บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1535 นักประจบสอพลอ
ในวังที่ไม่มีเด็ก ๆ ความเงียบงันกลับดูน่ากลัวขึ้นมา กระทั่งกวากวาก็ยังดูเซื่องซึมลงไป เมื่อก่อนนี้ ทุกวันยังมีพวกพี่ชายที่คอยมาแย่งกันอุ้มนางส่งเสียงดังเอะอะเจี๊ยวจ๊าว แต่มาตอนนี้นางเฝ้ารอตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ก็ไม่เห็นพวกพี่ชายมา กวากวาเองก็มีท่าทางกระสับกระส่ายทั้งวันเหมือนกัน
แม้ว่านางจะชอบที่ท่านพ่ออุ้มเช่นกัน แต่ท่านพ่อก็ยุ่งกับงานในราชสำนักทั้งวัน เขาจะเข้ามาอุ้มนางเล่นได้ก็ต่อเมื่อใกล้จะนอนแล้ว จะเอาไปเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไรล่ะ??
ไม่ต้องพูดถึงแค่กวากวา แม้แต่หมาป่าหิมะกับเจ้าเสือต่างก็หดหู่หงอยเหงามาก นอนหมอบอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องของเจ้านายน้อย พลิกตัวไปมา ไม่ยอมออกไปวิ่งเล่นข้างนอก หยวนชิงหลิง รู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อารมณ์ของทุกคนคงถูกดึงจนดิ่งกันไปหมดแน่ ๆ
นางจัดงานเลี้ยงพบปะทุกคนในครอบครัว โดยให้ทุกคนพาลูก ๆ ในบ้านตัวเองเข้าวังมาเล่นสนุกด้วยกัน พวกท่านอ๋องต่างก็ตอบรับคำเชิญ แล้วพาลูกชายลูกสาวเข้าวังมาร่วมวงสรวลเสเฮฮา ทำให้ในวังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก แต่หยู่เหวินเห้ากลับสะเทือนใจจนแทบน้ำตาไหล เพราะล้วนเป็นลูก ๆ ของคนอื่นทั้งนั้น
แต่เมื่อกวากวาได้เห็นเด็กจำนวนมากมายขนาดนี้ ก็มีความสุขมาก อยู่เหวินเห้าในฐานะพ่อที่หลงลูกสาวมาก จึงมีความสุขด้วยเช่นกัน เพราะเขากลัวจริง ๆ ว่ากวากวาจะเป็นโรคซึมเศร้าไป
เพื่อความสุขของลูกสาว ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเขาก็ยินดี
เทียนสิงอายุครบร้อยวันแล้ว ได้จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ขึ้นมาหนึ่งครั้ง เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้เทียนสิงก็มีท่านย่าแล้ว ต้องทำให้ท่านย่ามีความสุขเสียหน่อย
งานเลี้ยงจัดได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ในด้านเงินทอง ท่านชายสี่ไม่เคยตระหนี่แม้แต่น้อย เขายินดีทุ่มเงินจำนวนมาก เพื่อทำให้ภรรยาและแม่มีความสุข
ทุกคนมีความสุขมากที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ เมื่อทานอาหารเสร็จ แขกก็แยกย้ายกันไป ในตอนที่ทุกคนในครอบครัวนั่งดื่มเหล้าคุยสัพเพเหระกันอยู่ ก็มีเรื่องตลกเล็ก ๆ ที่ทำให้ทุกคนหัวเราะคิกคักกัน นั่นคือ กลุ่มชายชราผู้ทำงานอย่างขยันขันแข็งแห่งจวนอ๋องซู่ ต่างพาพลพรรคมาห่ออาหารกลับไปแบบสบายอกสบายใจมาก
อันที่จริงตอนนี้ จวนอ๋องซู่ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไรขนาดนั้นแล้ว เพียงแต่มันเป็นนิสัยที่ปลูกฝังมาหลายสิบปีที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือทำใจทนเห็นอาหารเหลือทิ้งเปล่า ๆ ไม่ได้
ก่อนหน้านี้ หยวนชิงหลิงเคยคิดว่าถ้าเรื่องของท่านชายสี่ได้รับการแก้ไขแล้ว อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาจะจากไป แต่จนถึงงานเลี้ยงฉลองอายุร้อยวันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่จากไป หยวนชิงหลิงลองถามพระชายาเป็นการส่วนตัว พระชายาก็ตอบว่า “เมื่อก่อนก็คิดว่าอยากจะกลับไปขนาดแค่ฝันก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้กลับไป แต่หลังจากกลับไปก็แค่นั้น กลับกันเอาแต่คิดว่าอยากจะกลับมา เลยตัดสินใจไม่ไปแล้ว จะอยู่กับพวกเขาแล้วแก่เฒ่าไปพร้อม ๆ กัน”
พระชายายังบอกหยวนชิงหลิงอย่างจริงจังว่า “หากในที่สุดแล้ว เจ้าคิดว่าอยากจะจากที่นี่ไป เจ้าจะต้องไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้คนที่นี่โดยเด็ดขาด หากเจ้ามีความรู้สึกที่แท้จริงล่ะก็ ต่อให้เจ้าอยากจากไป เจ้าก็จะไปไม่ได้ ”
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะด้วย นางจนถึงตอนนี้ จะไม่ให้มีความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างไรล่ะ? หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี มันต้องเกิดความรู้สึกที่ซึมลึกจนลืมไม่ลงอยู่แล้ว
พระชายาพูดขึ้นอีกว่า “หากเจ้าตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะอาศัยอยู่ที่นี่ ก็จงอย่าเอาแต่คิดถึงคะนึงหาว่าอยากจะกลับไป หรือถ้าคิดว่าวันหนึ่งจะจากไป เหมือนพวกเราสามีภรรยา คิดไปคิดมาเกือบทั้งชีวิต สุดท้ายก็ไม่กลับไป แบบนั้นการมีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี ก็จะกลายเป็นอะไรที่ขัดแย้งไปแทน”
พระชายามีความรู้สึกปลงแบบนี้ เพราะนางดื่มเหล้าไปเล็กน้อย แล้วระบายอารมณ์ส่วนลึกออกมา แต่นางก็มีความสุขดีโดยรวม เวลาที่ต้องเลือกมักเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด แต่เมื่อได้เลือกแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายสบายใจได้เสียที
หยวนชิงหลิงยังไม่ถึงขอบเขตที่ว่านั้น เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้นางก็สามารถไปมาได้ทั้งสองฝั่ง เป็นสิ่งที่นางพอใจมากแล้ว
พวกผู้ชายดื่มกันเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มคุยกันเรื่องธุรกิจ
ตอนนี้อ๋องฉีเริ่มมีความเชี่ยวชาญในด้านการประสบสอพลออย่างยิ่ง เขายกย่องเยินยออ๋องชินเฟิงอัน ว่าเขาสามารถพิชิตเมืองเฟิงตูให้มาอยู่ในกำมือได้ง่ายดายพอ ๆ กับการกินเกี๊ยวเลยทีเดียว ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
แต่โสวฝู่ฉู่กลับใช้สายตาที่เคารพยกย่องมองไปที่อ๋องชินเฟิงอัน แล้วอธิบายว่า “อ๋องฉี ถ้าเจ้าเข้าใจวิธีการลงมือทำงานใหญ่ของเสด็จปู่ใหญ่ของเจ้าจริง ๆ เจ้าจะไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเฟิงตูหรอก วิธีการทำงานของเขาเป็นแบบนี้มาตลอด เขาจะไม่ต่อสู้ในศึกที่ไม่อาจแน่ใจในชัยชนะ การจัดการเมืองเฟิงตูครั้งนี้นับว่าทำแบบลวก ๆ แล้วด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาต้องวางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าด้วยล่ะ? ”
เซียวเหยากงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ใช่ ข้ายังจำการต่อสู้กับเป่ยโม่ในปีนั้นได้ดี ในวันที่ไม่มีการทำศึก เขาก็เริ่มเตรียมการวางแผน จัดการให้แม่ทัพหยวนกับแม่ทัพอู๋เวยเจิ้นไปที่เจียงเป่ย ไปสร้างความคุ้นเคยกับชาวบ้านในพื้นที่ กำหนดสถานที่เหมาะสมในการทำสงคราม ไม่เช่นนั้น สถานการณ์ศึกที่ย่ำแย่ยากแค้นในปีนั้น พวกเราจะสามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ ได้อย่างไรล่ะ? ก็เพราะมีการเตรียมการมาอย่างดีทั้งนั้นนั่นล่ะ”
เมื่ออู๋ซ่างหวงได้ยินพวกเขาพูดถึงสงครามในปีนั้น ก็รู้สึกปลงอนิจจัง “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสด็จปู่ใหญ่ของเจ้าจะไม่สู้ในศึกที่ไม่แน่ใจในชัยชนะ ตอนนั้นเขาสู้จนพวกศัตรูกลัวจนฉี่ราดเผ่นหนีแทบไม่ทัน สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งเจ็ดอาณาจักร ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม”
อ๋องฉีได้ฟัง ก็กวาดตามองดูทั้งสามซ้ำ ๆ รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ท่านทั้งสามพูดจาประจบเอาใจเสียจนคนฟังแทบจะลอยขึ้นท้องฟ้าไปให้ได้แล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
แม้ว่าอ๋องชินเฟิงอันจะควรค่าแก่การชื่นชม แต่การที่สามผู้เฒ่าพยายามประจบสอพลอด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเช่นนี้ ก็ยังทำให้รู้สึกสงสัยอยู่บ้างเล็กน้อย
ทุกคนมองดูสามผู้เฒ่าประจบสอพลออย่างนึกสงสัยใคร่รู้
อ๋องชินเฟิงอันยิ้ม แต่ก็ไม่พูดอะไร
อู๋ซ่างหวงยืดอกเชิดหน้า พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมลั่นวาจาสาบานว่าจะขอกอดคอร่วมเป็นร่วมตายไปตราบจนพระอาทิตย์ดับแสงอีก
หยวนชิงหลิงก็ดื่มไปสองสามแก้วในคืนนี้ ก่อนหน้านี้ดื่มเมื่อไหร่เป็นเมาเมื่อนั้น แต่หลังจากที่เปลี่ยนสมองในยุคปัจจุบันแล้ว ก็พอจะดื่มได้สองสามแก้วโดยไม่เมาแล้ว
อันที่จริง บางทีนางอาจจะดื่มได้เยอะ แต่นางไม่กล้าลองดื่มง่าย ๆ เพราะกลัวจะเมาอาละวาด
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ยังคงเป็นเงาดำในใจของนาง
หลังจากดื่มไปได้ระดับหนึ่ง นางกับเหล่าพระชายาก็ออกไปเดินเล่นในสวน เพื่อคลายฤทธิ์เหล้า
ในตอนที่พวกนางลุกขึ้น ฮุ่ยเทียนก็กระซิบกับฮูหยินเหยาประโยคหนึ่งว่า “ฟ้ามืดแล้ว เดินระวัง ๆ ด้วยล่ะ”
ใบหน้าของฮูหยินเหยาเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ หรงเยว่พูดอย่างทำลายบรรยากาศว่า “ได้ยินแล้ว”
ฮุ่ยเทียนกลอกตามองบนใส่หรงเยว่ไปครั้งหนึ่ง แล้วดื่มกับทุกคนต่อ
บรรดาพี่น้องสะใภ้พูดคุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ค่อย ๆ เดินออกไปช้า ๆ
เมื่อขึ้นไปตามทางเดิน ก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่ในลานที่ล้อมไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ หยวนชิงหลิงเพ่งมองอย่างละเอียดพินิจ ดูเหมือนว่าจะเป็นพระชายาชินเฟิงอัน นางยืนอยู่หลังพุ่มดอกไม้มองดูกลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงหลัก หยวนชิงหลิงตกใจ “พระชายา?”
“ใคร?” ฮูหยินเหยาร้องถาม สายตาก็เหลียวมองตามนางไป “มีคนที่ไหนกัน? พระชายาอยู่ในห้องโถงหลักไม่ใช่รึ?”
หยวนชิงหลิงเพ่งมองอีกครั้ง แต่กลับไม่เห็นแล้ว นางยิ้มเจื่อนๆ “ข้าดื่มมากไป เมาจนตาลายแล้วแน่เลย!”
“เดิมทีเจ้าก็ดื่มเหล้าไม่ได้อยู่แล้ว คืนนี้เล่นดื่มเข้าไปตั้งเยอะขนาดนั้น” หยวนหย่งอี้ว่านาง
อะซี่หลุดหัวเราะคิก “เดิมทีข้าแอบคิดอยู่เชียวว่า จะได้เห็นพี่หยวนเมาแล้วอาละวาด แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางดื่มเข้าไปตั้งเยอะกลับไม่เป็นอะไรเลย”
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปหยิกใต้รักแร้ของอะซี่ “แม่ตัวดี อยากเห็นข้าเมาอาละวาดอยู่เรื่อย”
ทุกคนต่างหัวเราะเฮฮา เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ดังไปทั่วบริเวณ ค่อย ๆเดินตรงไปที่สวนดอกไม้
หยวนชิงหลิงหันกลับไปมอง ยังไม่มีใครอยู่หลังพุ่มดอกไม้นั้นเหมือนเดิม นางจึงแอบถอนหายใจแบบไม่ให้ใครได้ยิน
เวลาเดินหน้าไปไม่หยุดยั้ง มีบางเรื่อง ที่ต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่กลับทำให้คนเราต้องทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง
ที่ข้างหู คำพูดที่อ๋องชินเฟิงอันพูดไว้ก่อนหน้านี้ ยังคงดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด เวลาที่ยังอยู่ด้วยกันได้ ก็จงรักใคร่หวงแหนมันไว้ให้มาก
นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ จับแขนของอะซี่กับฮูหยินเหยา ใช่แล้วล่ะ เวลาที่ยังอยู่ด้วยกันได้ ก็จงรักใคร่หวงแหนมันไว้ให้มาก
“หลังจากแต่งงานกับฮุ่ยเทียนแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?” หยวนชิงหลิงถามฮูหยินเหยา
พระชายาซุนไม่รอให้นางตอบ ก็ชิงหัวเราะก่อนจะพูดว่า “ยังต้องถามอีกรึ? เจ้าดูสิ เห็นอยู่ว่าช่วงนี้นางสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ผิวพรรณก็งดงามมีน้ำมีนวลขึ้นมาก ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาได้มาพบกับฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ต้องดีมาก ดีมาก ๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
“ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาได้มาพบกับฤดูใบไม้ผลิ คืออะไรรึ?” หรงเยว่ถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
“ให้ตายเถอะ เจ้าเป็นถึงเถ้าแก่เนี๊ยะที่เปิดเหลาสุรา ทำไมถึงไม่รู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไรล่ะนี่?” พระชายาซุนหัวเราะร่าอย่างมีเลศนัย
ฮูหยินเหยาอายจนหน้าแดงก่ำ ยื่นมือออกไปฟาดแขนพระชายาซุน โยนคำถามที่เผ็ดร้อนเข้าใส่นางอย่างโกรธเคือง “ในใจเจ้าคิดอะไร ก็พูดว่าคนอื่นเขาอย่างนั้นใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อยสิ ว่าตอนนี้เจ้ารองก็ผอมลงมากแล้ว ใช้งานได้ดีกว่าเมื่อก่อนแล้วหรือไม่ล่ะ?”
“ใช้งานได้ดี ในด้านไหนรึ?” หรงเยว่ถามด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง
พระชายาซุนยื่นมือออกไปกด ๆ ที่มวยผม ยืดหน้าอกเชิดตรง ยกยิ้มจนดวงตาหยีโค้ง “ใช้งานได้ดีขึ้นมากเลยล่ะ”
ทุกคนหัวเราะครื้นเครง
พระชายาซุนก็หัวเราะ พลางแตะที่ข้อศอกของหยวนชิงหลิงด้วย “เจ้าห้าขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว คงจะยุ่งกว่าเมื่อก่อนมาก พอกลางคืนเขายังสามารถดูแลเจ้าได้หรือไม่ล่ะ?”
หยวนชิงหลิงหลุดหัวเราะ กลอกตามองบนใส่นางแล้วพูดว่า “มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยล่ะ?”
พระชายาซุนรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองสามารถขุดเรื่องสัปดนนับร้อยปี มาพูดได้หมดภายในวันเดียวได้เลยทีเดียว!