บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1550 ปรากฏตัวที่จวนเจียงเป่ย
ครั้นจิ้งเหอย้ายกลับจวนอ๋องเว่ย ทุกคนก็มาแสดงความยินดี
เจ้าเจ็ดอ๋องฉียังเจาะจงไปถามอ๋องเว่ยอีก ว่ายังจะอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ต่อไม่กลับไปหรือ
อ๋องเว่ยอึดอัดใจจะแย่ ไม่มีคำพูด ชกเขาไปหมัดหนึ่ง เขาหรือจะไม่อยากกลับ แต่จะใช้ข้ออ้างอะไรเล่า?
‘ไสหัวไปซะ’ นุ่มๆ คำนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวสมองเขา
อย่างไรอ๋องเว่ยก็ไม่มีหน้าเอ่ยปาก บอกจะย้ายกลับไปอยู่สองสามวัน แต่ทุกเช้าตื่นขึ้นมาแล้วก็ไปเยี่ยมลูกๆ ที่จวนตัวเอง หวังจะได้เจอหน้าจิ้งเหอมากหน่อย
อยู่เมืองหลวงอย่างหน้าด้านครึ่งเดือน กระทั่งอาการบาดเจ็บของอ๋องอานแทบจะหายดีแล้วถึงกลับจวนเจียงเป่ยกับพวกเขา
อ๋องอานกลับเมืองหลวงครั้งนี้ ก็ถือว่าเปลี่ยนไปแบบกลับตาลปัตร
หลายปีมานี้เขาไม่มีใจคิดต่อต้าน และไม่อิจฉาริษยาเจ้าห้าด้วย แต่อย่างไรก็ไม่สนิท และไม่สำนึกบุญคุณสักเท่าไร
แต่หลังจากผ่านความเป็นความตายครั้งนี้มาแล้ว หยวนชิงหลิงช่วยรักษาให้กว่าครึ่งเดือนเต็ม ด้วยศักดิ์แห่งฮองเฮาออกจากวังมารักษาอาการบาดเจ็บให้เขา ปรับปริมาณยา สังเกตความคืบหน้าของบาดแผล หากอาการมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเห็นนางร้อนรนและวังกลมาก
สัมพันธ์เครือญาตินี้ เขามองเห็นและสัมผัสได้ ไม่เสแสร้งสักนิด
เห็นได้ว่าฮองเฮาเห็นเขาเป็นครอบครัวจริงๆ
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าหยวนชิงหลิงไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้ เห็นเขาเป็นแค่คนไข้ของตัวเองเท่านั้น หากอาการผู้ป่วยของนางมีการเปลี่ยนแปลง นางก็จะเฝ้าสังเกตเป็นพิเศษ ไม่ได้มีความคิดเครือญาติหรือครอบครัวอะไรทั้งนั้น อย่างมากก็แค่เห็นเขาเป็นแม่ทัพที่เฝ้าประจำอยู่ชายแดน พยายามรักษาให้เขาก็เท่านั้น
แต่การเข้าใจผิดนี้ก็เป็นสิ่งสวยงาม
ดังนั้นหลังจากกลับจวนเจียงเป่ย จึงคิดจะไปเมืองโร่ตูของหลานสาวกับเจ้าสามสักหน่อย เจ้าห้าเคยบอกว่าไว้กวากวากลับมาจะไปเมืองโร่ตูสักหน่อย ฉวยเวลาสองปีนี้จัดการเมืองโร่ตูให้สงบให้เร็วที่สุด
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่อยากใช้ทหาร เพราะต้องการให้เกิดความสงบในระยะยาว การใช้ทหารไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ได้แต่เปลี่ยนความคิดฝังลึกของพวกเขาจากการศึกษาและการดำรงชีวิต ทำการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ให้ประชาชนรุ่นใหม่ของเมืองโร่ตูมีสายเลือดคนเป่ยถังไหลเวียนอยู่ในตัวกึ่งหนึ่ง เช่นนั้นอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ปัญหาพวกนั้นก็จะค่อยๆ หมดสิ้นไปเอง
แต่เวลานี้แคว้นจินมีใจก่อความวุ่นวาย ยุยงเมืองโร่ตูให้ขัดแย้งกับเป่ยถัง นี่จึงทำให้ดำเนินตามกลยุทธ์เดิมไม่ได้ พวกเขาคิดจะไปดูสถานการณ์ก่อน หากถึงเวลาที่ต้องใช้ทหารจริง ก็จะปล่อยปละไปไม่ได้
ก็ขณะที่สองพี่น้องรวมตัวกันที่จวนอ๋องอาน คิดจะออกเดินทางไปเมืองโร่ตู ยามเฝ้าประตูกลับมารายงาน ว่าด้านนอกมีแม่นางน้อยผู้หนึ่ง บอกว่าเป็นลูกสาวของท่านห้าสหายเก่าของพวกเขา ต้องการมาขอความช่วยเหลือ
สองพี่น้องมองตากันแวบหนึ่ง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ท่านห้าสหายเก่า? พวกเขามีสหายเก่าร่วมกันด้วยหรือ?
พวกเขาที่เป็นนักรบเช่นนี้ รู้จักท่านห้าอะไรที่ไหนกัน?
อ๋องอานถาม “เป็นแม่นางน้อย? แซ่อะไร?”
“เรียนท่านอ๋อง แม่นางน้อยท่านนั้นมิได้บอกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วนางมากับผู้ใด? ขี่ม้ามาหรือว่ารถม้า?”
“นางมาคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ แต่จะมาอย่างไรนั้นข้าน้อยไม่ทราบ ไม่เห็นม้าและไม่เห็นรถม้าด้วย แต่ที่บ่ามีนกตัวงามอยู่ตัวหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าอ๋องเว่ยเปลี่ยนพลัน ที่บ่ามีนกตัวหนึ่ง นอกจากหลานสาวคนโตแล้วยังจะมีใครได้อีก?!
ท่านห้า…นั่นมิใช่น้องห้าหรือ?
อ๋องอานก็คิดขึ้นได้เหมือนกัน สองพี่น้องจึงออกไปทันที และเห็นเสี่ยวกวาจื่อยืนอยู่นอกประตูจริงๆ ครั้นเห็นพวกเขาแล้วก็ย่อคำนับด้วยรอยยิ้ม “หลานคารวะเสด็จลุงทั้งสองเพคะ!”
ขณะที่กวาจื่อคำนับ นกฟีนิกซ์น้อยก็บินคำนับด้วย
ครั้นอ๋องเว่ยเห็นว่าเป็นกวากวาจริง ลูกตาก็แทบจะถลนออกมา รีบเอ่ย “เจ้ามาได้อย่างไร? ใครพาเจ้ามา? เจ้าไม่ได้กลับเขาไปร่ำเรียนกับอาจารย์เจ้าแล้วหรือ? เสด็จพ่อเสด็จแม่รู้ว่าเจ้ามาหรือไม่?”
คำถามเป็นพรวน ขณะที่พุ่งพรวดออกมาก็ยื่นมือลากกวากวาด้วย เอ่ยอย่างนั้นร้อนรนทั้งสงสาร “รีบเข้ามา ตากแดดจนหน้าแดงหมดแล้ว”
อ๋องอานหันกลับไปตะโกน “มีบ๊วยหรือไม่? รีบต้มน้ำบ๊วยเร็ว”
พระชายาอานกับอานจือก็เดินออกมาด้วย ครั้นอานจือเห็นน้องมาก็ดีใจมาก เข้ามาจูงมือนาง “กวากวา เจ้ามาได้อย่างไร? เสด็จอาห้าก็เสด็จมาด้วยหรือ?”
“พี่หญิง เสด็จพ่อมิได้เสด็จมาเพคะ ท่านอาจารย์หม่อมฉันส่งหม่อมฉันมา” กวากวายิ้ม ถือเป็นการตอบคำถามอ๋องเว่ยด้วย
“รีบเข้าไปเร็ว สองสามวันนี้ร้อนนัก!” อานจือจูงมือนาง จากนั้นก็รีบเดินเข้าข้างใน
พระชายาอานรีบสั่งให้คนจัดน้ำชาและขนมทันที จวนเจียงเป่ยไม่มีของอร่อยอะไร ดีที่พ่อครัวในจวนมาจากเมืองหลวง รู้จักทำขนมอยู่บ้าง
ในจวนเจียงเป่ย ขนมเป็นอาหารที่เยี่ยมยอดที่สุด
หลังจากกวาจื่อหยู่เหวินเจ๋อหลานนั่งลงแล้ว ก็เผชิญกับการ ‘ไต่สวน’ ของอ๋องเว่ยและอ๋องอาน
“เสด็จพ่อเจ้ารู้ว่าเจ้ามาจริงหรือ?” อ๋องเว่ยถาม
หยู่เหวินเจ๋อหลานยิ้มเอ่ย “หากเสด็จลุงมิทรงเชื่อ ก็ส่งพิราบสื่อสารไปถามท่านผู้เฒ่าได้เพคะ”
อ๋องอานกับอ๋องเว่ยสบตากันแวบหนึ่ง ‘ท่านผู้เฒ่า’ สามคำนี้เหตุใดฟังแล้วจึงรู้สึกสะใจนัก?
อ๋องเว่ยเอ่ย “ข้าต้องส่งพิราบสื่อสารไปถามแน่ เจ้าเป็นองค์หญิงเจิ่นกั๋ว จะเกิดเรื่องอะไรไม่ได้ แต่เสด็จพ่อเจ้าให้เจ้ามาทำอะไรหรือ? เจ้ามิใช่ควรเรียนวิชาฝึกฝนจิตใจกับอาจารย์เจ้าบนเขาหรือ?”
หยู่เหวินเจ๋อหลานดื่มชาอึกหนึ่ง แล้วตอบอย่างสุขุมเป็นผู้ใหญ่ “ท่านอาจารย์บอกว่าหม่อมฉันร่ำเรียนอยู่บนเขาหลายปี แต่หากต้องการเข้าใจหลักแห่งมนุษย์ ยังต้องฝึกฝนอยู่ในสังคม ฉะนั้นเวลานี้หม่อมฉันยังอยู่ในการเรียนเพคะ เพียงแต่…จะไปฝึกงานที่จวนเจียงเป่ยหรือว่าเมืองโร่ตูเท่านั้น”
“ฝึกงาน?” อ๋องอานฟังแล้วรู้สึกไม่น่าเชื่อ แต่กวากวากลับพูดได้สัตย์จริงเช่นนี้ ไม่เหมือนโป้ปดสักนิด
นัยน์ตาหยู่เหวินเจ๋อหลานเป็นประกาย “ความหมายของฝึกงานก็คือ ใช้สิ่งที่เรียนจากท่านอาจารย์ ฝึกฝนกับชีวิตจริงเพคะ ให้ช่ำชองสักหน่อย ขณะเดียวกันก็ดูทิศทางการพัฒนาในอนาคตเพคะ”
พระชายาหัวเราะ “ทิศทางการพัฒนาในอนาคตเจ้า มิใช่หาสามีดีๆ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตลอดชีวิตหรือ? แม้นเจ้าอยากฝึกฝน ก็มิควรมาที่แร้นแค้นเช่นนี้ อยู่ในเมืองหลวงไม่ดีหรือ?”
หยู่เหวินเจ๋อหลานลากมืออานจือ เอ่ย “พี่หญิงก็มิใช่อยู่จวนเจียงเป่ยหรือเพคะ? นางอยู่ได้ หม่อมฉันก็อยู่ได้เช่นกันเพคะ”
อ๋องอานเอ่ย “นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร? พี่หญิงเจ้าอยู่ที่นี่แต่เล็ก คุ้นเคยนานแล้ว”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็อยู่บนเขากับท่านอาจารย์มาตลอด อยู่อย่างลำบากเช่นกันเพคะ มิต่าง” นางมองอ๋องอานและอ๋องเว่ยด้วยรอยยิ้มหวาน “อีกอย่าง มีเสด็จลุงทั้งสองอยู่ที่นี่ หม่อมฉันยังจะลำบากอีกหรือเพคะ?”
อ๋องเว่ยเอ็นดูนางเป็นที่สุด เพราะได้รับแว่นตาดำมาจากนาง ของสิ่งนั้นใช้ดีจริง ดีว่ามีแว่นตาดำ ตลอดทางที่ขี่ม้ากลับมาดวงตาจึงสบายขึ้นมาก ดังนั้นเขาจึงเอ่ย “เอาไว้ถามเสด็จพ่อเจ้า แน่ชัดว่าเขาเห็นด้วยที่เจ้ามาแล้ว ข้าย่อมพาเจ้าไปดูโลก ปกป้องเจ้าอย่างดี”
หยู่เหวินเจ๋อหลานยิ้มหวาน “เพคะ เสด็จลุงรีบเขียนจดหมายเถอะเพคะ ให้พิราบสื่อสารส่งไป แม้จวนเจียงเป่ยจะไกลจากเมืองหลวง แต่วันหนึ่งพิราบสื่อสารเดินทางไกลพันลี้ ไปมาสองสามวันอย่างไรก็ถึง”
อ๋องเว่ยจึงพูดกับอ๋องอานและชายา “พวกเจ้าดูแลนางก่อน ข้าจะไปเขียนจดหมายถึงน้องห้า”
ว่าแล้วก็หมุนตัวจากไป
หยู่เหวินเจ๋อหลานกอดนกฟีนิกซ์น้อย จิ้มหัวของมัน พูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าเดินทางมาตลอด หิวน้ำแล้ว ออกไปหาน้ำดื่มเองเถอะ!”
นกฟีนิกซ์น้อยจึงสยายปีกบินออกไป!