บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 153 นั่นคือการประชดจริงๆ
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “คืนนี้ที่ข้าตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ขนาดนี้ สุดท้ายแล้วยังเป็นความผิดของข้าหรือ?”
“ท่านอ๋องไม่ผิดอยู่แล้ว” ทังหยาง แสดงฝีมือการพูดหลอกล่ออย่างที่สุดขึ้นว่า “แต่พระชายาก็ไม่ผิด สิ่งที่ผิดก็คือเรื่องของเรื่องนี้เอง เดิมก็ไม่ควรที่จะพูดขึ้นมา อย่างเช่นว่า หากพระชายาไม่สนใจเลยว่าที่ผ่านมาท่านอ๋องจะเคยมีผู้หญิงมาหรือไม่ ในใจท่านอ๋องจะรู้สึกดีไหม?
หยู่เหวินเห้า ครุ่นคิดดูแล้วก็พูดขึ้นว่า “ ไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะย่ำแย่เหมือนดั่งคืนนี้”
“ย่ำแย่แค่ชั่วขณะเท่านั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระชายาให้ความสำคัญท่านอ๋องมาก ในใจมีท่านอ๋อง ดังนั้นกระหม่อมจึงเห็นว่าท่านอ๋อง ควรที่จะไปขอโทษสำนึกผิดต่อพระชายา”
หยู่เหวินเห้า เบิกตาโตพร้อมพูดขึ้นว่า “ สำนึกผิด? เมื่อกี้เจ้ายังบอกว่าข้าไม่ผิด”
“พี่ไม่เกี่ยวอะไรกับถูกผิด ระหว่างสามีภรรยามีความถูกผิดที่แท้จริงเสียที่ไหน? ก็แค่พูดปลอบแค่นั้นเอง เอาใจเสียหน่อย ก็จะสามารถอยู่ด้วยกันได้”ทังหยางพูดโน้มน้าวต่ออีก จะปล่อยให้ทั้งสองคนโกรธกันอยู่อย่างนี้ไม่ได้ กว่าจวนอ๋องนี้จะได้สงบสุขไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หยู่เหวินเห้าโดนหลอกเต็มๆ คิดคล้อยตามที่ทังหยางพูด แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดก็ถูก เพราะนางให้ความสำคัญในตัวข้า ถึงได้เป็นเช่นนี้ หากหลังจากที่นางฟังแล้วไม่แสดงท่าทีใดๆ ข้าค่อยควรที่จะเป็นกังวล”
“ไม่ใช่หรอกหรือ?” ทังหยางพูดโน้มน้าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องรีบไปง้อที่หอเฟิ่งหยี ผู้หญิงง้อสักนิดก็ดีแล้ว”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นยืนพร้อมพูดว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าไปเองก็พอ” จะให้ทังหยางเห็นตัวเองก้มหัวให้กับผู้หญิงไม่ได้ น่าอับอายเกินไป
ทังหยางยิ้มพูดว่า “ได้ กระหม่อมจะสั่งคนเอาน้ำน้ำยามาให้เพิ่ม พระชายากับท่านอ๋องจะได้ดื่มด้วยกัน”
มองดูหยู่เหวินเห้าเดินออกไปอย่างองอาจ ทังหยางยืนรออยู่ตรงระเบียง อมยิ้ม และคิดว่าวันเวลายังสดใสอยู่
หลังจากช่วงเวลาจิบชาได้หนึ่งถ้วย ทังหยางมองเห็นคนคนหนึ่งวิ่งกลับมาอยากบ้าคลั่ง ด้านหลังมีตอเป่าวิ่งไล่ตาม ชุดนอนของหยู่เหวินเห้าถูกขาดเป็นรูแล้วหลายรู ขากางเกงแหว่งเป็นชิ้นๆ เขาวิ่งอยู่อย่างสุดชีวิต เหมือนกำลังใส่ชุดกระโปรงฟางเต้นฮูล่า
“ตอเป่า กลับไป”ทังหยางพูดดุ
ตอเป่าเห็นทังหยาง ก็ส่งเสียงร้องใส่เขาสองที แล้วก็หันหน้าเดินกลับไปยังอาจหาญ
หยู่เหวินเห้าโกรธจนปากเบี้ยว กอดเสากลมไว้แล้วก็หายใจเข้าออกอย่างแรง เขาอยากที่จะฆ่าตอเป่า
ทังหยางรู้สึกว่าคืนนี้ท่านอ๋องน่าสงสารจริงๆ
น่าสงสารจนทำให้คนอยากขำ
หยู่เหวินเห้า พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “นางโหดร้ายมาก รู้ทั้งรู้ว่าข้ากลัวหมา ยังจะให้ตอเป่ามากัดข้า”
ทังหยาง ขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
เขาไม่รู้ที่จะพูดปลอบอย่างไรแล้ว
หยู่เหวินเห้า รู้สึกว่าตนเองถูกละเมิดจนสุดขีดแล้ว
ยอมให้กับหยวนชิงหลิงมากเกินไปแล้ว
เขานอนอยู่บนเตียงคนเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ ผู้ชายมากมายต่างก็มีภรรยาพร้อมสนมหลายคน เขายังไม่มีเลย
และนี่ก็เป็นเรื่องก่อนที่จะรู้จักกับนาง นางมีเหตุผลอะไรที่จะมารื้อฟื้น?
โกรธสักพักก็แล้วไป ยังจะปล่อยหมามาไล่กัดเขา นางไม่กลัวที่จะถูกกัดตายจริงๆหรือ?
ผู้หญิงใจร้าย ก่อนหน้านี้ที่อ่อนโยนล้วนเป็นเรื่องโกหก นิสัยจริงๆของนางก็คือโหดร้ายเช่นนี้
“ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะไม่สนใจนางอีก” เขาตะโกนพูดกับทังหยางที่อยู่ด้านนอก
ทังหยางกับสวีอีต่างก็หัวเราะและคิดอยู่ในใจว่า ดี จะคอยดูว่าไม่สนใจได้กี่วัน
หยวนชิงหลิงหายโกรธแล้ว
นางเป็นคนโกรธง่าย และก็หายเร็ว
ตอนที่ให้ตอเป่าไปไล่กัดเขา เห็นเขาอย่างทุลักทุเล นาทีนั้นก็หายกรอบแล้ว
นางกำลังครุ่นคิด
เรื่องในคืนนี้ เมื่อคิดดูดีดีแล้ว ที่จริงก็เป็นปัญหาที่ควรครุ่นคิดอย่างดี
นางคิดว่าตนเองเป็นคนที่ใจกว้างที่สุดคนหนึ่ง ประสบการณ์ความรักที่ผ่านมา ไม่มีความจำเป็นที่จะให้ความสนใจเลยสักนิด
เพียงแค่หลังจากที่อยู่กับเขา เขาซื่อสัตย์กับตนเองก็พอแล้ว
แต่ปัญหาก็คือ ต่อไปเขาจะสามารถซื่อสัตย์กับต้นไหม? เขาพูดออกมาหนึ่งประโยค บอกว่าองค์ชายล้วนเป็นเช่นนี้
ยุคสมัยนี้ ผู้ชายที่มีฐานะตำแหน่งต่างก็มีภรรยามีเมียน้อยหลายคน เขาก็ไม่มีทางยกเว้น ตอนนี้เป็นการรักนางอย่างแท้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นความรัก แต่ความรักก็มีวันหมดเวลา ไม่มีทางสดใสไปตลอดชีวิต
เห็นจากอัตราการหย่าร้างในยุคปัจจุบันที่สูงขึ้นก็รู้แล้ว
แต่อย่างน้อยในยุคปัจจุบันสามารถหย่าร้างได้ อยู่ที่นี่ หากสามีนอกใจมีสนม คนที่เป็นเมียเอกก็ทำได้เพียงอดทนอยู่อย่างเงียบๆ กระทั่ง ยังต้องเห็นแก่ชื่อเสียงความเป็นกูลสตรี ต้องดูแลจัดการเมียน้อยให้กับสามี ตลอดชั่วชีวิตก็จะต้องอยู่อย่างอัดอั้นทุกข์ทรมาน
“พระชายา ควรเข้านอนได้แล้วเพคะ”แม่นมสี่มาพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงนั่งลง พร้อมเรียกมามา มาพูดว่า “มามา ข้าอยากถามเจ้า พวกญาติๆราชวงศ์เป่ยถังของเรา มีคนไม่มีสนมไหม?”
“เรื่องนี้…. ต่อให้ตอนนี้ไม่มีสนม แต่ต่อไปก็ต้องมีสนม เพื่อที่จะมีลูกหลานสืบสกุล พระชายาอย่าได้ใส่พระทัยในเรื่องนี้”
“อ๋องซุนก็ไม่มีสนม”หยวนชิงหลิงคิดถึงพี่รองขึ้นมา
“อ๋องซุนก็ต้องมีสนม พระชายาอ๋องซุนกำลังมองหาให้เขาอยู่”แม่นมสี่ยิ้มพูด
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ พูดขึ้นว่า “ไม่มีใครมีเพียงผู้หญิงคนเดียวไปตลอดชีวิตหรือ?”
“มีสิ ประชาชนที่ไม่มีเงินสู่ขอเลี้ยงดูเมียน้อยไง” แม่นมสี่หัวเราะพร้อมพูดว่า “แต่ ใครจะยอมแต่งงานกับคนจนล่ะ? ต่อให้เป็นผู้หญิงธรรมดา ก็อยากที่จะฐานะเป็นเจ้าคนนายคน มีกินมีใช้ไปตลอดชีวิต”
ใช่ อาหารเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกันแล้ว สามีจะมีเมียน้อยก็ถือว่ายอมรับได้
“ผู้หญิงที่ไม่ยอมให้สามีมีสนมมีไหม?”
แม่นมสี่พูดว่า “มี แต่จะเป็นที่ครหาว่าเป็นคนขี้อิจฉาเห็นแก่ตัว ไม่มีใครไปมาหาสู่กับนางอีก กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงของตน”
ใช่ คนขี้อิจฉาเห็นแก่ตัว ก็จะไม่มีใครคบนางแล้ว อยู่ใกล้ใครคนนั้นก็จะเหม็นไปด้วย
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ พร้อมพูดว่า “ยุคสมัยนี้ ไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงเลย”
แม่นมสี่เงียบไปสักพัก แล้วก็พูดขึ้นว่า “พระชายารีบเข้านอนเถอะ อย่าคิดอะไรไปเรื่อยพวกนี้เลย”
หยวนชิงหลิงตอบรับ แล้วก็ห่มผ้านอนหลับ
ความรักในครั้งนี้มาอย่างกะทันหัน เป็นเหมือนดั่งไฟ ลุกไหม้อย่างช่วงโชติภายในพริบตาเดียว
แต่หลังจากมอดไหม้แล้ว ก็ควรที่จะต้องตั้งสติครุ่นคิด
คนที่จะมีความรักจากเป็นเหมือนดั่ง แมลงเม่าบินเข้ากองไฟไม่ได้
หยู่เหวินเห้า…. ภายในหัวสมองของนาง ปรากฏภาพใบหน้าอ่อนโยนสดใสของเขา หวังอยากที่จะให้มีสติเข้าใจต่อเจ้ามากกว่านี้
เช้าวันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าไปที่ทำการปกครองแต่เช้า ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ออกไปด้วยความโมโหและวิตกกังวล
หยวนชิงหลิงไปจวนอ๋องหวย หลังจากที่เขาออกไปได้ไม่นาน
อยู่ที่จวนอ๋องหวยกว่าครึ่งวัน อย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่ได้คุยกับหยู่เหวินเห้าวันแรก คิดถึงเขา
หลู่เฟยยังดูออก จึงดึงนางออกไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ไม่มีอะไร ในใจมีเรื่องให้คิด ปล่อยวางไม่ลง”
หลู่เฟยพูดขึ้นว่า “ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่มีเรื่องอะไรที่ผ่านไปให้ได้”
หยวนชิงหลิงไม่ได้เล่าเรื่องภายในใจของนางให้กับหลู่เฟยฟังอยู่แล้ว ทำได้เพียงอมยิ้มให้กับคำปลอบโยนของนาง
ช่วงนี้หลู่เฟยให้ความสำคัญพระชายาจี้อย่างมาก ถามถึงอาการป่วยของนางอยู่ตลอด
ดังนั้น หยวนชิงหลิงไม่ยอมพูด นางจึงเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่า พระชายาจี้ป่วยเป็นวัณโรค”
หยวนชิงหลิงอึ้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่มั้ง? ติดมาจากอ๋องหวยหรือเปล่า?”
หลู่เฟยไม่ยอมรับ พูดขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “ใครจะไปรู้วันนางไปสัมผัสกับใครมาบ้าง? ในเมืองหลวงนี้ไม่ได้มีหวยเอ๋อแค่คนเดียวที่ป่วยเป็นโรคนี้ บางที อาจจะเป็นผลกรรมของนางเอง”
หยวนชิงหลิงคิดถึงช่วงเริ่มแรกที่พระชายาจี้ไม่ยอมสวมผ้าปิดปาก บอกว่าไม่กลัวติดเชื้อ หากติดเชื้อแล้วจริงๆ นั่นช่างเป็นการประชดจริงๆ