริงสุขสันต์ พรมแดงที่หรูหรา ล้วนเลอะเทอะเปรอะเปื้อน มีรอยเลือดสาดกระเซ็นเจิ่งนองไปทุกที่ ทหารองครักษ์วังหลังจากรับฟังสัญญาณคำสั่งก็ไม่ขยับเขยื้อน มีคนใช้โอกาสนี้ไประดมกำลังพลส่งทหารมาเสริม