บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1549 ข้านอนที่นี่ได้ไหม
ช่วงค่ำขณะที่หยู่เหวินเห้ากลับตำหนักเสี้ยวเยว่ ก็เห็นเจ้าหยวนนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนไดอารี่ไปน้ำตาร่วงไป สะดุ้งโหยงพลัน เขารู้ว่าวันนี้เจ้าหยวนออกวังไปรักษาให้พี่สี่ นึกว่าพี่สี่ทำให้นางน้อยอกน้อยใจ ทันใดนั้นจึงเดินฉับเข้าไปกอดนาง โกรธจัด “เขาทำเรื่องอะไรอีก? หรือว่าพูดอะไรไม่ดีทำให้เจ้าเสียใจหรือ?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า หันกลับไปกอดเขา “อย่าเพิ่งใจร้อน ไม่ใช่ เขาไม่ได้พูดอะไรไม่ดี”
เจ้าห้าเช็ดน้ำตาให้นาง เมื่อเห็นน้องร้องไห้จนตาแดงก่ำ ก็เอ่ยถามด้วยความปวดใจ “เช่นนั้นมันเรื่องอะไรกัน? เจ้าไม่ร้องไห้มานานแล้วนะ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้มานั่งร้องไห้ในตำหนักได้?”
หยวนชิงหลิงดึงเขานั่งลง บอกเล่าคำพูดที่กวากวาเอ่ยให้เขาฟังทุกคำ ครั้นพูดจบก็อดร้องไห้อีกไม่ได้ “เจ้าห้า นางช่างรู้ความจริงๆ ยังรู้จักชดเชยเรื่องคาใจของข้าอีก”
เจ้าห้าปวดใจเหลือแสน ถอนหายใจยาว “ข้าเคยพูดแรงกับนาง ก็เพลิงไหม้ที่จวนอ๋องซู่ครั้งนั้น ข้านึกว่านางเป็นคนทำ ตำหนินาง ที่จริงพอส่งนางไปแล้ว ทุกครั้งที่ข้านึกถึงนางก็มักเสียใจที่ตอนนั้นเสียงหนักขนาดนั้น ข้าจะยอม… เฮ้อ เข้าใจนางผิดไป”
คิดแล้วหัวใจก็ยิ่งเศร้าหนัก “ตอนนั้นนางเด็กขนาดนั้นก็รู้จักกตัญญูกับคนแก่แล้ว เจ้าหยวน ลูกที่เจ้าคลอดออกมาจะรู้ความมากเกินไปแล้ว ตอนนั้นนางยังบอกว่าสำนึกผิด ไม่ได้แก้ต่าง”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “เพราะตอนนั้นนางอยากไปพร้อมกับพวกพี่ชาย เด็กคนนี้ ช่างมีความคิดเป็นของตัวเองนัก”
เจ้าห้าขมวดคิ้ว คิดหนัก แต่แล้วกลับค่อยๆ ผ่อนคิ้วลง กุมมือของหยวนชิงหลิง เอ่ย “เจ้าหยวน ข้าเป็นห่วงพวกเขามาตลอด ห่วงว่าพวกเขาจะมีความสุขหรือไม่ จะแข็งแรงดีหรือไม่ ต่อไปพวกเขาจะกลายเป็นคนเช่นไร แต่พอคิดดูดีๆ แล้ว ช่างเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปาหรือเสี่ยวกวา พวกเขาก็ไม่ต้องให้พวกเราเป็นห่วง เส้นทางที่พวกเขาจะเดินในอนาคตก็คงคิดไว้นานแล้ว”
สองสามีภรรยาโอบกอดกัน เมื่อนึกถึงลูกๆ ก็ทั้งปลื้มปริ่มและปวดใจ
กรมการราชวงศ์เขียนพระนามอิสริยศักดิ์ของกวากวาไว้ในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ใหม่ เอาตราคำสั่งเฉาเฟิ่งอันเดิมส่งกลับไปให้อู๋ซ่างหวง
ครั้งนี้แต่งตั้งกวากวาเป็นองค์หญิงเจิ่นกั๋ว หยวนชิงหลิงได้ยินมาว่าพระนามอิสริยศักดิ์นี้เป็นความประสงค์ของอ๋องชินเฟิงอัน ทั้งยังอธิบายอีกยกหนึ่ง ว่าเฉาเฟิ่งที่แต่งตั้งเมื่อครั้งก่อนเป็นเพราะกวากวายังต้องได้รับการชักนำจากหงส์น้อย แต่บัดนี้นางยืนหยัดด้วยตนเองได้แล้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเฉาหยาง ความหมายโดยนัยก็คือดวงตะวันที่เฉิดฉาย อย่างไรก็เก็บซ่อนความร้อนแรงไม่ได้
หยวนชิงหลิงยังถามอู๋ซ่างหวงเป็นการส่วนตัวว่ามีความเห็นหรือไม่ ทว่าอู๋ซ่างหวงกลับไม่แสดงความเห็นใดๆ
แต่ครั้นถามเซียวเหยากงเป็นการส่วนตัว กลับบอกว่าเรื่องที่อ๋องชินเฟิงอันแต่งตั้งพระนามอิสริยศักดิ์ให้เจ้าหญิงเคยพูดกับอู๋ซ่างหวงแล้ว เฉาเฟิ่งอะไรกัน? ฟังดูแล้วอย่างกับคำว่าเฉาเหฟิ่ง(เฉาเหฟิ่งในภาษาจีนมีความหมายว่าเยาะเย้ย) บอกว่าพวกเด็กหลังห้องไม่เหมาะจะตั้งพระนามอิสริยศักดิ์นี้
หยวนชิงหลิงหัวเราะร่า จินตนาการออกว่าอู๋ซ่างหวงพยายามเค้นสมองโต้แย้งการเหน็บแนมของอ๋องชินเฟิงอัน คิดคำพูดโต้แย้งที่มีน้ำหนักอย่างไร
เจ้าห้าก็เคยบ่นกับนาง ว่าเฉาหยางกับเฉาเฟิ่งต่างกันตรงไหน? โบร่ำโบราณเสียไม่มี
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้จะพูดต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ไม่ได้
หลังจากได้ป้ายคำสั่งใหม่แล้ว เด็กๆ ก็กลับไป ทิ้งให้พ่อแม่อยู่ที่เป่ยถัง
แต่การจากไปครั้งนี้ พวกเขากลับดีใจมาก เพราะอีกไม่นานเด็กๆ ก็จะได้กลับมาแล้ว
ตอนนี้ลูกหลายคนของจิ้งเหอจวิ้นจู่ก็ศึกษาอยู่ที่โรงเรียน อ๋องเว่ยกลับมาครั้งนี้ได้พาเด็กๆ ออกไปเที่ยวสองสามวัน เด็กๆ ชอบเขามาก สมัยก่อนไม่มีบิดาอยู่ข้างกาย มารดาจะเข้มแข็งอย่างไรก็ยังให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ บัดนี้อ๋องเว่ยกลับมา พวกเขาจึงหน้ายืดคอตรง บอกไปทั่วว่าบิดาเขากลับมาแล้ว
ก่อนหน้านี้อ๋องเว่ยยกทรัพย์สินในนามทั้งหมดให้จิ้งเหอ แม้แต่จวนอ๋องเว่ยก็เช่นกัน แต่จิ้งเหอกลับไม่เคยเข้าไปอยู่
วันนี้หลังจากพาเด็กๆ เที่ยวเล่นกลับมา ก็รั้งตัวเขาให้อยู่กินข้าว อย่างไรก็ไม่ยอมให้เขากลับ
อ๋องเว่ยยืนอยู่ที่ลานบ้าน มองเข้าข้างในแวบหนึ่ง “เออ…คงจะไม่สะดวก แต่ข้าก็หิวแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นเจ้าก็ไปถามท่านแม่พวกเจ้าดู ว่าข้าจะอยู่กินข้าวที่นี่ได้หรือไม่?”
เด็กๆ จึงรีบวิ่งไปถามจิ้งเหอจวิ้นจู่ ต้องการให้ท่านพ่ออยู่กินข้าวที่บ้านให้ได้ บอกว่าพ่อของเด็กคนอื่นก็กินข้าวที่บ้านทั้งนั้น
จิ้งเหอถูกตื้อจนจนปัญญา จึงได้แต่รับปาก
ครั้นเห็นเด็กๆ ออกไปอย่างกระดี๊กระด๊า จิ้งเหอก็หัวเราะพลางส่ายหน้า เมื่อก่อนแต่คนละอย่างกับมีความแค้นใหญ่หลวง เป็นผู้ใหญ่เสียไม่มี บัดนี้เมื่อบิดากลับมาก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งร่าเริงทั้งคุยโว
อ๋องเว่ยมีโอกาสได้กินข้าวในบ้านจิ้งเหอ เมื่อก่อนเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด
จิ้งเหอสั่งให้ทำอาหารหลายอย่าง ล้วนเป็นอาหารจานเนื้อ มีผักแค่อย่างเดียว เข้ากับรสปากของอ๋องเว่ยพอดี เขากินมูมมามราวกับผีหิวโหยกลับชาติมาเกิด
แม้แต่จิ้งเหอก็ทนดูไม่ได้ เอ่ย “เจ้ากินช้าหน่อยสิ?”
อ๋องเว่ยกินไปก็พูดอย่างอาหารเต็มปากไป “ต้องกินเร็วหน่อย กลัวว่ากินๆ อยู่จะถูกเจ้าไล่”
จิ้งเหอกล่าวเรียบ “ไม่ขนาดนั้น!”
อ๋องเว่ยหัวเราะ อาหารในปากพุ่งออกมา เขารีบใช้มือปิดปาก กลืนลงไปก่อนจะเอ่ย “ขอบใจ!”
อาหารมื้อหนึ่ง จบลงแบบม้วนเดียวจบ หมดเกลี้ยง
จิ้งเหอตื่นตะลึงหนัก แม้นนางจะส่งเสริมให้รู้คุณค่าของอาหารเสมอ แต่อาหารในบ้านก็ไม่เคยหมดเกลี้ยงเช่นนี้มาก่อน
หลังจากเก็บโต๊ะเรียบร้อย จิ้งเหอก็ให้น้ำชาอ๋องเว่ยจอกหนึ่ง
อ๋องเว่ยมองชาใสในจอกอยู่นานแต่กลับไม่ดื่ม
“เมื่อครู่เจ้ากินมากไป ดื่มชาล้างคอสักหน่อย!” จิ้งเหอเอ่ย
อ๋องเว่ยยกน้ำชาขึ้นแล้วหัวเราะ “ข้าไม่ได้ดื่มชามานานมากแล้ว ลืมไปแล้วว่ารสชาเป็นอย่างไร”
“หือ? เมื่อก่อนเจ้าชอบดื่มชามากนี่”
อ๋องเว่ยจิบอึกหนึ่ง รับรู้ความหอมหวานของชา ลื่นไหลลงกระเพาะ เป็นความสบายที่บอกไม่ถูก เอ่ย “นั่นสิ เมื่อก่อนอยู่ในจวน ชีวิตสงบสุข ดื่มชาฝึกฝนอารมณ์ เพียงแต่ช่วงที่อยู่ชายแดน วิ่งวุ่นทุกวัน แทบไม่มีเวลาว่างดื่มชา”
ขณะที่เขาเอ่ยมิได้มองจิ้งเหอ นัยน์ตาจิ้งเหอใสแววมากเกินไป เขามันไม่กล้าสบตาตรงๆ
เพียงได้การสนทนาเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว
จิ้งเหอเอ่ย “อย่างไรก็ยังต้องดื่มชา ชีวิตคนมีสิ่งที่ชอบเพียงไม่กี่อย่าง รักษาไว้ได้เท่าไรก็เท่านั้น”
“ได้ ข้าจะทำตามเจ้าว่า!” อ๋องเว่ยดื่มชาหมดแล้วถึงเงยหน้ามองนาง เอ่ย “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษากับเจ้า”
“เจ้าว่ามา!” จิ้งเหอรินน้ำชาให้เขาอีกจอก แล้วกลับไปนั่ง มองเขา
อ๋องเว่ยเอ่ย “เจ้ากับเด็กๆ พักอยู่ที่นี่ ไปเรียนหนังสือค่อนข้างไกล ต้องออกจากบ้านแต่เช้า กลางคืนกลับมาก็มืดแล้ว หรือเจ้าย้ายไปอยู่ที่จวนอ๋องเว่ยจะดีกว่า ทางนั้นใกล้กับโรงเรียน ระยะทางก็เพียงสิบนาที”
จิ้งเหอเงียบ
อ๋องเว่ยเห็นดังนั้นแล้วจึงเอ่ย “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่กลับไปอยู่หรอก ถึงข้าจะกลับเมืองหลวงก็ไปพักที่จวนเดิมของน้องห้าสักสองสามวันได้ ตอนนี้ข้าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน”
จิ้งเหอส่ายหน้า “ข้ามิได้คิดถึงเรื่องนี้ จวนอ๋องเว่ยเป็นจวนของเจ้า เจ้าจะกลับไปอยู่ก็เป็นเรื่องปกติ ที่ข้าไม่ได้ย้ายไป หลักๆ ก็เพราะที่นี่เงียบสงบ ชินแล้ว แต่ที่จริงเจ้าก็พูดถูก เด็กๆ เดินทางไม่สะดวก ไปๆ มาๆ วันหนึ่งต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าในการเดินทาง ลำบากจริงๆ ข้อเสนอของเจ้าข้าจะเก็บไปคิด”
นัยน์ตาอ๋องเว่ยเจือความยินดี “จริงหรือ? เจ้ายอมย้ายกลับไปจริงหรือ?”
จิ้งเหอมองเขา ยิ้มน้อยๆ “อือ!”
อ๋องเว่ยยิ้มร่าพลางดื่มชา อยากร้องเพลงจังเลย!
ถัดจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันนิดหน่อย นางถามถึงเรื่องทางชายแดน ถามถึงเจ้าสี่และชายา บรรยากาศปรองดองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จิ้งเหอรินน้ำชาให้เขาอีก เขามองจิ้งเหอ รู้สึกว่านางเปลี่ยนไปมาก ท่าทีเช่นนี้ทำให้เขาจินตนาการไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นเขาก็ฮึดความกล้า เงยหน้ามองจิ้งเหอ ความหวังเผยในดวงตามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วโพล่งออก “คืนนี้ข้าพักที่นี่ได้ไหม?”
จิ้งเหอวางกาน้ำชาลง เผยริมฝีปากเล็กน้อย ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “ไสหัวไปซะ!”
ครู่หนึ่ง อ๋องเว่ยก็เดินคอตกออกมาจากประตูใหญ่ ทุบหน้าอก ประมาท ประมาท รีบร้อนเกินไปแล้ว!