บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1548 เพลิงไหม้คืนก่อนปีใหม่ไม่ใช่ข้าปล่อย
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1548 เพลิงไหม้คืนก่อนปีใหม่ไม่ใช่ข้าปล่อย
หลังจากหยวนชิงหลิงไปแล้ว อ๋องอานก็นอนอยู่บนเตียง มองชายาที่ยุ่งงวดอยู่ข้างเตียงเงียบๆ แล้วเอ่ยลอยๆ “หากบอกว่าหลายปีมานี้ ข้าเคยคิดเสียใจในเรื่องเก่าก่อนเมื่อใด เช่นนั้นก็คือเวลานี้”
พระชายาอานประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดจึงเป็นเวลานี้? ข้านึกว่าเจ้าเสียใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเสียอีก”
“เมื่อก่อนที่ว่าเสียใจ มากน้อยก็เพราะสถานการณ์บังคับ แต่เวลานี้ข้าเสียใจจริงๆ พอเห็นเด็กๆ ดีกับข้าแล้ว ความแค้นรุ่นก่อนมิได้สืบต่อถึงรุ่นหลัง เจ้าห้ากับชายาต้องมีจิตใจกว้างขวางเพียงใด หากพวกเขามีใจคิดแค้นข้าสักนิด เด็กๆ ก็คงไม่ดีกับข้าเช่นนี้”
พระชายาอานนั่งลง ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
อ๋องอานกุมมือนาง ฝืนหัวเราะไป “ตอนนี้ใจข้ารู้สึกโชคดียิ่งนัก ดีที่ไม่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซาบซึ้งในโอกาสที่เสด็จพ่อกับเจ้าห้ามอบให้ มิเช่นนั้น ข้าหรือจะได้มีวันเวลาดีๆ อย่างตอนนี้?”
พระชายาอานถอนหายใจเบา “แต่แขนของเจ้า อาการบาดเจ็บของเจ้า แล้วยังความเจ็บปวดทรมานหลายปีนี้ จะนับเป็นวันเวลาดีได้อย่างไร?”
“นับ!” อ๋องอานกุมมือนางแน่น “นี่แหละถึงเป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ ความลำบากทางกายเล็กน้อยเท่านั้น”
พระชายาอานอมยิ้ม เอ่ย “เจ้าสบายใจก็พอ”หลังจากหยวนชิงหลิงพาเด็กๆ ออกจากจวนอ๋องอานแล้วก็ไปยังจวนอ๋องซู่ เนื่องจากอีกไม่กี่วันเด็กๆ ก็ต้องกลับไปแล้ว นางต้องพาพวกเขามาพบเสด็จทวดสักหน่อย
จวนอ๋องซู่ยังคงครึกครื้นอย่างเคย ครั้นเห็นเด็กๆ มา พวกเขาก็ดีใจมาก อู๋ซ่างหวงจูงกวากวา สำรวจแล้วสำรวจอีก อย่างไรก็ว่ากวากวาซูบลง
กวากวารักคนแก่ ปากหวาน จึงหยอกจนทุกคนจนอารมณ์ดี
หยวนชิงหลิงมาครั้งนี้ ย่อมต้องวัดความดันให้ทุกคน สอบถามสภาพร่างกาย
เด็กๆ จึงพากันไปเล่น
กวากวาไม่ได้อยู่กับพวกพี่ชาย แต่ไปยังสถานที่ที่เคยเกิดเพลิงไหม้เพียงลำพัง
ที่นี่ซ่อมแซมเสร็จแล้ว เจ้าห้าชดใช้เงิน พวกเขาคนมากกำลังเยอะ ก่อสร้างหอที่ถล่มลงมาด้วยตนเอง ทั่วทั้งบริเวณใช้อิฐเสียและไม้ ใช้วัสดุราคาถูก และเพราะพวกเขาลงมือทำกันเองจึงแทบไม่มีค่าแรง
กวากวาวนรอบจุดนั้นรอบหนึ่ง ประกายรอยยิ้มอยู่ในดวงตามากขึ้นเรื่อยๆ หมุนตัวกลับสักพักแล้ว ประกายก็กะพริบอีก กระทั่งนางเดินออกมาไกลสามจั้ง ด้านหลังก็เกิดแสงไฟพุ่งขึ้นท้องฟ้า!
เพลิงไหม้พัดโหมกระหน่ำ กว่าบรรดาชายชุดดำจะหิ้วถังน้ำมาก็เผาไปเกือบหมดแล้ว
ในเวลาเดียวกันก็เป็นเพลิงไหม้ที่มีขอบเขตมาก ไหม้แต่จุดตรงนั้น แต่ไม่ลามไปยังต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ
กวากวากลับเรือนทิงหยู่เซวียนของอู๋ซ่างหวง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อู๋ซ่างหวงกับหยวนชิงหลิงต่างรู้ว่าด้านนอกเกิดเพลิงไหม้ เดิมไม่ได้นึกโยงไปถึงกวากวา เพราะนางอยู่กับฉีฮั่วนานขนาดนี้ รู้ว่าต้องควบคุมไฟอย่างไร และนางก็มิใช่คนจิตใจโหดร้าย จะไม่วางเพลิงโดนไร้สาเหตุ
แต่พออ๋องชินเฟิงอัน ชายาและกลุ่มชายชุดดำหิ้วถังน้ำเดินมาอย่างโมโหเดือดแล้ว หยวนชิงหลิงก็มองไปทางกวากวาทันที คงไม่ใช่…?
กวากวานั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือถือจอกน้ำ ร่างเล็กกินที่ไม่ถึงครึ่งเก้าอี้ แลดูเรียบร้อยเชื่อฟัง
อ๋องชินเฟิงอันมองกวากวา นัยน์ตามีความดุดัน “เจ้ากวา! ใช่เจ้าวางเพลิงหรือไม่?”
อู๋ซ่างหวงปกป้องโดยสัญชาตญาณ “เหตุใดจึงคิดว่าเป็นนาง? นางอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ได้ออกไปไหน พี่เหว่ยท่านอย่าได้ใส่ความนะ”
อ๋องชินเฟิงอันพูดด้วยความโมโห “เจ้าอย่าคิดจะปกปิดให้นางนะ องครักษ์เงาดำต่างเห็นว่านางออกมาจากที่เกิดเหตุ”
หยวนชิงหลิงมองกวากวา เคืองเล็กน้อย “ใช่เจ้าหรือไม่?”
กวากวาวางจอกแล้วกระโดดลงมา ย่อคำนับทางอ๋องชินเฟิงอัน รอยยิ้มหวานเปื้อนอยู่เต็มใบหน้าพริ้มเพรา “เสด็จลุงทวดเพคะ จนหม่อมฉันโตมาขนาดนี้ เคยวางเพลิงที่จวนอ๋องซู่แค่ครั้งเดียวนะ เสด็จลุงทวดก็ทรงทราบ ใช่ไหมเพคะ?”
อ๋องชินเฟิงอันผงะ มองกวากวา ทันใดนั้นก็พูดไม่ออก
พระชายาเฟิงอันจึงตงิดใจขึ้นมา ยื่นมือลากอ๋องชินเฟิงอัน “คืนสิ้นเมื่อหลายปีก่อน ที่เกิดเพลิงไหม้เพราะกวากวาเป็นผู้วางเพลิง บัดนี้ก็เกิดเพลิงไหม้อีก แต่นางกลับบอกว่านางวางเพลิงแค่ครั้งเดียว เจ้าว่ามันเป็นเพราะเหตุใดกัน?”
ครั้นพระชายาถามเสียงเข้ม อ๋องชินเฟิงอันก็ชะงัก “เออ…ช่างเถอะ เด็กไม่รู้ความ แยกย้ายๆ!”
พระชายาฉุดแขนเขา ลากเขาเดินออกไปข้างนอก “เจ้าออกมาพูดให้ชัดๆ เลยนะ มันอย่างไรกันแน่ เจ้ากลัวอะไร?”
เสียงของอ๋องชินเฟิงอันดังแว่วมาแต่ไกล “ข้าเปล่า เจ้าปล่อยมือสิ!”
“ไม่ได้กลัว? เป็นผัวเมียมาหลายปี เจ้าหลบสายตาแวบเดียวข้าก็รู้ว่าเจ้าคิดอะไรแล้ว เพลิงไหม้เมื่อหลายปีก่อนกวากวาไม่ได้เป็นคนทำ ใช่หรือไม่?”
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่านางเป็นคนทำนี่” อ๋องชินเฟิงอันโต้กลับ
“แต่เจ้านำคนไปขวางเจ้าห้าไว้ ให้เขาชดใช้!”
“ไม่เกี่ยวกับข้า ฉีฮั่วบอกว่าพลังนางแกร่งกล้า มิติเวลาคั่นกลางสะกดไม่อยู่ ต้องส่งไปไวหน่อย หากบอกเจ้าห้าตรงๆ เขาต้องไม่ยอมแน่ ข้าก็ทำเพื่อกวากวา…”
“ไม่ถูก พอกวากวาไปแล้ว ฉีฮั่วยังให้แพะย่างเจ้ามาอีกหลายตัว…”
“ก็แค่อังเอิญ…”
เสียงท้าย คนในเรือนทิงหยู่เซวียนก็ไม่ได้ยินเสียแล้ว สามใหญ่กับหยวนชิงหลิงมองกันไปมองกันมา หมายความว่าอะไร?
เพลิงไหม้ในคืนก่อนวันปีใหม่ตอนนั้น กวากวาไม่ได้เป็นคนทำ?
ทุกคนมองทางกวากวา กวากวากลับไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว ยกน้ำชา ดื่มอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางๆ ดวงตาก็กระหยิ่มยิ้มย่องแบบแนบเนียนด้วย
สุภาพชนล้างแค้น สิบปียังไม่สาย
เพลิงไหม้ในครั้งนั้น นางไม่ได้ทำจริงๆ แต่ตอนนั้นแก้ต่างไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมีไม่กี่คนที่สามารถจุดเพลิงข้ามอากาศได้
หยวนชิงหลิงผ่อนลมเบาๆ มองกวากวา “ก่อนหน้านี้ เสด็จพ่อยังเข้าใจเจ้าผิดไป”
กวากวาส่ายหน้านิดๆ “เสด็จแม่ ตอนนั้นหม่อมฉันก็ยอมไปก่อนเองเพคะ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ข้ารู้ ข้ารับรู้ได้ถึงความคิดเจ้าในตอนนั้น เจ้าอยากไปอยู่เป็นเพื่อนพวกพี่ๆ ใช่หรือไม่?”
กวากวากลับส่ายหน้าเบาๆ ภายในนัยน์ตาที่ราวกับหินอัคนีมีความอ่อนโยนที่ไม่ควรมีในวัยนี้ปกคลุมอยู่ “หม่อมฉันอยากไปอยู่เป็นเพื่อนท่านยาย ท่านตาเพคะ พวกเขาอาจมีเวลาไม่มาก หม่อมฉันย่อมไม่อยากจากเสด็จทวด แต่ที่นี่ยังมีเสด็จพ่อ เสด็จแม่ เสด็จลุงและเสด็จอาอยู่ แล้วยังมีพี่น้องคนอื่นๆ แต่ท่านยายมีแต่พวกเราเพคะ แม้แต่เสด็จแม่ก็ไม่อาจอยู่ข้างกายพวกเขาได้”
หยวนชิงหลิงตะลึงงัน ปวดใจขึ้นมาทันที น้ำตาเอ่อล้น นางไม่เคยคิดมาก่อนว่ากวากวาในตอนนั้นจะมีความคิดเช่นนี้ได้
แม้แต่สามใหญ่ก็ตะลึงด้วย อึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วก็มองกวากวาด้วยความรักความเมตตา เหตุใดเด็กคนนี้จึงรู้ความเช่นนี้นะ?
กวากวาลุกขึ้นยืน กอดหยวนชิงหลิง เอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นการตัดสินใจจากการหารือของพวกเราพี่น้องเพคะ พวกเราไปอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านยายสิบปีแล้วค่อยกลับมาอยู่เป็นเพื่อนพวกท่าน เสด็จแม่ไม่อาจกตัญญูกับพวกเขาทางนั้นได้ เราจะช่วยท่าน ทำแทนท่าน ไม่ให้ท่านมีเรื่องค้างคาใจเพคะ!”
หยวนชิงหลิงกอดนางขวับ สะอื้นไม่เป็นเสียง
กวากวาก็ตาแดงด้วย ผลักมารดาออกเบาๆ เช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้นาง แล้วเอ่ยอย่างแสนอ่อนโยน “เสด็จแม่ไม่ร้องไห้เพคะ อีกไม่นานหม่อมฉันกับพวกพี่ๆ ก็โตแล้ว กลับมากตัญญูต่อเสด็จแม่กับเสด็จพ่อได้ แล้วยังมีพวกเสด็จปู่ทวดอีก เอาไว้พวกเราได้กลับมาจริงๆ แล้ว เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็มิต้องลำบากขนาดนั้นแล้วเพคะ”
“ได้ ได้!” หยวนชิงหลิงกลับไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่สะเทือนใจและปลื้มปีติถึงที่สุด
อู๋ซ่างหวงก็สะเทือนใจมากเช่นกัน กวักเรียกกวากวา จับมือนางพูดเสียงแห้ง “เด็กดี ยากนักที่เจ้าจะมีความคิดเช่นนี้”
กวากวากอดคออู๋ซ่างหวง เข้าชิดกับตัวเขา “กวากวายังไม่ได้ขอบพระทัยเสด็จปู่ทวดอย่างเป็นทางการที่ประทานเหมืองทองให้เลย เอาไว้กวากวากลับมาแล้วจะดื่มเหล้าเป็นเพื่อนพระองค์นะเพคะ”
“ได้ ได้!” อู๋ซ่างหวงดีใจมาก พูดติดๆ “ข้าจะรอเจ้า รอพวกเจ้ากลับมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อน!”
ฉู่เสี่ยวอู่กับเซียวเหยากงเห็นแล้ว ต่างก็รู้สึกปลาบปลื้มถึงที่สุด