บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1531 ฆ่าหรือไม่ฆ่า
เหยี้ยนจือหยูถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินของวังประจำเมือง เป็นคุกใต้ดินที่ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อยนิด มีเพียงความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด และความสิ้นหวังรอบตัวเขากลืนกินเขา
การลงโทษของฮุ่ยเทียน จะนับเวลาหลังจากผ่านไปสิบสองชั่วยาม จากนี้ไปเหยี้ยนจือหยูจะเป็นแค่คนพิการไร้ค่าคนหนึ่ง
ก่อนที่ผู้ภักดีของเหยี้ยนจือหยูจะทันบุกเข้าไปในวังประจำเมือง เหลิ่งเฟิ่งชิงก็ได้ไปพบท่านห้า แล้วให้เขาเล่าเรื่องอาชญากรรมที่เหยี้ยนจือหยูก่อขึ้น โดยมีอ๋องชินเฟิงอันเป็นคนจดบันทึกด้วยตัวเอง จดบันทึกเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เกี่ยวกับความผิดที่เหยี้ยนจือหยูกระทำต่อตระกูลเทียนซ่วน แล้วประทับด้วยตราประทับของท่านห้ากับอ๋องชินเฟิงอัน จัดส่งพิมพ์ เผยแพร่ออกไปให้สาธารณชนได้รับรู้
อาชญากรรมที่เหยี้ยนจือหยูทำนั้นเลวร้ายจนฟ้าดินไม่อาจให้อภัย ประชาชนต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริศไปตาม ๆ กัน
กลุ่มผู้ภักดีเก่าแก่ของเหยี้ยนจือหยู เดิมทีได้วางแผนกันไว้ว่าจะบุกเข้าไปช่วยเหยี้ยนจือหยูออกมา หลังจากที่มีการประกาศเรื่องอาชญากรรมจนทุกคนรู้กันทั่ว หลายคนถึงกับตัดสินใจถอนตัวออกจากกลุ่ม มีเพียงแม่ทัพหวู่ที่พาทหารหลายพันคนบุกฆ่าเข้าไป แต่อ๋องชินเฟิงอันกับท่านชายสี่มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อบุกเข้ามาก็กลายเป็นเต่าในโกศให้ถูกล้อมจับได้ง่าย ๆ สามารถบังคับแม่ทัพหวู่ให้มอบตัว เพราะเขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มามาก
ในวันที่เจ็ดของการมาที่เมืองเฟิงตู อ๋องชินเฟิงอันก็เข้ายึดเมืองเฟิงตู ขับไล่คนในวังประจำเมืองออกไป ลดระดับให้เป็นเพียงสามัญชน
ส่วนเหยี้ยนจือหยูกับซูหรูซวง ก็ถูกส่งไปให้เหลิ่งเฟิ่งชิงจัดการ
เหยี้ยนจือหยูใช้เวลาหกวันติดอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดมิด เริ่มแรกเขายังแสร้งทำเป็นสงบนิ่งได้ แต่พอวันที่สาม เขาก็เริ่มกู่ร้องก้องคำราม เริ่มก่นด่าสาปแช่งหยาบคายสารพัด จนถึงวันที่สี่ ก็เริ่มอ้อนวอนร้องขอความเมตตา สํานึกผิดอยากกลับตัวกลับใจ
เขาที่เวลานี้เอ็นมือเอ็นเท้าขาดหมด ไม่สามารถยืนหรือเดินได้ ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ ทุก ๆ วันจะมีคนเอาน้ำกับอาหารมากรอกใส่ปาก เพื่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ปล่อยให้เขาตาย ทั้งยังรักษาบาดแผลให้เขา ทำให้เขาเข้าใจผิดไปว่ายังพอมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่
ฮุ่ยเทียนอธิบายว่า ความสิ้นหวังที่แท้จริงคือ การอยู่ไม่สู้ตาย แต่พออยากตายกลับตายไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ในใจเกิดความรู้สึกร้องขอความตายแล้ว แต่กลับเหมือนว่าได้เห็นความหวังของการมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ต่อสู้ดิ้นรนจนถึงที่สุดแล้ว ก็ตกลงไปสู่ความสิ้นหวังอีก วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่จบไม่สิ้น ทรมานทั้งใจกายจนเหมือนตายทั้งเป็น
ดังนั้น การจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเหยี้ยนจือหยู สำหรับเหลิ่งเฟิ่งชิงแล้ว นางสามารถมอบความตายที่ไม่ทรมานให้เขาได้ แค่ตัดหัวของเขาออกมา แล้วเอาไปเซ่นสังเวยวิญญาณตรงหน้าหลุมฝังศพของคนตระกูลเทียนซ่วนทั้งตระกูล
เหลิ่งเฟิ่งชิงยังไม่ได้ตัดสินใจในทันที แค่ไปเดินเล่นอยู่กับท่านชายสี่ในวังประจำเมือง
นางเคยอาศัยอยู่ที่นี่ได้เกือบ ๆ ปี เคยคิดว่าวันเวลาที่มีความสุขที่สุด คงจะเป็นการที่ได้ใช้ทั้งชีวิตอยู่ที่นี่แน่ ๆ แล้ว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความโหดร้าย
ทุกอย่างในวังแห่งนี้ นางมีเพียงความรู้สึกชิงชังรังเกียจอย่างถึงที่สุด
แต่หลังจากเดินไปมารอบหนึ่ง ตอนนี้กลับพบว่าบรรดาต้นไม้ใบหญ้ามีความผิดอะไรด้วย? เป็นคนต่างหากที่มีความผิด ไม่ใช่สถานที่
“ไปเดินเล่นที่ตระกูลเทียนซ่วนกับแม่สักหน่อย ดีหรือไม่?”เหลิ่งเฟิ่งชิงถาม
ท่านชายสี่ตอบว่า “ท่านอยากไปหรือ? เช่นนั้นก็ได้ ลูกจะไปกับท่านเอง”
เขาสั่งให้คนเตรียมรถม้า แล้วพาเหลิ่งเฟิ่งชิงไปตระกูลเทียนซ่วน
สามสิบหกปีแล้ว จวนของตระกูลเทียนซ่วนได้รับการดูแลอย่างดี เหยี้ยนจือหยูได้สั่งให้คนมาซ่อมแซม นี่ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกสำนึกผิด แต่เพราะหลังจากที่เขาแต่งงานกับเหลิ่งเฟิ่งชิงแล้ว เขาจึงมีสถานะเป็นเจ้าบ้านของตระกูลเทียนซ่วน การจะรักษาสถานะของตระกูลเทียนซ่วนในใจของประชาชน ทั้งยังเป็นการรักษาฐานตำแหน่งของเขาด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่ยอมให้จวนตระกูลเทียนซ่วนตกต่ำ
ยามหน้าประตูหลักเข้มงวดมาก ตัวอักษรคำว่าตระกูลเทียนซ่วนสี่คำ ตระหง่านโดดเด่นงามสง่า สลักฝังอยู่ที่หน้าประตูเข้าสู่ตัวอาคาร อักษรมังกรเหินพญาหงส์ร่อน แสดงถึงภาพจำในอดีตของตระกูลเทียนซ่วน
เมื่อผลักประตูเข้าไป พบว่าในจวนมีคนรับใช้อยู่ แต่ไม่ใช่คนเก่าแก่ดั้งเดิม เป็นคนรับใช้ที่เหยี้ยนจือหยูส่งมาให้คอยทำความสะอาดและบำรุงรักษาจวน
ท่านชายสี่ส่งพวกเขาออกไป จับมือท่านแม่ แล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ลานบ้าน ห้องโถงหลัก ทางเดิน ลานนอก สวนดอกไม้ ทะเลสาบขนาดเล็ก น้ำตก สะพานโค้ง ร่องรอยของตระกูลเทียนซ่วนทั้งหมดยังคงอยู่ที่นั่น แม้แต่เรือนที่เหลิ่งเฟิ่งชิงเคยอาศัยอยู่ต้นสาลี่ที่อยู่หน้าประตูเรือนก็ยังไม่ถูกโค่น แต่กลับมีรอยของวงรอบปีที่ลำต้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น
สำหรับเหลิ่งเฟิ่งชิงแล้ว ไม่มีอะไรที่ผ่านไปเลยแม้แต่อย่างเดียว สามสิบหกปีแล้ว เรื่องพวกนั้นยังคงเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“ ท่านแม่ จะจัดการเขาอย่างไร?” ท่านชายสี่ไม่อาจคาดเดาความคิดของนาง เขาเดินเงียบ ๆ ไปกับนางตลอดทาง นางเองก็ไม่พูดอะไร
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เหลิ่งเฟิ่งชิงถามเขา
ในสายตาของท่านชายสี่มีความเกลียดชังผุดวาบ พูดว่า “ถ้าให้ข้าเป็นคนจัดการ ข้าจะฆ่าเขาซะ”
เหลิ่งเฟิ่งชิงส่งเสียงตอบรับเสียงหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะฆ่าเขา หลังจากเดินต่อไปอีกราว ๆ หนึ่งถ้วยชา สองคนแม่ลูกก็ไปนั่งลงที่ศาลา เหลิ่งเฟิ่งชิงมองเขาแล้วพูดว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเขา”
ท่านชายสี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย “ท่านแม่ นี่ท่านใจอ่อนกับเขาแล้วหรือ?”
เหลิ่งเฟิ่งชิงส่ายหน้า “ตรงกันข้ามเลยล่ะ การฆ่าเขาต่างหากที่เรียกว่าใจอ่อน อันที่จริง หลายวันมานี้ข้าก็คิดมาตลอด ว่าข้าสมควรจะละทิ้งความเกลียดชังในอดีตของตัวเองลงไปดีหรือไม่? ถ้าข้าสามารถปล่อยวางมันลงได้ แค่ฆ่าเขาก็จบเรื่องได้แล้ว แต่ข้าทำไม่ได้ ลูกแม่ โดยเฉพาะ พริบตาที่แม่ก้าวเท้าเข้าประตูจวนตระกูลเทียนซ่วนมา แม่ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า แม่ไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายไปง่าย ๆ แบบนี้ได้ ”
นางยืนขึ้น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทุกอย่างในเรือน ที่นี่เดิมทีควรจะมีเสียงพูดคุยของผู้คนอยู่ทั่วทุกที่ ญาติ ๆ ของนางที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือน พูดคุยหัวเราะ ชั่วอึดใจเหมือนว่าจะปรากฏภาพฉากเหล่านั้นขึ้นตรงหน้าของนาง แต่แค่พริบตาเดียว ทุกอย่างก็สลายหายไปหมด คนเหล่านั้น จะไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว
ตระกูลเทียนซ่วน ตระกูลที่ไม่เคยทำความผิดต่อฟ้าดิน แต่กลับถูกทำลายจนพินาศเกือบสิ้นตระกูล ที่น่าสงสารที่สุดคือพวกเด็ก ๆ จำนวนมาก เด็กที่เล็กที่สุดเพิ่งจะอายุครบเดือนเท่านั้น
ใบหน้าของนางมีน้ำตาไหลอาบนอง หัวใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พูดขึ้นว่า “โยนเขากับซูหรูซวงออกไป หาคนมาคอยจับตาดูพวกเขาให้ดี อย่าให้พวกเขาตายง่าย ๆ ข้าต้องการให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป ให้ดีที่สุดคือให้อยู่ต่อไปอีกสามสิบหกปี ให้ได้พบเจอกับความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบในโลกใบนี้ บางทีอาจจะพอช่วยสลายความเกลียดชังในใจของข้าให้มันบรรเทาลงได้ แล้วก็อาจช่วยให้วิญญาณของคนที่ตายไป ได้พักผ่อนอย่างสงบสุขเสียที!”
ท่านชายสี่รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เขาทนเห็นน้ำตาของมารดาไม่ได้ ตอบรับว่า ” ขอรับ ทุกอย่างข้าจะทำตามที่ท่านแม่พูดทุกประการ”
เหยี้ยนจือหยูกับซูหรูซวงถูกโยนออกไป ในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน เหยี้ยนจือหยูก็เปลี่ยนจากเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจ เป็นหนูสกปรกข้างถนน ใครเห็นก็ด่าทอสาปแช่ง ไล่ทุบไล่ตีเขาไปทั่ว เขาไม่สามารถยืนขึ้นเดินเหินได้ ทำได้เพียงคลานไปมา กระเสือกกระสนทนรับการลงโทษของเหล่าผู้คนที่โกรธแค้น
ท่านชายสี่จัดเล้าหมูที่ถูกทิ้งร้างไว้ให้เขาเล้าหนึ่ง ให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ในเล้าหมู ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่คุ้มกะลาหัวให้พอผ่านไปได้วัน ๆ
ในวันกราบไหว้วิญญาณตระกูลเทียนซ่วน ท่านชายสี่ได้สั่งให้คนนำตัวพวกเขามาอยู่ตรงหน้าหลุมศพของตระกูลเทียนซ่วนเพื่อกราบไหว้ขอขมา เหยี้ยนจือหยูใช้กำลังเฮือกสุดท้าย พยายามจะเอาหัวพุ่งชนหินหน้าหลุมฝังศพ แต่กลับถูกท่านชายสี่จับตัวไว้ได้ หลังจากหยุดเขาแล้ว ก็พูดอย่างเย็นชาว่า “อยากตายรึ? ยังไม่ถึงเวลาหรอก พวกเจ้าจงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในสภาพนี้ไปชั่วชีวิตเสียเถอะ”
“เจ้า…” เหยี้ยนจือหยูสีหน้าดุร้าย คิดจะยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของเขา แต่ติดที่มือทั้งสองข้างยกขึ้นไม่ได้เลย พวกมันห้อยตกลงมาราวกับกิ่งไม้ตายซาก ไม่มีแม้แต่แรงที่จะยกขึ้นแม้แต่น้อยนิด ใบหน้าแดงก่ำราวกับเส้นเลือดแตกก็ไม่ปาน
ท่านชายสี่ปล่อยเขา แล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชาว่า “พาพวกเขากลับไปที่เล้าหมู”
“ เหลิ่งเฟิ่งชิง เขาทำกับข้าแบบนี้ ทำกับพ่อตัวเองแบบนี้ เขาจะต้องตกนรกแน่ เจ้ารู้ใช่หรือไม่? เขาไม่กตัญญู เขาไม่กตัญญู ฟ้าดินต้องลงโทษเขาแน่!” เหยี้ยนจือหยูอ้าปากร้องตะโกน จ้องมองเหลิ่งเฟิ่งชิงด้วยดวงตาสีแดงก่ำดั่งเปลวเพลิง นอกจากความโกรธเคืองและเกลียดชังแล้ว ยังมีอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย
เหลิ่งเฟิ่งชิงมองลูกชาย แววตาอบอุ่นอ่อนโยน “ไม่ เจ้าผิดแล้ว เขากตัญญูต่อพ่อของเขาอย่างมาก ใคร ๆ ต่างก็รู้ดี ว่าพ่อของเขาคือท่านอ๋องชินเฟิงอันผู้มีหัวใจอันชอบธรรม รู้จักผิดชอบชั่วดี ทุ่มเทรับใช้ประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่เจ้า”
ใบหน้าของเหยี้ยนจือหยูถูกย้อมไปด้วยความโกรธจนเส้นเลือดสีเขียว ๆ ผุดออกมาเต้นตุบ “เจ้าพูดจาเหลวไหล เขาเป็นลูกชายของข้า เขาเป็นลูกชายของข้าเหยี้ยนจือหยู เขาทำแบบนี้กับข้า จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ถูกธรณีสูบกลืนแน่!”
เหลิ่งเฟิ่งชิงมองเขาพลางพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้! ตอนที่ข้าอุ้มท้องเขา เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเอาหินญาณสวรรค์ปลูกถ่ายเข้าไปไว้ในตัวของเขา เจ้าต้องการให้เขาไปตายแทนซูหรูซวง คำพูดเหล่านี้ เจ้ายังจำมันได้หรือไม่? สามสิบหกปีแล้ว บางทีเจ้าอาจจำไม่ได้ แต่ข้าจำได้ชัดเจนทุกถ้อยทุกคำ เจ้ามีความตั้งใจที่จะฆ่าเขาแต่แรก ในวันนี้ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรกับเจ้า มันก็ไม่มีอะไรที่เกินไปทั้งนั้น”
“ไม่!” เหยี้ยนจือหยูร้องตะโกน ส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ ข้าไม่เคยพูด ข้าไม่เคยพูดแบบนี้ เจ้ายั่วยุให้ลูกชายเกลียดข้า เจ้าใช้ลูกชายมาแก้แค้นข้า เหลิ่งเฟิ่งชิง เจ้าช่างโหดร้ายอำมหิตนัก !”
“พาพวกเขาไป!” ท่านชายสี่เหลิ่งออกคำสั่ง ความรังเกียจในหัวใจ ทำให้เขาไม่อยากเห็นหน้าเหยี้ยนจือหยูอีกแม้แต่แวบเดียว