บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1533 ข้าจะเข้าโรงเรียนอนุบาล
ทัพใหญ่กลับมายังเมืองหลวง หงเย่กับเจ้าลิงก็ตามมาด้วย ที่เมืองเฟิงตูเขาเองก็ลงมือด้วย อันที่จริงเขาไม่ต้องไปด้วยก็ได้ เพราะอ๋องชินเฟิงอันได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้านานแล้ว ด้วยความสามารถของอ๋องชินเฟิงอัน การจะรับมือคนแบบเหยี้ยนจือหยู เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
หลังจากที่พวกท่านชายสี่มาถึงเมืองหลวง ก็กลับจวนไปพบองค์หญิงกับเทียนสิงก่อน ทั้งครอบครัวกินข้าวพร้อมหน้า ท่านชายสี่จึงค่อยเข้าวังไปรายงานผลการทำงาน
เขาพูดถึงเรื่องความแค้นเคืองส่วนตัวแค่สองสามประโยค บอกว่าคนที่ควรได้รับโทษ เวลานี้ก็ได้รับโทษที่เขาสมควรได้รับไปแล้ว แต่ไม่ได้ฆ่า
ที่เหลือ คือการพูดเรื่องสำคัญ
“ข้ากับท่านแม่ไปเดินเตร่ในเมืองเฟิงตูราว ๆ ครึ่งเดือน พอจะเข้าใจความรู้สึกของผู้คนโดยพื้นฐานแล้ว ตระกูลเทียนซ่วนยังคงมีชื่อเสียงมากในหมู่ประชาชน แต่ที่จริง คนในเมืองเฟิงตูก็มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปกครองของเหยี้ยนจือหยูไม่น้อย เก็บภาษีสูงเกินไป ผลประกอบการที่ได้จากความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สุดท้ายตกไปอยู่ในมือของเหยี้ยนจือหยูหมด ดังนั้นมุมมองที่มีต่อคนของราชสำนักที่เข้ายึดเมืองเฟิงตู สำหรับคนส่วนใหญ่เป็นไปในทางต้อนรับดี แต่หากจะพูดว่าจากนี้คงสงบสุข ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะก็มีคนจำนวนหนึ่งที่คิดว่าเจ้าเมืองคือกษัตริย์ของพวกเขา การที่ราชสำนักรับช่วงต่อเมืองเฟิงตู มันคือการรุกรานเมืองเฟิงตู จากนี้คงจะยังมีปัญหาเล็ก ๆ ตามมาอีก ดังนั้นคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเมือง จำเป็นต้องคัดเลือกอย่างระมัดระวังหน่อย”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “อื้ม เสด็จปู่ใหญ่แนะนำคนคนหนึ่งให้กับข้าแล้ว คือลู่หยวน เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ท่านชายสี่มีนัยน์ตาอบอุ่นขึ้นมาทันที “คนที่ท่านพ่อแนะนำมา ข้าย่อมเห็นด้วยทุกประการ!”
“ท่านพ่อของเจ้า?” หยู่เหวินเห้าหันไปมองเขา พระชายาเป็นอาจารย์ของเขา ดังนั้นอ๋องชินเฟิงอันไม่ควรมีฐานะเป็นสามีอาจารย์หรอกหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นพ่อไปเสียแล้วล่ะ? หรือจะเรียกว่าสามีอาจารย์แม่ก็ยังดูเหมาะสมเข้าใจได้อยู่
“อื้ม ท่านอ๋องชินเฟิงอัน ท่านพ่อของข้า!” ท่านชายสี่ก็ไม่มีความคิดที่จะอธิบาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยอมรับแบบนี้ไปแล้ว แม้ว่าหลายปีมานี้ เขาจะไม่เคยเรียกว่าพ่อสักคำ แต่ในใจของเขาอย่างไรก็เป็นพ่อ
“โอ้!” หยู่เหวินเห้ายิ้มรับ แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะถาม
ตอนที่ท่านชายสี่ขอตัวลา หยู่เหวินเห้าก็เรียกท่านชายสี่เอาไว้ ท่านชายสี่หันหน้ากลับมา ถามว่า “มีอะไรรึ?”
หยู่เหวินเห้าถามว่า “เจ้าต้องการให้ข้ารวบรวมคนสักหลาย ๆ คน มาร่วมดื่มกับเจ้าหรือไม่?”
ท่านชายสี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ขออภัย ท่านแม่ของข้าบอกให้ข้ารีบกลับบ้านเร็วหน่อย จะได้ไปดื่มน้ำแกงด้วยกัน!”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ยืดอกเชิดหน้าแล้วเดินออกไปทันที
“เจ้าเด็กน้อยเอ๊ย!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างมีโทสะ ร้องตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “ฝากคำทักทายไปให้ท่านป้าสักประโยคด้วยล่ะ!”
“ได้!” คำพูดที่ไม่มีหางเสียงดังลอยตามลมมาแต่ไกล
หยู่เหวินเห้าหันไปมองมู่หรูกงกง “เจ้าค้นพบหรือไม่ว่า นับตั้งแต่ที่ท่านชายสี่มีแม่แล้ว ก็กลายเป็นคนเย่อหยิ่งขึ้นมาไม่น้อยเลยนะ?”
มู่หรูกงกงยิ้มพลางพูดว่า “มีหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“มีสิ มีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่มันกระตุ้นให้ใครที่เห็น ก็อยากลงมือต่อยสักหมัดจริง ๆ นะ”
วันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าก็มีคำสั่งเรียกลู่หยวนกับเสี้ยวหงเฉิงเข้าวัง เพื่อถามความสมัครใจของพวกเขาดูก่อน
ทั้งสองล้วนเห็นด้วย ทั้งคู่รู้สึกว่าทุกอย่างในเมืองหลวงนั้นสงบสุขเกินไป พวกเขาเต็มใจไปในที่ที่ไม่ค่อยจะสงบสุขมากกว่า ถึงจะก่อร่างสร้างตัวได้สำเร็จ
พวกเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นฝ่ายหยู่เหวินเห้าที่ยากจะตัดใจได้ เขามองเสี้ยวหงเฉิง “หลายปีมาแล้ว ที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้ามาโดยตลอด ….. ”
“ได้ พวกเราไม่ไป!” เสี้ยวหงเฉิงพูดอย่างเด็ดขาดมาก
“เอ่อ…” หยู่เหวินเห้ามองนางอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เสี้ยวหงเฉิงคนนี้นี่นะ จะให้คนเขามีอารมณ์ซึ้งสักหน่อยก็ไม่ได้ นิสัยนางก็เป็นแบบนี้เอง ไม่มีอะไรให้เป็นรางวัล แค่จะพูดคำพูดที่มันกินใจให้เป็นรางวัลหน่อยก็ยังไม่ได้เลยรึ?
เสี้ยวหงเฉิงถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง “ข้ารู้ว่าท่านยากจะตัดใจจากพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่กลับมาเสียเมื่อไหร่ รอให้เมืองเฟิงตูมั่นคงแล้วจริง ๆ พวกเราก็ยังจะกลับมาเมืองหลวงอยู่นะ”
“ได้ เลือกวันเดินทางไว้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงอำลาให้พวกเจ้า!” ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้อ้อมค้อมแล้ว พูดอย่างตรงไปตรงมา “สิ่งที่พวกเจ้าทำเพื่อราชวงศ์เป่ยถัง ข้าจะจดจำใส่ใจไม่มีวันลืม”
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องตรัสเช่นนั้น นี่เป็นหน้าที่ของเราในฐานะขุนนางอยู่แล้ว” ลู่หยวนโค้งคำนับ
สองวันต่อมา หยู่เหวินเห้าก็จัดงานเลี้ยงส่งให้สองสามีภรรยา กับคนของสำนักเหมยแดงก่อนออกเดินทาง เชิญพวกเขาเข้าวังเพื่อจัดงานเลี้ยงให้เป็นกรณีพิเศษ ทั้งยังเชิญบรรดาราชนิกุล ท่านชายสี่ เหลิ่งจิ้งเหยียน หงเย่ กู้ซือให้มาร่วมด้วย
ระหว่างงานเลี้ยง ท่านชายสี่ไม่ดื่มเหล้าแรง ๆ แต่ดื่มพวกเหล้าดอกท้ออ่อน ๆ พอชักชวนให้ดื่ม ก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ท่านแม่บอกว่า เหล้าทำให้เสียสุขภาพ ควรดื่มแต่น้อย ๆ”
หลังจากพูดชักชวนหลายครั้งเข้า หยู่เหวินเห้าก็เกิดความรู้สึกว่า อยากจะเอาไหเหล้าทุบหัวเขาสักผลัวะ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นใครกันแน่ที่ดื่มไม่เคยบันยะบันยัง? พอจะชวนคนอื่นดื่ม ก็ชวนดื่มแต่เหล้าแรง ๆ ทั้งนั้นด้วย
ตอนนี้มีแม่แล้ว ทำมาพูดว่าดื่มเหล้าแล้วทำให้เสียสุขภาพ ทีเมื่อก่อนทำไมไม่เห็นเคยพูดล่ะ?
ยังดีที่มีคนดื่มกับเขาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อ๋องหวยเข้ารับราชการ ก็เริ่มรู้จักดื่มเหล้าบ้างเล็กน้อย แต่เขาไม่กล้าดื่มมาก เริ่มจากหนึ่งจอกเป็นพิธี สองจอกหยุด พอสามจอกก็กลับบ้านไปหาภรรยา
หลังจากเลี้ยงส่งลู่หยวนกับเสี้ยวหงเฉิงเดินทางออกไปอย่างมีความสุข หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงก็เริ่มวางแผนเรื่องเข้าโรงเรียนของพวกซาลาเปา
สองคนโค้กกับเซเว่นอัพยังเล็ก สามารถรอได้อีกราว ๆ สองปี แต่พอพวกเขาได้ยินเรื่องที่ว่าจะกลับไปเข้าโรงเรียนอนุบาล ก็งอแงไม่ยอมอยู่ที่นี่ จะเป็นจะตายก็จะตามพี่ชายทั้งสามคนไปด้วยให้ได้ ซึ่งทำให้หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าปวดหัวมาก
สิ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของหยู่เหวินเห้าได้เล็กน้อย นั่นก็คือเขายังมีลูกสาวอยู่ข้างกาย ดังนั้นเมื่อถูกแฝดสองงอแงใส่จนยากจะทานทน เขาก็ยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ไปๆๆ ไปกันให้หมดนั่นล่ะ”
แน่นอนว่าเด็ก ๆ ต้องมีความสุขมากเป็นธรรมดา แต่หมาป่าหิมะกับเจ้าเสือกลับอารมณ์เสียแทน อาละวาดจะตามพวกเขาไปด้วย
นี่มันออกจะตลกร้ายเกินไปแล้ว ในยุคปัจจุบัน จะเลี้ยงเสือกับหมาป่าหิมะได้อย่างไรกัน?
สัตว์วิเศษเหล่านี้มีความฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่ง พวกมันเข้าใจเรื่องราวของพวกมนุษย์ ทั้งรู้ว่าเจ้านายน้อยไปครั้งนี้ ไม่ได้ไปสิบวันหรือครึ่งเดือน แต่ไปกันหลายปี ต่อให้ดุด่าอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด อาละวาดจะไปด้วยให้ได้
สุดท้าย ก็เป็นซาลาเปาที่พูดทั้งขู่ทั้งปลอบ บอกพวกมันว่าถ้าตัวเองมีวันหยุดฤดูหนาว วันหยุดฤดูร้อน รวมทั้งวันหยุดวันธรรมดา ในหนึ่งปีพวกเขาจะสามารถกลับมาได้รวม ๆ กันแล้วอย่างน้อยก็สี่เดือน ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยก็สามารถมาอยู่ที่นี่ได้เกือบ ๆ ครึ่งปี พวกมันถึงยอมหยุดอาละวาด ยอมเติบโตไปด้วยกันแบบข้ามห้วงเวลาและอยู่กันคนละสถานที่
เพราะว่าเป็นการไปเข้าโรงเรียน หยวนชิงหลิงจึงต้องไปด้วย เพื่อจัดการเรื่องเข้าโรงเรียนของลูก ๆ ให้เรียบร้อย
เรื่องนี้เคยพูดกันตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบันครั้งก่อนนี้แล้ว ดังนั้นจึงไปหาลู่หยาง เพื่อจดชื่อลงทะเบียนบ้าน แน่นอนว่า ถ้าเด็ก ๆ ได้จดชื่อลงทะเบียนบ้านแล้ว ก็ต้องจดทะเบียนชื่อของพวกเขาสามีภรรยาลงไปด้วย เพราะจะเอาแต่จดชื่อเด็ก ๆ ในนามของพี่ชายตลอดไม่ได้
เรื่องนี้ลู่หยางได้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดเป็นคนที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรที่จดทะเบียนแล้ว
บวกกับบ้านที่ซื้อไว้แต่เดิม ก็เป็นเขตที่อยู่ใกล้กับบริเวณโรงเรียน จึงไปโรงเรียนได้ไม่ลำบาก
วันนี้หยวนชิงหลิงได้เตรียมการไว้พร้อมหมดแล้ว จึงลากลูก ๆ ทั้งห้าคนไปโดดทะเลสาบจิ้ง
ตอนที่พวกเขาจะไป เด็ก ๆ ร้องห่มร้องไห้จนชวนโศกสลดมาก พากันกอดน้องสาวพลางพูดซ้ำ ๆ ว่าพวกพี่ชายจะรีบกลับมาเร็ว ๆ หลังจากกอดน้องสาวร้องไห้เสร็จ ก็หันไปกอดสัตว์เลี้ยงของตัวเองแล้วร้องไห้ฟูมฟายกันอีกรอบ บอกให้พวกมันเป็นเด็กดี ให้รอพวกเขากลับมา
สุดท้ายหยู่เหวินเห้าก็พูดขึ้นว่า “ร้องไห้เสียใจกันถึงขนาดนี้ ไม่สู้ไม่ต้องไปแล้วดีกว่าหรือไม่?”
เสียงร้องไห้หยุดลงโดยพลัน
เรื่องอาลัยอาวรณ์ก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่ต้องไปให้ได้นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องอะไรจะยอมไม่ไปแค่เพราะความอาลัยอาวรณ์เท่านี้กันล่ะ?
รถม้าวิ่งตึงตัง ๆ ตรงไปยังภูเขาหมื่นพุทธ
ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้ไปส่ง งานในราชสำนักยุ่งมาก จะไปจะมาก็ต้องใช้เวลาหลายวัน เขาไม่ควรเอาแต่ออกไปข้างนอกบ่อย ๆ จึงส่งสวีอีให้ตามไปคุ้มกัน
นับจากที่สวีอีเคยได้ไปมาแล้วครั้งหนึ่ง กลับมาเขาก็กลัวยุคปัจจุบัน แต่พอผ่านไปนาน ๆ เขาก็เริ่มคิดถึงสิ่งดี ๆ มากมายในยุคปัจจุบัน ตลอดทางที่ไป ก็พูดกับพวกซาลาเปาว่า ให้พวกเขา ช่วยซื้อของที่ใช้ดี ๆ มีประโยชน์จากที่นั่นมาด้วยเยอะ ๆ พวกของเล่นหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้ เอามาให้ถังกั่วเอ๋อเล่น
สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ไปที่นั่นสักครั้งนะ?”
“อยากไปรึ? ถ้าอย่างนั้นก็ไปสิ ไปทำงานรับใช้ฮ่องเต้ฮุ่ยจงที่นั่น!” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
สวีอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่างไรก็ช่างมันดีกว่า ข้าตัดใจอยู่ห่างจากอะซี่กับถังกั่วเอ๋อไม่ได้”
“เจ้าสามารถพาอะซี่กับถังกั่วเอ๋อไปที่นั่นด้วยได้นะ”
สวีอีครุ่นคิดอีกครั้ง “อย่างไรก็ไม่ดีกว่า ข้าอยู่รับใช้ฝ่าบาทดีกว่ารับใช้ฮ่องเต้ฮุยจงมากนัก”
ฮ่องเต้ฮุยจงทึ่มทื่อเกินไปจริง ๆ นะ!
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าพูดออกจากปากตรง ๆ อาการทึ่มทื่อของฮ่องเต้ฮุยจงเป็นความลับของราชวงศ์ ไม่อาจปล่อยให้รั่วไหลออกสู่ภายนอกได้โดยง่าย