บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1544 เด็กที่ส่งมอบให้ใต้เท้าเหลิ่ง
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1544 เด็กที่ส่งมอบให้ใต้เท้าเหลิ่ง
เรื่องการแต่งงานของใต้เท้าเหลิ่ง สองสามปีมานี้ก็เอ่ยถึงแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ใช้ข้ออ้างพิลึกบอกปัดไป
ครั้งแรกบอกว่ากำแพงบ้านล้มลงอย่างไม่มีสาเหตุ บอกว่าเป็นลางร้าย บางทีอาจเป็นการเตือนจากสวรรค์ รากฐานยังไม่มั่นคง จะมีครอบครัวไม่ได้
ครั้งที่สอง ฮูหยินเหลิ่งเพิ่งจะหาแม่สื่อ ยังไม่ทันได้ไปเจรจาการแต่งงาน ใต้เท้าเหลิ่งก็ไข้ขึ้นสูงติดกันถึงสามวัน เขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา จะขัดต่อฟ้าไม่ได้
ครั้งที่สาม สุนัขแก่ในจวนตาย ใต้เท้าเหลิ่งบอกว่าต้องไว้ทุกข์ สามปีนี้ไม่เหมาะจะแต่งงาน นี่ทำเอาฮูหยินเหลิ่งโมโหสุดเหวี่ยง หยิบไม้พลองไล่ตีเขาทั่วบ้าน บอกว่าจะตีเขาให้ตาย
ครั้งที่สี่ยิ่งไม่มีเหตุผลไปกันใหญ่ ขณะที่ตื่นมาในตอนเช้า คิ้วก็ถูกโกนไปข้างหนึ่งไปเสียอย่างนั้น ขนคิ้วนั้นคือดวงชะตา ไม่ต้องพูดมาก ต้องเป็นข้ออ้างไม่เหมาะเจรจาแต่งงานของเขาอยู่แล้ว
ฮูหยินเหลิ่งยอมแพ้แล้ว ขับไล่เขาไปพักอยู่ที่จวนโสวฝู่ของเขา แล้วเอ่ยวาจาหนักกับเขา “เจ้าก็อยู่คนเดียวไปจนตายเถอะ!”
ใต้เท้าเหลิ่งถอดถอนใจ “ดูท่า…นี่คงเป็นชะตาชีวิตของลูกแล้ว”
หลังจากเขาย้ายไปพักอยู่ที่จวนโสวฝู่ ฮูหยินเหลิ่งก็ไม่พยายามเรื่องการแต่งงานของเขาอีก แต่ดูว่าเด็กคนไหนในตระกูลฉลาดหลักแหลม รับมาเป็นสืบต่อจากเขา เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าไร้ทายาทแล้ว
นางไปถามเหลิ่งจิ้งเหยียนด้วยตัวเอง ตอนแรกเหลิ่งจิ้งเหยียนอยากปฏิเสธไป แต่ฮูหยินเหลิ่งยื่นคำขาด “หากเจ้าไม่ยอม ข้าก็จะไปแขวนคอตายเสีย!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนถอนหายใจอีก “เช่นนั้นก็สุดแต่ท่านจะจัดการเถอะ!”
ฮูหยินเหลิ่งเลือกเด็กผู้ชายห้าขวบคนหนึ่งในตระกูล เด็กคนนี้ชีวิตลำเค็ญ มีพี่ชายห้าคน พ่อเสียไปตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง ย่าจึงบอกว่าเขาดวงไม่ดี นำมาซึ่งความอัปมงคล จึงปฏิบัติกับเขาไม่ดี
ปีที่แล้วแม่ล้มป่วยตาย ชีวิตของเขาจึงยิ่งลำบาก เด็กห้าขวบ ผอมอย่างกับเด็กสามขวบ หนังหุ้มกระดูก เนื้อตัวมอมแมม
เดิมทีฮูหยินเหลิ่งไม่ได้ถูกใจเขา แค่ได้ยินเรื่องของเด็กคนนี้จากผู้ใหญ่ในตระกูล จึงอดเอ็นดูเป็นไม่ได้ คิดจะบริจาคช่วยเหลือสักหน่อย แต่เมื่อได้พบเด็กคนนี้แล้ว นางก็ไม่อาจละสายตา เด็กคนนี้ ช่างน่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ
นางจึงเสนอจะรับเด็กคนนี้เป็นลูกของเหลิ่งจิ้งเหยียน ครั้นปู่ย่าของเด็กคนนั้นได้ฟังแล้วก็ดีใจจนเนื้อเต้น ส่งเด็กคนนี้มาที่จวนโสวฝู่ในคืนวันนั้นเลย ทิ้งไว้แล้วก็ไป
เดิมการรับเลี้ยงยังต้องมีขั้นตอนเล็กน้อย ฮูหยินเหลิ่งคิดว่าเดินเรื่องแล้วค่อยรับเด็กคนนี้มา ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาเอาเด็กมาทิ้งไว้ที่จวนโสวฝู่ทันที ฮูหยินเหลิ่งโกรธจนด่าพ่อล่อแม่
นางไปจวนโสวฝู่ด้วยตนเอง ทำความสะอาดเด็กคนนี้จนสะอาดสะอ้าน ให้ช่างตัดเย็บทำชุดให้เด็กคนนี้ แต่การวัดตัวตัดต้องใช้เวลาอีกวันสองวันจึงจะมีชุดใส่ เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงเข้าวังขอชุดเก่าของพวกโค้ก เซเว่นอัพกับหยวนชิงหลิง
พอหยวนชิงหลิงได้ยินว่าใต้เท้าเหลิ่งรับเลี้ยงเด็ก ยิ่งพอรู้ว่าเด็กคนนี้ผอมจนน่าสงสารมาก ก็ให้เหลิ่งจิ้งเหยียนนำตัวเข้าวังในวันรุ่งขึ้น ตรวจร่างกายให้เขา ที่ต้องบำรุงก็บำรุง ที่ต้องรักษาก็รักษา
เหลิ่งจิ้งเหยียนไม่มีความรู้สึกอะไรกับเด็กคนนี้ แต่พวงแก้มที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ตาโตหวาดกลัวสองดวงที่ฝังอยู่ยังทำให้เขารู้สึกเอ็นดูขึ้นมา ดังนั้นจึงพาเขาเข้าวังด้วยตนเอง
เด็กห้ามขวบ ถูกขังอยู่ในบ้านตลอด ไม่รู้เรื่องผู้คนและเรื่องราวที่อยู่ภายนอก และไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ รู้แต่เพียงรอยยิ้มของหยวนชิงหลิงเป็นมิตรน่าเข้าหา ดังนั้นเขาจึงไปหลบอยู่ข้างตัวหยวนชิงหลิงตามจิตใต้สำนึก
เด็กขาดสารอาหารขั้นรุนแรง บนศีรษะมีเหา มีฝี ยื่นมือแตะเขาก็เจ็บแล้วก็หลบ เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงตำหนิเขา “นั่งดีๆ ห้ามขยับ!”
สีหน้าเหลิ่งจิ้งเหยียนออกไปทางเย็นชืด การพูดก็ค่อนข้างน่าเกรงขาม เด็กจึงกลัวไม่กล้าขยับ ทว่าดวงตากลับมีน้ำตาคลอ ร่างกายก็สั่นเทาหนัก
หยวนชิงหลิงเงยหน้ามองเหลิ่งจิ้งเหยียน “เจ้าออกไป!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงได้แต่ออกไป
หยวนชิงหลิงปลอบเขาเล็กน้อย แล้วเอาของเล่นของเด็กๆ ในสมัยก่อนให้เขา แล้วโกนผมให้เขาอย่างละเอียด ทำความสะอาดฝีบนศีรษะเขา เด็กกัดฟันตลอด ไม่กล้าร้องเจ็บสักคำ
อย่างไรการเล็มฝีออกก็ทรมานมาก ครั้นทำความสะอาดเสร็จ เด็กก็หลั่งน้ำตามาหยดหนึ่ง จากนั้นก็กล้ำกลืนลงไปอย่างฝืนทน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเหลิ่งจิ้งเหยียนเข้ามาอีกครั้ง เขาก็สั่นระริก กัดริมฝีปากแน่น หลุบนัยน์ตาที่ตื่นตระหนกทันที
“ตั้งชื่อแล้วหรือยัง?” หยวนชิงหลิงถามเหลิ่งจิ้งเหยียน
“ก่อนจะส่งตัวมาเห็นว่าชื่อเฉียงจื่อพ่ะย่ะค่ะ หลังจากส่งมาแล้วก็จะเปลี่ยนชื่อ แต่ยังไม่ทันได้คิดพ่ะย่ะค่ะ!” เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ย
“อือ!” เขาเคยเป็นหัวหน้าของกั๋วจื่อเจียน มีความรู้ ย่อมตั้งชื่อที่ดีให้เด็กได้แน่
แต่เหลิ่งจิ้งเหยียนหลับมองนาง “ฮองเฮาก็ประทานชื่อให้เขาสิพ่ะย่ะค่ะ? อาศัยบารมีแห่งราชวงศ์ สมัยก่อนเด็กคนนี้ลำบากมากพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้า?” หยวนชิงหลิงชะงักงัน เมื่อวานนี้ตอนเข้าวังมาเหลิ่งจิ้งเหยียนก็ได้บอกเล่าชาติกำเนิดของเด็กแล้ว นางฟังแล้วก็ปวดใจนัก เอ็นดูเด็กคนนี้มาก
“ฮองเฮามีบุญบารมีสูงส่ง ตั้งชื่อให้เขา ถือเป็นวาสนาของเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ย
หยวนชิงหลิงยังไม่ทันร้อยเรียง หยู่เหวินเห้าก็กลับมาพอดี ได้ยินว่าจะตั้งชื่อให้เด็ก จึงเอ่ยปากไป “เช่นนั้นก็ชื่อเหลิ่งหมิงหยู่ก็แล้วกัน ปณิธานสูงส่งยาวไกล เป็นที่ตะลึงในคราเดียว ส่วน ‘หยู่’ ก็มีความหมายว่าประทาน ชื่อข้าก็มีตัวนี้เช่นกัน”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองเด็กแวบหนึ่งชืดๆ “ยังไม่คุกเข่าขอบพระทัยที่ทรงประทานชื่ออีก?”
เด็กถลาลงไปคุกเข่าทันที เขาไม่รู้ว่าการที่ฮ่องเต้ประทานชื่อเป็นบุญขนาดไหน เพียงแต่เกรงกลัวเหลิ่งจิ้งเหยียนเท่านั้น
หยู่เหวินเห้ายื่นมือฉุดเขาขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว พ่อเจ้าไม่ดุสักนิด เขาดีกับทุกคนมาก”
เด็กถอยไปขดตัวเล็กน้อย ยืนอยู่ข้างตัวหยวนชิงหลิง อย่างไรเขาก็ยังตื่นคน
ครั้นเหลิ่งจิ้งเหยียนพาเด็กกลับจวน เด็กก็เอาแต่หลบหลีกเขา กลัวหัวหด ทำให้เหลิ่งจิ้งเหยียนโมโหมาก
ทีแรกฮูหยินเหลิ่งคิดจะให้พวกเขากลับมาพักที่จวน แต่ก่อนหน้านี้ไล่เขาออกไป เวลานี้จะบากหน้าให้เขากลับมาก็ไม่ได้ ทั้งนางจะพาตัวเด็กไปทันทีก็ไม่ได้อีก ในเมื่อเด็กมาเป็นลูกของเขา ก็ต้องให้สนิทสนมกับเขาจึงจะถูก มิเช่นนั้นต่อไปใครจะเลี้ยงดูเขายามแก่เฒ่าเล่า?
ฮูหยินเหลิ่งรู้สึกว่าตนลำบากจริงๆ เรื่องบั้นปลายชีวิตตัวเองยังไม่ได้จัดการ ก็ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะไม่มีใครดูแลตอนแก่
ผ่านไปเช่นนี้หนึ่งเดือนเศษ เด็กก็ยังกลัวเขามาก กระทั่งไม่กล้าพูดทั้งวัน หากมิใช่เคยได้ยินเขาพูดในสมัยก่อน คนในจวนยังนึกว่าเขาเป็นใบ้
วันนี้หงเย่มาหาเหลิ่งจิ้งเหยียน เหลิ่งจิ้งเหยียนให้คนพาตัวเหลิ่งหมิงหยู่มา ให้เขาพบแขกสักหน่อย อย่าเอาแต่เก็บตัว
เหลิ่งหมิงหยู่ออกมาแบบกลัวหัวหดเหมือนเดิม แต่เมื่อเห็นลิงที่อยู่บนบ่าของหงเย่แล้ว นัยน์ตาเขาก็เผยความชอบออกมา แม้ไม่กล้าพูด แต่กลับไม่ซ่อนตัวอีก จ้องมองลิงอยู่หลายครั้ง
ครั้นเหลิ่งจิ้งเหยียนเห็นดังนั้นจึงเอ่ย “หงเย่ ให้ข้ายืมลิงสักสองสามเดือนแล้วกัน”
หงเย่มองออกว่าเหลิ่งหมิงหยู่ชอบลิง เลิกคิ้วมองเหลิ่งจิ้งเหยียน “เจ้าดุเช่นนี้แหละ เด็กถึงได้กลัวเจ้า เจ้าอย่าเอาแต่ทำหน้าขรึมทั้งวันสิ ลิงให้เจ้ายืมไม่ได้ มันจะไม่แยกจากข้า ไว้ข้าว่างแล้วจะพามันมาแล้วกัน”
เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ยเรียบ “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่มาพักที่นี่เสียเลยเล่า?”
หงเย่ผงะเล็กน้อย มองเขา “เจ้าเชื้อเชิญข้ามาอยู่ที่นี่หรือ?”
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ตัวคนเดียว แต่ก็แล้วแต่เจ้า อยากมาก็มา ไม่อยากก็ไม่ฝืน!” น้ำเสียงเหลิ่งจิ้งเหยียนยังคงเรียบ
หงเย่ชอบเด็ก เขาจึงว่า “ให้ข้ามาน่ะได้ แต่เด็กต้องรับข้าเป็นพ่อบุญธรรมนะ!”
“ตามใจเจ้า!” เหลิ่งจิ้งเหยียนมองหงเย่ เอ่ยเรียบ แต่พอหันหลังไป คิ้วตาก็มีความยินดีเล็กน้อยอย่างไม่ให้ใครเห็น
หงเย่อุ้มลิง แลตามองล่าง มีประกายวับแวมถูกเก็บซ่อนเอาไว้