บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1540 ต่างกลับมาฉลองปีใหม่
หลังประชุมงานราชการในวันนี้เสร็จ หยู่เหวินเห้าก็สั่งให้เหลิ่งจิ้งเหยียนกับหงเย่รั้งอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรเพื่อคุยธุระกันต่อ
เขาเศร้าโศกรันทดสีหน้าสลดหดหู่ เอาแต่ทอดถอนใจอยู่นาน หงเย่กับเหลิ่งจิ้งเหยียนต่างชำเลืองสายตามองกัน นี่เจ้าตัววางแผนจะทำอะไรไม่ดีอีกแล้วอย่างนั้นรึ?
ส่วนตัวพวกเขาเข้ากันได้ดี ยังคงทำทุกอย่างเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แบบราชากับขุนนาง แต่เป็นเพื่อนที่ปรึกษากันได้
ดังนั้น เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงถามออกไปว่า “เป็นอะไรไปรึ?”
หยู่เหวินเห้ามองทั้งสองคนอย่างเศร้า ๆ ” เหล่าจิ้ง เหล่าหง ไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองแก่ลงไปมากเลย ”
“โอ๋? เจ้าพบว่าเรื่องบนเตียงของเจ้าไปถึงขั้น แม้มีใจแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงแล้วอย่างนั้นรึ?” หงเย่เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม
หยู่เหวินเห้าหยิบปากกาขว้างใส่เขาทันที “เจ้าสิมีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง เจ้ากระทั่งคู่ครองก็ยังไม่มี”
หงเย่หัวเราะเหะ ๆ พูดอย่างเรียบเฉยว่า “แล้วเจ้าถอนหายใจเรื่องอะไรล่ะ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนคล้ายจะเดาอะไรได้แล้ว ดื่มชาด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ “เด็ก ๆ ต่างก็โตกันแล้ว เลยพากันไปห่างจากเขากันหมด เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ได้อย่างไรล่ะ?”
“ไม่ใช่ว่ายังมีลูกสาวของเราอยู่อีกคนหรอกหรือ?” หงเย่พูด
หยู่เหวินเห้าจ้องเขาเขม็ง “เป็นลูกสาวของข้า ไม่ใช่ลูกสาวของเรา”
“ ก็เหมือนกันนั่นล่ะ ของเจ้าหรือของข้าต่างก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน ระหว่างพวกเราไม่ต้องแบ่งแยกชัดเจนขนาดนั้นก็ได้น่า” หงเย่พูดได้เต็มปากอย่างหน้าไม่อาย
“มันเป็นเรื่องของหลักการ!” หยู่เหวินเห้าค้านอย่างหนักแน่น
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดบ้าง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ คลอดอีกคนก็สิ้นเรื่อง”
“นั่นเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองทั้งสองคน “พูดถึงเรื่องนี้ พวกเจ้าก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าควรคิดเรื่องสำคัญของตัวเองแล้วหรือ?”
หงเย่กับเหลิ่งจิ้งเหยียนโวยวายออกมาพร้อมกัน “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!”
หลังจากนั้น ก็พากันลุกขึ้น พลางประสานมือกล่าวลา “ข้ายังมีงานอีกมากที่ต้องรีบไปสะสาง ขอทูลลา!”
พูดแล้วยังอดแสดงท่าทางกรุ่น ๆ ไม่ได้!
หยู่เหวินเห้าเดินหน้าม่อยคอตกกลับไปหาภรรยากับลูกสาว ตอนนี้พอจะมีเวลา ก็ใช้ร่วมกับภรรยาและลูกให้มากก็นับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม
แต่ภรรยาไม่ต้องการให้เขาอยู่เป็นเพื่อน วันนี้หยวนชิงหลิงไปที่จวนอ๋องซู่ เพื่อวัดความดันโลหิต กับวัดค่าระดับน้ำตาลในเลือดให้กลุ่มผู้อาวุโสกลุ่มนั้น โสวฝู่ไปยุคปัจจุบันเพื่อตรวจร่างกาย แม้จะพูดได้ว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เพราะช่วงนี้ทั้งสามคนทั้งกินและดื่มกันตามใจชอบ จนทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงความดันในเลือดสูงขึ้นจนเกินค่าเฉลี่ย
เมื่อมาถึงจวนอ๋องซู่ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกเหมือนว่าได้เข้ามาในบ้านพักคนชราระดับสูงสักแห่ง
มีคนแก่อยู่เยอะมาก
อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาดูแลผิวหน้าได้เป็นอย่างดี แต่อายุอานามของพวกเขาก็ล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว สามยักษ์ใหญ่ที่ยกเว้นแค่หัวใจที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง ก็ยังแก่แล้วด้วยเช่นกัน
นอกจากห้าคนนี้แล้ว ยังมีอ๋องผิงหนานหยู่เหวินจี๋ คู่สามีภรรยาอ๋องชาง ฉางกงกง แม่นมสี่ รวมถึงกลุ่มชายชราชุดดำที่ดูอายุไม่ออกกลุ่มนั้นอีกกลุ่ม ทั้งจวนอ๋องซู่แห่งนี้ เหมือนว่าแทบจะไม่มีคนหนุ่มสาวอาศัยอยู่สักเท่าไหร่เลย
ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางจัดคลินิกเคลื่อนที่ครั้งนี้ขึ้น เพื่อตรวจร่างกายให้พวกเขา
กลุ่มชายชราชุดดำค่อนข้างให้ความร่วมมือดีมาก เมื่อเห็นว่าหยวนชิงหลิงช่วยสามยักษ์ใหญ่วัดความดันโลหิตอย่างไร พวกเขาก็ถกแขนเสื้อ แล้วไปยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ
สาเหตุหลักเป็นเพราะ พระชายาบอกไว้ว่า ขอแค่ทุกคนให้ความร่วมมือในการตรวจร่างกาย รอจนตรวจเสร็จหมดแล้ว ทุกคนก็จะได้กินเนื้อย่าง
หลังจากตรวจร่างกายแล้ว ยกเว้นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสามยักษ์ใหญ่ คนอื่นที่เหลือต่างมีสุขภาพที่ค่อนข้างแข็งแรงสมบูรณ์ดี แค่มีบางคนที่จำเป็นต้องกินยา หรือต้องประคบร้อนเพื่อรักษาพวกแผลเก่าที่มีเท่านั้น
คนแก่ส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในจวนอ๋องซู่ ทุกคนล้วนเคยผ่านการต่อสู้ที่แลกกับความเป็นความตายในสนามรบมาก่อน ตอนที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บในสนามรบ บาดแผลเหล่านั้นไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ลึกถึงกระดูก ก็ทำการรักษาแค่แบบลวก ๆ ให้พอผ่านพ้นไป จากนั้นพอได้พักฟื้นแล้วก็ไม่สนใจมันอีก แต่มาถึงตอนนี้ เมื่ออายุมากขึ้น ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายขยับได้ไม่ค่อยสะดวกขึ้นมาแล้ว
แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตอะไร
อู๋ซ่างหวงคิดถึงพวกซาลาเปามาก เขาบ่นกับหยวนชิงหลิงอยู่พักหนึ่ง ถามว่าพวกเด็ก ๆ จะกลับมาเมื่อไหร่? หยวนชิงหลิงบอกเขาว่า รอให้ถึงปีใหม่จะไปรับพวกเขากลับมา จะได้มาฉลองปีใหม่ที่คึกคักมีชีวิตชีวาด้วยกันสักครั้ง
อู๋ซ่างหวงยังคงบ่นต่ออีกพักหนึ่ง ยังดีที่ในจวนอ๋องซู่ตอนนี้มีคนอยู่เยอะมาก เขาคิดถึงหลาน ๆ บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่นานก็ถูกลากตัวไปเข้ากลุ่ม มีกิจกรรมสนุกสนานเฮฮาให้ทำเรื่อย ๆ
เมื่อหยวนชิงหลิงกลับมาที่วัง ก็คิดอยู่ว่า โชคดีที่พวกเขามาอยู่รวมตัวกันในวัยชรา ไม่อย่างนั้น วัยชราของพวกเขาจะโดดเดี่ยวสักแค่ไหนนะ
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนบินได้ ทุกคนต่างก็ก็ค่อยๆ ชินกับวันเวลาที่ไม่มีเด็กๆ อยู่ข้างกาย เจ้าห้าก็ยุ่งจนไม่มีเวลา ยามเมื่อประชาชนมีเจตจำนงใหม่ ๆ ก็จะจัดทำนโยบายใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับความเป็นไป เดินทางไปยุคปัจจุบันสักครั้ง นอกจากได้เรียนรู้คำศัพท์ทางอินเทอร์เน็ตมาเป็นกระบุงโกยแล้ว ก็ยังได้เรียนรู้กลยุทธ์ในการปกครองประเทศอีกด้วย
การศึกษา การรักษา ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุด
ดังนั้น ในประเทศไม่มีสงคราม จึงจำเป็นต้องสร้างภูมิปัญญาชาวบ้าน ส่งเสริมการศึกษา และปรับปรุงด้านการรักษาพยาบาล
ในด้านของการแพทย์ มีหยวนชิงหลิงกับคุณย่าหยวนเป็นผู้นำในเรื่องนี้
การผลักดันด้านการศึกษา เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้เกิดผลจริง
ไม่มีทางที่ราชสำนักจะผลักดันนโยบายการศึกษาภาคบังคับได้ในขณะนี้ ทำได้เพียงเสนอเรื่องที่ว่า การเรียนหนังสือคือการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เพื่อให้พ่อแม่ยอมให้ลูกได้เข้าสู่การเรียนรู้ในจำนวนที่มากขึ้น
เขาออกระเบียบการ ให้การรับสมัครเด็กเป็นการให้คะแนนการทำงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าอัตราการลงทะเบียนถึงร้อยละห้าสิบ จะบวกคะแนนการทำงานของกรมพิธีการให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
เขาได้ก่อตั้งกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสถานการณ์การศึกษาในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ และมีหน้าที่กำหนดรูปแบบการสอน
การสร้างโรงเรียน เป็นส่วนที่ยากที่สุด
ราชสำนักไม่มีเงินมากพอที่จะสร้างโรงเรียนทั่วประเทศ โดยการบริจาคของประชาชน ราชสำนักกับกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร่วมกันระดมทุน เป้าหมายแรกคือ ให้ทุกมณฑลต้องมีโรงเรียนสองแห่งที่เปิดโดยราชสำนัก
นี่คือแผนสำหรับสิบปีข้างหน้า แต่แผนการในระยะเริ่มแรกค่อนข้างยาก นโยบายใด ๆ ของราชสำนักที่มีการประกาศใช้ออกไป แค่ประกาศนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การปฏิบัติให้ได้ผลจริงมักเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในด้านการศึกษายิ่งยากเป็นเท่าตัว
เป่ยถังเป็นประเทศเกษตรกรรม แม้ว่าในช่วงหลายปีมานี้ การพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการค้าจะประสบผลสำเร็จที่ไม่เลวเลย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังมองไปยังหนึ่งในสามของที่ดินของตนเอง เพราะเขามีความคิดว่า ถ้าหากพวกเขาปลูกอาหารเองได้ ก็จะไม่มีวันหิว ดังนั้น การเรียนหนังสือจึงเป็นเรื่องฆ่าเวลาของพวกคนรวย ส่วนคนจนก็ควรก้มหน้าทำนาต่อไปจะดีกว่า
สาเหตุหลักมาจากค่าเล่าเรียนเมื่อก่อนนั้นสูงเกินไป มีโรงเรียนทุกเมืองทุกมณฑล แต่ค่าเล่าเรียนสูง จำนวนครูมีไม่สม่ำเสมอ คนรวยจะจ้างครูผู้มากความรู้ เพราะอย่างไรก็สามารถจ่ายค่าตอบแทนไหว ในบรรดาครอบครัวชนชั้นสูง ก็ต้องยึดตามการเข้าโรงเรียนที่ราชสำนักจัด ค่าเล่าเรียนก็แพงมากเช่นกัน ทั้งยังต้องดูเรื่องสถานะตัวตนเมื่อจะเข้าเรียนด้วย ลูก ๆ ของพ่อค้าแม่ขายแม้ว่าจะมีเงินก็เข้าเรียนไม่ได้
ดังนั้น เมื่อราชสำนักบอกว่าควรให้ลูก ๆ ไปโรงเรียน ทั้งยังบอกว่าค่าเล่าเรียนค่อนข้างถูก แต่ก็ไม่มีใครมองเป็นจริงเป็นจังนัก เพราะต่อให้ค่าเล่าเรียนถูก แต่ก็จะถูกไปได้สักเท่าไหร่กัน? อย่างไรก็ไม่สู้อยู่บ้านตั้งใจทำงานหาเงิน อย่างไรก็ช่วยแบ่งเบาภาระปากท้องได้มากกว่า
หยู่เหวินเห้ารู้ถึงความยากลำบาก แต่เพื่อให้ประเทศพัฒนาอย่างแข็งแกร่ง ประชาชนจำเป็นต้องได้เปิดหูเปิดตาแสวงหาความรู้ เพราะถ้าความคิดหยุดนิ่งไม่พัฒนา ความรู้ก็จะหยุดนิ่งไม่พัฒนาเช่นกัน
หยู่เหวินเห้ากำลังยุ่งวุ่นวาย ทางด้านหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ว่างเช่นกัน เพราะเรื่องการรักษาพยาบาลก็มีความสำคัญมากไม่แพ้กัน
สองคนสามีภรรยายุ่งมากจนส้นเท้าแทบไม่แตะพื้น แต่ก่อนยังเคยพูดกันว่า ปีหนึ่งคงพอจะกลับไปเยี่ยมลูกได้สักสองสามครั้ง แต่ตอนนี้พอยุ่งขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าที่เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นเพราะตัวเองไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ
วันเวลาผ่านไปอย่างวุ่นวายหัวหมุน เดือนสิบสองก็วนมาถึง
เด็ก ๆ จะปิดเทอมประมาณวันที่ยี่สิบของเดือนสิบสอง หยวนชิงหลิงจึงต้องเดินทางไปสักครั้ง เพื่อรับพวกเด็ก ๆ กลับมาฉลองปีใหม่ เดิมทีก็คิดไว้ว่าจะรับพ่อแม่กับพี่ชายมาด้วย แต่ติดที่พวกเขาไปไม่ได้ เพราะวันหยุดของหมอช่างน้อยนิดเหลือเกิน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปครั้งละเป็นครึ่งเดือนหรือเป็นเดือน ๆ
ครอบครัวกลับมารวมกันอีกครั้งหลังจากแยกกันไปหลายเดือน แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีความสุขมาก เด็ก ๆ ทั้งห้าหลังจากได้ไปโรงเรียน ก็เหมือนจะรู้ความมากขึ้น เมื่อพวกเขากลับมาก็เรียบร้อยน่ารัก เชื่อฟังพ่อแม่อย่างมาก
เดิมทีหยู่เหวินเห้าคิดว่าจะรอให้พวกเขากลับมา แล้วค่อยสะสางบัญชีเรื่องที่ชักนำกวาจื่อไปยุคปัจจุบัน แต่เพราะเรื่องนี้ผ่านไปนานมากแล้ว บวกกับการได้กลับมาพบกันที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อเห็นเด็ก ๆ ทำตัวเรียบร้อยน่ารักเช่นนี้ เขาก็ตัดใจดุด่าไม่ลง
เรื่องนี้ ก็ถือเสียว่าให้มันจบไปแบบนี้ก็แล้วกัน
ในช่วงฉลองปีใหม่ เดิมทีพวกเขาจะต้องพาสามยักษ์ใหญ่เข้าวังเพื่อไปร่วมกินมื้อค่ำด้วยกัน ถึงกับบอกไปทางไท่ซ่างหวงล่วงหน้าแล้วด้วย ไท่ซ่างหวงก็จะเสด็จกลับมาที่วังเช่นกัน
แต่เมื่อถึงวันที่ยี่สิบแปด หยวนชิงหลิงไปรับเขาด้วยตัวเอง พวกเขากลับบอกว่าจะไม่กลับไปร่วมกินมื้อค่ำแล้ว ให้กินที่จวนอ๋องซู่แทน
สุดท้าย หยู่เหวินเห้าก็พาทั้งครอบครัว บรรดาท่านอ๋องก็พาทั้งครอบครัว ท่านหมิงก็พาพวกฮู่เฟยและครอบครัว ยกโขยงกันไปที่จวนอ๋องซู่เพื่อฉลองปีใหม่กันอย่างพร้อมหน้า
จวนอ๋อซู่ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการฉลองปีใหม่อย่างยิ่ง ทั้งบรรยากาศที่เป็นใจ นอกจากโคมที่ประดับอยู่จนเต็มสวนแล้ว ยังมีพลุประทัดแขวนอยู่รอบ ๆ กำแพงจวน เห็นว่าจะรอให้ถึงยามจื่อ ก็จะจุดพลุประทัด เด็ก ๆ ต่างตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ เฝ้ารอให้ถึงเวลาจุดพลุประทัดอย่างใจจดใจจ่อ