บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1537 นักฆ่าในวัง
วันนี้นางไม่ได้ออกจากวัง แต่เป็นพระชายาชินเฟิงอันที่เข้าวังมาหานางแทน
หยวนชิงหลิงจำเรื่องที่เห็นเงาร่างในจวนท่านชายสี่เมื่อคืนวานได้ นางรู้ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปเอง บางทีนั่นอาจจะเป็นพระชายาชินเฟิงอันในอีกหลายปีให้หลัง ที่ตั้งใจกลับมาเยี่ยมดูบรรดาคนที่นางห่วงใย
หลังจากเชิญพระชายาให้ไปนั่งที่ห้องโถงหลัก พร้อมกับยกชาไปต้อนรับแล้ว พระชายาก็พูดถึงจุดประสงค์ที่มาตรง ๆ ว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะกลับไปสักครั้ง เจ้ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าส่งต่อหรือมีคำพูดอะไรให้ข้านำกลับไปหรือไม่?”
“ท่านจะกลับไปรึ?” หยวนชิงหลิงตกใจจนผงะ นางไม่ได้บอกว่าจะอยู่ที่นี่หรอกหรือ?
“มีธุระนิดหน่อย ต้องกลับไปสักครั้ง แต่จะกลับมาอยู่นะ” พระชายาพูด
“โอ้!” หยวนชิงหลิงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา เพราะถ้านางไม่กลับมาแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องจะไม่โมโหโกรธาแทบตายเลยรึ?
“หรือไม่เจ้าก็ลองถามเจ้าห้าดูว่า เขาต้องการฝากคำพูดอะไรไปให้เด็ก ๆ หรือไม่ ข้าได้ยินเสด็จปู่ใหญ่ของเจ้าบอกว่า เมื่อคืนพวกเขาคุยกัน เจ้าห้าเอาแต่พูดถึงลูก ๆ อยู่ตลอดเลย คาดว่าเขาคงจะคิดถึงลูก ๆ แทบแย่แล้ว”
“ได้ หลังจากนี้ข้าจะลองถามเขาดู ท่านจะกลับไปเมื่อไหร่รึ? ไปทำอะไรล่ะ?”
“พาฉู่เสี่ยวอู่กลับไปตรวจร่างกาย เมื่อคืนหลังจากที่เขากลับไป เขาก็เอาแต่บ่นว่าปวดหัว พอข้าสอบถามโดยละเอียดถึงรู้ว่าช่วงนี้เขามักจะปวดหัวบ่อย ๆ อันที่จริง เขาควรจะกลับไปตรวจอาการตั้งนานแล้ว ข้าปรึกษากับคุณย่าของเจ้าแล้ว นางก็แนะนำว่าให้กลับไปตรวจสอบดูอีกทีจะดีกว่า ดังนั้นจึงไม่อยากชักช้าเสียเวลา คิดว่าจะไปเลยทันที” พระชายาตอบ
“ปวดหัว? หนักมากหรือไม่?” หยวนชิงหลิงเริ่มเป็นกังวล
พระชายาตอบว่า “ป้องกันไว้ก่อน เผื่อมีบางอย่างไม่ดี ดังนั้นเลยต้องไปตรวจให้เร็วที่สุด ถ้ารู้ปัญหาก็จะได้รักษาได้ทันท่วงที”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างร้อนรน “ใช่ ใช่แล้ว ถ้าอย่างนั้น โสวฝู่ต้องรบกวนท่านเป็นธุระแล้ว ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
พระชายาปรายตามองนางแวบหนึ่ง “การที่เจ้ามาพูดอะไรแบบนี้กับข้า มันทำให้ข้ารู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย เด็ก ๆ ที่ข้าดูแลมาตั้งแต่เล็กจนโต … ช่างเถอะ อย่างไรก็เคยขาดกันไป”
หยวนชิงหลิงมองออกว่า พระชายามีความรู้สึกเสียดายอยู่ เป็นความเสียดายที่นางไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดเวลา
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขาก็ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยกันแล้ว
หยวนชิงหลิงถามว่า “อู๋ซ่างหวงกับเซียวเหยากงจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”
พระชายาตอบว่า “ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าจะพาฉู่เสี่ยวอู่ไปตรวจร่างกาย ก็รีบเก็บข้าวของกันทันทีเลยเชียวล่ะ”
หยวนชิงหลิงหลุดหัวเราะ ใช่แล้ว พวกเขาตกลงกันไว้แล้วว่า จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็จะไปด้วยกัน พวกเขาย่อมตามไปด้วยเป็นธรรมดา
เมื่อเจ้าห้ากลับมากินมื้อกลางวัน หยวนชิงหลิงก็พูดเรื่องที่พระชายาจะกลับไปให้เขาฟัง แล้วถามเขาว่าเขามีคำพูดอะไรที่จะฝากไปให้เด็ก ๆ หรือไม่
หยู่เหวินเห้ามีคำที่อยากพูดเป็นหมื่นเป็นพันคำ แต่เมื่อเขาเขียนลงไป กลับบอกให้ทุกคนตั้งใจเรียน อย่าสร้างปัญหา และไม่ต้องคิดถึงทางบ้านกับพ่อมากจนเกินไปนัก จากนั้น เนื้อหาที่เหลือก็ใช้เรื่องของน้องสาวมาเขียนเติมพื้นที่ให้เต็ม เพื่อไม่ให้จดหมายดูมีคำที่น้อยจนเกินไป
หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ ก็สั่งให้กู้ซือนำไปส่งให้พระชายาด้วยตัวเอง
วันรุ่งขึ้น กลุ่มของพระชายาก็ออกเดินทางไปทะเลสาบจิ้ง
สามวันต่อมา จดหมายก็ถูกส่งไปถึงมือเด็ก ๆ พวกเด็ก ๆ ต่างรีบเข้ามาแย่งกันอ่าน โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับน้องสาว ที่อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ทำให้คิดถึงน้องสาวขึ้นมา
แต่สุดท้าย ซาลาเปากลับหลุดขำออกมา พูดว่า “พ่อบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องคิดถึงเขามากเกินไป พวกเราไม่ได้คิดถึงเขาเสียหน่อย พ่อชอบสำคัญตัวเองผิดอยู่เรื่อยเลย”
ทังหยวนเอามือท้าวคาง “ข้าคิดถึงน้องสาวมากเลย”
เมื่อทังหยวนพูดแบบนั้น เด็ก ๆ ที่เหลือก็พากันท้าวคาง จริงด้วย คิดถึงน้องสาวจังเลย ถ้าน้องสาวอยู่ที่นี่ด้วยจะดีสักแค่ไหนนะ
พระชายาพาโสวฝู่ไปตรวจร่างกาย อู๋ซ่างหวงกับเซียวเหยากงยังคงอาศัยอยู่ที่ตึกหลังเดิม ช่วยดูแลเด็ก ๆ หรือไม่ก็ไปเยี่ยมเยียนดูแลฮ่องเต้ฮุยจง เพื่อแสดงความกตัญญูบ้างเป็นครั้งคราว
ทางด้านเป่ยถัง ลู่หยวนกับเสี้ยวหงเฉิงได้ไปถึงเมืองเฟิงตูแล้ว ทันทีที่ไปถึง พวกเขาก็ทำการปราบปรามพวกกองกำลังที่หลงเหลืออย่างรุนแรง การปราบปรามได้ผลดีมาก แต่กลับทำให้มีพวกเศษซากบางส่วนที่หลบหนีไปได้ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวง
ถึงอย่างไรลู่หยวนก็เป็นขุนนางมือใหม่ ย่อมเทียบไม่ได้กับพวกเดนตายที่ภักดีต่อเหยี้ยนจือหยู ซึ่งมีความคุ้นเคยกับภูมิประเทศมากกว่า พวกเขายังมีเส้นสายที่เชื่อมโยงกันได้อยู่ในเมืองเฟิงตู หลังจากที่พวกนั้นหลบหนีออกไปแล้ว ลู่หยวนถึงค่อยได้รับข่าว เขากังวลว่าพวกนั้นจะไปเมืองหลวงเพื่อลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ จึงรีบส่งพิราบสื่อสารไปที่เมืองหลวงทันที
หยู่เหวินเห้าได้รับข่าวจากพิราบสื่อสาร จึงสั่งให้ตรวจสอบผู้ที่เข้าเมืองหลวงอย่างเข้มงวด ให้ตั้งด่านที่ประตูเมือง เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนจากนอกเมืองจะเข้ามาในเมือง หรือกลุ่มกองกำลังที่มาจากเมืองเฟิงตู จะต้องทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
หยู่เหวินเห้ายังมีความกังวลใจเล็กน้อย ยึดตามคำพูดของท่านชายสี่ที่ว่า คนที่ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเหยี้ยนจือหยูวันนั้น มีหลายคนที่เป็นคนของหวู่หลิน คนกลุ่มนี้ไม่ได้ปกป้องเหยี้ยนจือหยูในวันนั้น คาดว่าคงไม่ได้คิดว่าเรื่องจะรุนแรงถึงขนาดนี้ จนสุดท้ายเกิดเรื่องขึ้นกับเหยี้ยนจือหยู เมืองเฟิงตูก็ถูกอ๋องชินเฟิงอันควบคุมทันที ชั่วขณะนั้นพวกเขาก็คงไม่มีทางเลือก
แต่ถึงอย่างไร สุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือจากเหยี้ยนจือหยู่มานาน พวกชาวยุทธ์มักยึดถือเรื่องความซื่อสัตย์ภักดี ไม่แน่ว่าอาจคิดจะล้างแค้นให้เหยี้ยนจือหยูโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเดนตายที่ยังภักดีกับเหยี้ยนจือหยูยังไม่ได้ถูกจับได้ทั้งหมด นี่ก็นับว่าเป็นอันตรายที่ซ่อนเร้นอย่างหนึ่ง
หยู่เหวินเห้ากังวลใจมาก สาเหตุใหญ่ที่สุดคือ เจ้าหยวนมักจะต้องออกจากวังไปสำนักแพทย์ แล้วติดนิสัยไม่ชอบพาคนคุ้มครองไปด้วย ถ้าเจอเข้ากับการลอบสังหาร หมัดมวยของเจ้าหยวนก็แค่พอไปวัดไปวาได้ มีสิทธิ์ที่จะเกิดเรื่องได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว
ดังนั้น หลังจากการตรวจสอบอย่างเข้มงวด สวีอีกับกู้ซือก็ไปอยู่คอยคุ้มกันหยวนชิงหลิงเวลาเข้าออกวัง เพื่อป้องกันหากมีศัตรูบุกมาโจมตี
อันที่จริง เขาก็พอจะรู้อย่างคลุมเครือว่าภรรยาของเขาไม่ได้เป็นอย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่เพราะเขาเห็นวรยุทธ์แบบหมัดเท้าปักบุปผาของนาง แล้วไม่ส่งคนสักหลาย ๆ คนไว้คอยตามปกป้องนาง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ
แน่นอนว่าหยวนชิงหลิงย่อมไม่คัดค้าน เขาแค่ต้องการความสบายใจก็เท่านั้น
การคัดกรองที่ประตูเมือง ถึงอย่างไรก็มักมีช่องโหว่อยู่เสมอ ท้ายที่สุดแล้วอีกฝ่ายจะปลอมตัวเป็นใคร หรือใช้หลักฐานอะไรมายืนยันตัวตน คนที่เฝ้าประตูเมืองย่อมไม่มีทางรู้ทันได้เลย ระวังตัวไว้ให้มากย่อมเป็นการดี ดังนั้น นางจึงบอกให้ทางจวนเหลิ่งเพิ่มการป้องกันด้วย เพราะกลัวว่าจะมีคนที่จ้องจะทำร้ายท่านป้าเหลิ่ง
หลังจากเข้าออกได้หลายวัน ทุกอย่างล้วนสงบสุขดี หยู่เหวินเห้าไม่ได้คลายใจ สั่งให้คนคอยติดตามหยวนชิงหลิงต่อไป
ที่จริงเขาไม่อยากให้เจ้าหยวนออกไป แต่การปรุงยาที่สำนักแพทย์ก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาก เจ้าหยวนไม่มีทางยอมรับปากไม่ออกไปเป็นการชั่วคราวแน่นอน ดังนั้น จึงทำได้แค่แอบเสริมกำลังการป้องกันเข้าไปอย่างลับๆ
แต่เป้าหมายของศัตรูไม่ใช่ฮองเฮาหยวนชิงหลิง แต่เป็นฮ่องเต้หยู่เหวินเห้า
ในคืนนี้เอง นักฆ่าหลายคนแทรกซึมเข้าไปในวังหลวง ทั้งยังลอบเข้าไปในตำหนักเสี้ยวเยว่ ทหารองครักษ์ประจำพระองค์กับนักฆ่าต่อสู้กันอย่างรุนแรง หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงก็ถูกทำให้ตกใจตื่นไปด้วย หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นแต่งตัว มู่หรูกงกงสาวเท้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท มีนักฆ่าลอบเข้ามาในวัง แต่จำนวนคนไม่มากนัก ทหารองครักษ์ประจำพระองค์สามารถจัดการได้ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “ทำไมเข้าไปในตำหนักเสี้ยวเยว่แล้วก็ยังไม่รู้?”
“วิชาตัวเบาของศัตรูดีเกินไป บวกกับดึกมากแล้ว ทหารรักษาพระองค์ไม่รู้ตัวไปชั่วขณะ ขอฝ่าบาทโปรดทรงประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรูกงกงชันเข่าข้างหนึ่งแล้วตอบ
“ทางเจ้าหญิงมีใครเฝ้าคุ้มครองอยู่บ้าง?”
มู่หรูกงกงตอบว่า “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย พวกนักฆ่าไม่เคยไปที่นั่น หลังจากที่กู้ซือพบนักฆ่า ก็รีบส่งคนไปคุ้มครองพวกเขาทันที เจ้าหญิงจะต้องไม่เป็นไรแน่ นักฆ่าเหล่านี้ดีแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น กระหม่อมเห็นใต้เท้ากู้ซือสามารถคุมตัวพวกนั้นได้เกือบหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของหยู่เหวินเห้าหนักอึ้งจมดิ่ง “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้จับเป็น ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง!”
วังหลวงมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา มีทหารลาดตระเวนอยู่ทุกทิศทุกทาง มันไม่ง่ายที่นักฆ่าจะเข้ามา เว้นเสียแต่ว่าจะมีคนจงใจทำให้เกิดช่องโหว่ แล้วปล่อยมือสังหารเข้ามา
หยวนชิงหลิงก็คลุมเสื้อคลุมเดินเข้ามา พูดว่า “ข้าจะไปดูกวากวาเสียหน่อย”
“ได้ ข้าจะไปกับเจ้า!” หยู่เหวินเห้าตอบ
ทั้งคู่รีบเดินไปตามทางเดิน ตรงไปยังห้องของกวากวา จึงเห็นว่ามีทหารรักษารักษาพระองค์กว่าสิบนายคอยคุ้มครองทางเข้า หมาป่าหิมะกับเจ้าเสือก็อยู่ที่นั่น เมื่อทหารเห็นพวกเขา ก็รีบคุกเข่าลงถวายการคำนับ
“ข้างในมีการเคลื่อนไหวหรือไม่? ทำให้เจ้าหญิงตกใจตื่นหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าถามอย่างกังวล
ทหารตอบว่า “ทูลฝ่าบาท นักฆ่าไม่เคยมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่พวกกระหม่อมมาถึง ล้วนเคลื่อนไหวเบามาก คาดว่าไม่ได้ปลุกให้องค์หญิงตกใจตื่น รวมถึงแม่นมก็ไม่ตื่นเช่นกัน เจ้าหญิงคงจะยังหลับสนิทอยู่ในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ “