บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1529 สิ่งตอบแทนที่ข้าต้องการไม่ได้มีเพียงเท่านี้
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1529 สิ่งตอบแทนที่ข้าต้องการไม่ได้มีเพียงเท่านี้
ในลานหลักของวังประจำเมือง เหลือเพียงลูกชายกับลูกเขยไม่กี่คนของเหยี้ยนจือหยูที่ยืนอยู่ข้างเขา พวกเขามีทั้งคนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไปจนถึงบาดเจ็บสาหัส ในดวงตาต่างก็ค่อย ๆ ปรากฏความตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว
คนพวกนี้ ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เหยี้ยนจือหยูมองไปที่เหลิ่งเฟิ่งชิง แม้ว่าจะสงบลงได้บ้างแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกตกตะลึงไม่หาย
ซูหรูซวงถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา หัวเราะจนตัวโอนเอนไปข้างหลัง หัวเราะจนน้ำตาไหลพราก นางดูเหมือนคนสติวิปลาสอย่างถึงที่สุด แล้วจู่ ๆ นางก็หยุดหัวเราะ ยื่นนิ้วที่เวลานี้สั่นระริกขึ้นมาชี้ไปที่เหลิ่งเฟิ่งชิง พูดด้วยความเกลียดชังสุดขีดว่า ” เจ้ายังไม่ตายจริง ๆ สินะ? ทั้งยังมีลูกชายแล้วด้วย ช่างน่าหัวเราะ ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี คนที่เดิมทีควรจะตายไปแล้วคนหนึ่งกลับไม่ตาย กับคนที่เดิมทีควรจะมีชีวิตอยู่ดี ๆ คนหนึ่ง กลับต้องทนทุกข์ทรมานมาถึงสามสิบหกปี เหลิ่งเฟิ่งชิง เป็นเจ้าที่ทำร้ายข้า เจ้ามันสมควรไปลงนรกซะ!”
เหลิ่งเฟิ่งชิงไม่แยแสต่อคำพูดของนางอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ในสายตาของนาง มีเพียงเหยี้ยนจือหยู เท่านั้น
สำหรับเหยี้ยนจือหยู เวลาผ่านไปแล้วสามสิบหกปี แต่สำหรับนาง สามสิบหกปีเป็นเหมือนกับเวลาที่หายไป ความคั่งแค้นที่ตระกูลถูกทำลายจนย่อยยับ ยังคงอยู่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เหยี้ยนจือหยูมองเห็นความโกรธแค้นและอำมหิตในดวงตาของนาง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ
เขาฝืนบังคับจิตใจตัวเองให้มั่นคง แล้วพูดว่า “พาคนของเจ้ากลับไปเสีย แล้วข้าจะทำเป็นว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นในเมืองเฟิงตูแห่งนี้ ต่อให้พวกเจ้าจะพากองทหารมานับแสน ก็อย่าหวังว่าจะได้ถอยออกไปง่าย ๆ”
เสียงของเหลิ่งเฟิ่งชิงหนักอึ้งแฝงความแหบพร่าน้อย ๆ “เราสามารถพาคนมากขนาดนี้บุกเข้ามาในวังของเจ้าได้ตรง ๆ เจ้าแพ้แล้วล่ะ”
เหยี้ยนจือหยูหัวเราะขึ้นมา “แพ้แล้ว? อย่างนั้นรึ?”
เขาไว้วางใจแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของเขา การที่ปล่อยให้คนพวกนี้เข้ามา จะต้องมีการเตรียมการบางอย่างเอาไว้จนครอบคลุมแล้วแน่ ๆ คาดว่าเวลานี้ นักแม่นธนูน่าจะเตรียมพร้อมแล้ว เพียงแต่รอสัญญาณให้ยิงพวกนี้ให้ตายสิ้นก็เท่านั้น
ท่านชายสี่จูงมือเหลิ่งเฟิ่งชิงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเขาแล้ว ท่านแค่นั่งลงแล้วรอชมฉากจบก็พอ!”
พูดจบ เขาก็เตะเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา แล้วพยุงเหลิ่งเฟิ่งชิงให้ค่อย ๆ นั่งลง
เหยี้ยนจือหยูมองท่านชายสี่ ในสายตาบ่งบอกอารมณ์ซับซ้อน เมื่อครู่ได้เห็นเขาลงมือ ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงกระบวนท่าเดียว ก็สามารถตัดใบหูของยอดฝีมือคนหนึ่งได้ง่าย ๆ นี่คือลูกชายของเขา ท่านอาจารย์พูดถูก ลูกชายที่เหลิ่งเฟิ่งชิงคลอดออกมา จะต้องโดดเด่นเหนือใครแน่ๆ
นั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
“เจ้าเมืองเหยี้ยน อย่ารออีกเลยน่า คนของเจ้าไม่มีทางมาหรอก ” ท่านชายสี่เหลิ่งเงยหน้าขึ้นช้า ๆ กำด้ามกระบี่แล้วเดินเข้าไปทีละก้าว ๆ ไปยืนอยู่ตรงหน้าเหยี้ยนจือหยู เขาสูงกว่าเหยี้ยนจือหยูราว ๆ ครึ่งศีรษะ หนุ่มแน่นแต่กลับมีไอสังหารที่คุกคามมากพอจะกดดันเหยี้ยนจือหยูให้ด้อยลง “ก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่ ข้าได้ส่งคนมาที่เมืองเฟิงตูล่วงหน้า แล้วให้ไปแฝงตัวในกองทัพของเจ้า หลายวันก่อนก็ได้วางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าไว้ในอาหาร วันนี้ได้เวลาที่พิษจะออกฤทธิ์พอดี ไม่อย่างนั้น เจ้าคิดว่าพวกเราจะเข้ามาที่นี่ได้ง่าย ๆ อย่างนี้หรือ?”
เหยี้ยนจือหยูคิ้วกระตุกติด ๆ กันสองสามครั้ง ฝืนเก็บซ่อนแววตากังวล แต่กลับอดลอบมองออกไปข้างนอกไม่ได้ ผลคือไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยจริงๆ
คุณชายใหญ่เหยี้ยนกดแผลที่หน้าอก ก้าวเท้ามาข้างหน้าแล้วร้องตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“พวกเจ้าต้องการอะไร?” คุณชายอีกสามคนที่เหลือก็ก้าวออกมาเช่นกัน หน้าตาของพวกเขาต่างก็ดูคล้ายเหยี้ยนจือหยู ความมั่งคั่งและเกียรติยศอันยาวนาน ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยท่าทีแบบพวกคุณชายสำรวย แต่ขาดความน่าเกรงขาม
“พวกเราต้องการแค่ชีวิตของเหยี้ยนจือหยูกับซูหรูซวง!” ท่านชายสี่พูดแบบเลือกประเด็นสำคัญ
“บังอาจ!” คุณชายใหญ่โกรธจนเส้นเลือดที่หน้าผากเต้นระริก “พวกเจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้ของราชสำนัก บังอาจกล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ?”
คุณชายรองเหยี้ยนจ้องท่านชายสี่เขม็ง “เจ้าคือเหลิ่งซี่ ราชบุตรเขยเหลิ่ง?”
อันที่จริง ในใจของพวกเขาก็มีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง เพราะเมื่อครู่ท่านพ่อเพิ่งพูดไปว่าเป็น “พ่อของเหลิ่งซี่” เรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
“เจ้าเมืองเหยี้ยน!” ท่านชายสี่ไม่สนใจคำถามของพวกเขา แค่มองไปที่เหยี้ยนจือหยู แล้วพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบหกปีก่อน วันนี้มันถึงเวลาที่ต้องให้สิ่งตอบแทนข้ามาได้แล้ว”
เหยี้ยนจือหยูโกรธจนไอสังหารพวยพุ่ง พูดว่า “เจ้าหลีกไป ข้าจะคุยกับแม่ของเจ้า”
“ข้าเกรงว่าจะไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วล่ะ!” ท่านชายสี่วาดกระบี่ขึ้น โจมตีใส่เหยี้ยนจือหยูทันที อีกฝ่ายกระโดดขึ้นไปในอากาศแล้วถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว
คุณชายทั้งหลายต่างก็อยากเข้าไปช่วย พลันถูกกลุ่มชายชราในชุดดำหยุดเอาไว้ เหยี้ยนจือหยูยกให้เป็นหน้าที่ของเหลิ่งซี่ พวกเขาไม่ได้เข้าไปช่วย แค่มีหน้าที่ควบคุมคนอื่นที่คิดจะสอดมือ กับยืนดูการต่อสู้อยู่ข้าง ๆ เท่านั้น
อันที่จริง หลายคนก็ไม่รู้หรอกว่าวรยุทธ์ของเหลิ่งซี่นั้นสูงแค่ไหน ยกเว้นคนที่สั่งสอนเขามาอย่างอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยา เห็นเพียงว่าการใช้ดาบของเขานั้นทั้งว่องไวและดุดัน บีบจนเหยี้ยนจือหยูต้องรับมืออย่างทุลักทุเล ทหารองครักษ์ประจำวังต่างก็ถูกฝูงหมาป่า กับคนของสำนักเหลิ่งหลังหยุดไว้ที่ด้านนอก เหยี้ยนจือหยูต่อสู้เพียงลำพัง สภาพทุลักทุเลสุดขีด แต่ก็ยังพอเอาตัวรอดได้
แต่สันนิษฐานได้เลยว่า ใช้เวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เหยี้ยนจือหยูจะต้องแพ้อย่างแน่นอน
ซูหรูซวงที่อยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจและบ้าคลั่งตลอดเวลา จู่ ๆ ก็ยื่นมืออันเหี่ยวแห้งไปทางเหลิ่งเฟิ่งชิง แล้วคว้าหมับเข้าที่ลำคอของเหลิ่งเฟิ่งชิงทันที ในดวงตาที่บ้าคลั่งเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชัง ร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดให้หมด ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่านาง!”
ซูหรูซวงรู้วรยุทธ์ แต่ไม่ได้เก่งกาจอะไร นี่เป็นเพราะว่าตอนยังเด็ก นางมักป่วยหนักอยู่ตลอด จึงละเลยการฝึกวรยุทธ์ หลังจากได้เป็นฮูหยินเจ้าเมืองแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสน้อยมากที่จะได้แตะต้องอาวุธ แต่ในส่วนทักษะพื้นฐานนางก็ยังพอมีอยู่บ้าง
นางออกแรงอย่างโหดเหี้ยม คว้าคอของเหลิ่งเฟิ่งชิงไว้แน่น ทุกคนหันไปมองดู ต่างก็กลัวว่าถ้านางออกแรงอีกเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะบิดคอของเหลิ่งเฟิ่งชิงจนหักได้
ดวงตาของอ๋องชินเฟิงอันทอประกายเย็นเยียบ ในขณะที่กำลังจะลงมือ พระชายาก็กดมือของเขาไว้ ส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าไม่จำเป็น ทั้งยังห้ามคนที่อยู่ข้างหลังเอาไว้ ไม่ให้ใครออกไปช่วยทั้งนั้น
แน่นอนว่าผลเป็นไปดังที่คาด ทุกคนเห็นว่าเมื่อเหลิ่งเฟิ่งชิงถูกคุมตัวไว้ นางพลันเอียงหน้า นิ้วมือเหมือนจะบีบจับอะไรบางอย่างอยู่ เอื้อมมืออ้อมไหล่ของซูหรูซวงไป กดที่ข้อพับศอก บังคับให้ซูหรูซวงหันหน้าออก จากนั้นเข็มในมือของเหลิ่งเฟิ่งชิงก็แทงเข้าไปที่เบ้าตาขวาของนางทันที
ซูหรูซวงกรีดร้องโหยหวน ปล่อยตัวเหลิ่งเฟิ่งชิง ยกมือขึ้นมากุมเบ้าตาของตัวเองที่เวลานี้เลือดสด ๆ ไหลอาบนอง เดินโซเซถอยหลังแล้วล้มลงไปกองกับพื้น กลิ้งเกลือกทุรนทุรายไปพลาง กรีดร้องโหยหวนไปพลาง เสียงสบถด่าทอหยาบคายสารพัดดังขึ้นมาให้ได้ยินไม่หยุดหย่อน อีกทั้งบรรดาลูกชายของเหยี้ยนจือหยู ก็ไม่มีใครที่ก้าวเท้าขึ้นไปช่วยพยุงนางเลยสักคน แค่ชายตามองนางกลิ้งเกลือกไปมาบนพื้นด้วยสายตาเย็นชา
เหลิ่งเฟิ่งชิงนั่งลงช้า ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดที่ติดบนใบหน้า การเคลื่อนไหวของนางเป็นไปอย่างนุ่มนวลและสงบนิ่งมาก ไม่แม้แต่จะปรายตามองคนที่กำลังกลิ้งเกลือกพลางกรีดร้องอยู่บนพื้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับความเกลียดชังที่มีต่อซูหรูซวง นางยิ่งเกลียดชังเหยี้ยนจือหยูกว่า ดังนั้น หลังจากที่เช็ดคราบเลือดออกหมดแล้ว นางก็นั่งดูการต่อสู้ระหว่างท่านชายสี่กับเหยี้ยนจือหยูต่อ
เหยี้ยนจือหยูเป็นฝ่ายตกเป็นเบี้ยล่างแล้วเรียบร้อย เขาได้รับบาดเจ็บบนร่างกายหลายจุด ตำแหน่งที่ท่านชายสี่โจมตีไม่ถึงขั้นเป็นจุดสำคัญที่อันตรายจนถึงชีวิต นี่ทำให้เหยี้ยนจือหยูเข้าใจผิดไปว่าท่านชายสี่จะไม่ลงมือฆ่าเขาแน่
จู่ ๆ เขาก็เกิดนึกทะนงตนขึ้นมา ลูกชายที่เขาไม่เคยเลี้ยงดูเลยแม้แต่วันเดียว สุดท้ายกลับไม่อาจตัดใจฆ่าเขาลง แน่นอนว่า เขาอยู่ในตำแหน่งสูงมานานหลายปี ย่อมเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
เขาเก็บกระบี่ ถอยกลับไปที่ระเบียงทางเดิน ยืนต้านลมขณะจ้องมองท่านชายสี่ พูดขึ้นว่า “หยุดมือเสียเถอะ เจ้าต้องการอะไร ข้ารู้ดีแก่ใจแล้ว เดิมทีเจ้าก็เป็นลูกชายคนโตของข้า เมืองเฟิงตูแห่งนี้ ยกให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดต่อ ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว”
“ท่านพ่อ!” ใบหน้าของคุณชายใหญ่เหยี้ยนพลันเปลี่ยนสี
“ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว เขาเป็นพี่ชายของเจ้า!” เหยี้ยนจือหยูยกมือขึ้นห้าม จ้องมองไปที่ท่านชายสี่ “เจ้าพาคนมามากมายขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการสิ่งตอบแทนหรอกรึ สิ่งตอบแทนชิ้นนี้ เพียงพอแล้วหรือไม่?”
สามสิบหกปีแล้ว จนตอนนี้ถึงค่อยมาที่เมืองเฟิงตู แน่นอนว่าเป็นเพราะได้เห็นความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของเมืองเฟิงตูแล้วว่า ราชสำนักไม่อาจหยุดรั้งเอาไว้ได้อีก การเป็นแค่ราชบุตรเขยมันจะไปเทียบกับการเป็นเจ้าเมืองได้อย่างไรกัน?
ใบหน้าของท่านชายสี่ทั้งไม่โศกเศร้าแต่ก็ไม่ยินดี กำด้ามกระบี่เดินขึ้นไปข้างหน้า “เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าต้องการสิ่งตอบแทน!”
เหยี้ยนจือหยูมองใบหน้าของเขา ที่มีส่วนละม้ายคล้ายกับเหลิ่งเฟิ่งชิงจนแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน ในใจก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่เขาต้องการคนที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อมาช่วยงานเขา เหลิ่งซี่มีฝูงหมาป่า มีความสามารถในการร้องขออ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาให้มาด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถอย่างหาตัวจับยากเลยทีเดียว
“เจ้าวางใจเถอะ อีกสองวันข้าจะประกาศให้คนภายนอกรู้…..”
ดวงตาของท่านชายสี่กะพริบน้อย ๆ มือที่ถือกระบี่พลิกกลับ แล้วจ้วงแทงเข้าที่หน้าท้องของเหยี้ยนจือหยูด้วยความรวดเร็วประดุจสายฟ้า คำพูดของเหยี้ยนจือหยูหยุดลงกะทันหัน ก้มหน้าลง มองเลือดไหลรินจากช่องท้อง เดินโซเซไปก้าวหนึ่ง โทสะพวยพุ่ง “เจ้า ….”
“ท่านพ่อ!” บรรดาลูกชายตระกูลเหยี้ยนตะโกนทั้งน้ำตา แต่ติดกระบี่ของกลุ่มชายชราชุดดำ ทำให้ไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อช่วยเขา
ในดวงตาของท่านชายสี่ยังคงไม่มีความโศกเศร้าหรือยินดีเช่นเคย พูดว่า “ สิ่งตอบแทนที่ข้าต้องการ ห่างไกลจากอะไรแบบนี้ไปไกลโขเลยเชียวล่ะ ข้าต้องการให้ทุกอย่างที่เจ้าครอบครองอยู่ ต้องมีอันสูญสลายหายไปทีละเล็กละน้อยจนไม่เหลืออะไรเลย”
เขาหันหน้ากลับมา แล้วออกคำสั่งว่า “จับเขามัดเอาไว้!”