บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1551 เมืองโร่ตูของนาง
อ๋องเว่ยเขียนจดหมาย ผูกไว้กับขาของนกส่งสาร มองมันพุ่งทะยานขึ้นฟ้าราวกับลูกธนู จากนั้นก็หายลับไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เมื่อนั้นเขาจึงหันกลับ
พอเขาหันกลับมาพักหนึ่ง นกฟีนิกซ์น้อยก็ตามไป
ไม่รู้ว่าพิราบมีปมในใจหรือไม่ แต่หากมี เช่นนั้นก็ต้องฝังลึกแน่
เพราะมันถูกไล่บี้กลางอากาศเบรกเอี๊ยด รับกับนกฟีนิกซ์น้อยที่สยายปีกขวางทาง ตาหงส์เหี้ยมเกรียม ปีกที่สยายออกแทบปกคลุมมิด ยังไม่ทันได้ตั้งสติ เบื้องหน้าก็มืดสนิท ถูกคลุมอยู่ในปีก
ร้องก็ร้องไม่ออก
วันที่สี่หลังจากหยู่เหวินเจ๋อหลานถึงจวนเจียงเป่ย สี่วันมานี้อ๋องเว่ยพานางกับอานจือท่องไปทั่วจวนเจียงเป่ย เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้านของที่นี่ ศึกษาคุณภาพชีวิตของประชาชนที่นี่ และเข้าใจความลำบากของเหล่านักรบชายแดน
ได้เห็นลักษณะภูเขาและทิวทัศน์ของจวนเจียงเป่ย
สองวันแรกอานจือยังเดินตามได้ แต่จากนั้นเพราะไปหลายแห่งในวันเดียว ร่างกายนางรับไม่ไหว ดังนั้นจึงไม่ตามพวกเขาไป
แม้แต่พระชายาอานยังนับถือหยู่เหวินเจ๋อหลาน กำลังของนางดีมากจริงๆ ลงเขาทั้งวันมาถึงจวนกลับไม่เหนื่อยสักนิด
ส่วนอ๋องเว่ยที่ไปพร้อมกับนางกลับมีสีหน้าอ่อนล้า
ช่วงค่ำของวันที่สี่ก็ได้รับพิราบสื่อสารของหยู่เหวินเห้าจากเมืองหลวง
อ๋องอานดูก่อน จากนั้นก็ยื่นให้อ๋องเว่ย เอ่ย “น้องห้ารู้แล้ว”
อ๋องเว่ยหยิบมากางออก ยังไม่ทันได้ดูก็ตะลึง “เขียนมายาวขนาดนี้เชียว?”
ในจดหมาย เจ้าห้าบอกว่าเขาอนุญาตให้ฉีฮั่วพากวาจื่อไปเปิดหูเปิดตาที่จวนเจียงเป่ย แล้วลวดไปเมืองโร่ตู พักอยู่ที่เมืองโร่ตูสักสองสามเดือน อย่างไรนั่นก็เป็นเขตของนาง ให้นางรู้สึกผูกพันกับที่นั่น ในจดหมายยังกำชับเป็นพิเศษว่านางอยากทำอะไรก็ให้นางทำ ไม่ต้องก้าวก่าย และให้นางเจอกับอันตรายบ้างไม่ต้องป้องกัน จะปล่อยปละให้เคยตัวไม่ได้
อ๋องเว่ยรู้สึกแปลก เพราะด้วยนิสัยของเจ้าห้า จะบอกให้ลูกสาวไปเจอกับอันตรายอย่าให้เคยตัวได้อย่างไร? ตัวเขาเองยังเอาใจจะแย่ อย่าว่าแต่ให้ลำบาก แม้แต่พูดหนักสักนิดก็ยังทำไม่ลง
อ๋องอานเล็งเห็นความเคลือบแคลงใจของเขา จึงเอ่ย “เป็นลายมือของน้องห้าจริงๆ ตัวอักษร…ธรรมดาๆ”
“นั่นไม่เรียกว่าธรรมดา เรียกว่าห่วย!” อ๋องเว่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ
แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขา เป็นลายมือของน้องห้าจริงๆ
หยู่เหวินเจ๋อหลานจึงไขข้อข้องใจของพวกเขา เอ่ย “ท่านอาจารย์จะคุ้มครองหม่อมฉันอยู่ลับๆ เพคะ เสด็จพ่อก็เลยวางพระทัย ให้หม่อมฉันฝึกฝนสักหน่อย”
“จริงหรือ? เช่นนั้นอาจารย์เจ้าอยู่ที่ไหน? เหตุใดไม่บอกให้ออกมาเจอข้าสักหน่อย?” อ๋องเว่ยเอ่ย
หยู่เหวินเจ๋อหลานส่ายหน้า เอ่ย “ท่านอาจารย์นิสัยแปลกประหลาดเพคะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบพบปะผู้คน ชอบทำงานลับๆ เขาเอ็นดูหม่อมฉันมาหลายปี จะให้หม่อมฉันเจอกับอันตรายจริงๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเสด็จลุงกับเสด็จป้าวางพระทัยได้เพคะ”
นางว่ามาแบบนี้ จดหมายของเจ้าห้าก็บอกไว้เช่นนี้เหมือนกัน เช่นนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหา
พวกเขาต่างเคยพบกับฉีฮั่วอาจารย์ของนาง เป็นคนพิลึกกึกกือจริงๆ พูดจาก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เคยช่วยเป่ยถังในสนามรบมาก่อน เชื่อถือได้
กอปรกับกวาจื่อเป็นศิษย์ของเขา น่าจะไม่ยอมเห็นศิษย์เสี่ยงภัยเป็นแน่ หากไปเมืองโร่ตู เขาก็จะคุ้มครองอยู่ลับๆ
ไม่ว่าอย่างไร ถึงฉีฮั่วจะไม่ได้คุ้มครองทางลับ พวกเขาทั้งสองก็เดินทางด้วย ย่อมไม่ให้หลานสาวเกิดเรื่อง แถมก่อนที่กวาจื่อจะมา พวกเขาก็คิดจะไปเมืองโร่ตูอยู่แล้ว
ในเมื่อกำหนดได้แล้ว ก็เตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น
แรกเริ่มอานจืออยากตามไปด้วย แต่หยู่เหวินเจ๋อหลานไม่ให้นางไป บอกว่านางไม่เคยเรียนยุทธ์ และระหว่างทางก็เหนื่อยมาก ยั้งนางไว้
อานจือรู้สึกว่าเมืองโร่ตูไม่มีอะไรน่าชม ก่อนหน้านี้มักได้ยินเสด็จพ่อบอกว่าทางนั้นวุ่นวายและอันตรายมาก ที่นางอยากไปก็แค่เพราะไปเป็นเพื่อนน้องเท่านั้น บัดนี้เมื่อได้ยินนางบอกว่าไม่ต้องไปเป็นเพื่อน ก็ย่อมไม่ดึงดันไปอยู่แล้ว
พระชายาอานตื่นขึ้นมาทำงานยามดึก เตรียมขนมให้พวกเขาระหว่างทาง ที่นี่ไม่เหมือนเมืองหลวงที่สามารถซื้อของกินได้ตลอดเวลา แต่ที่นี่ไม่อาจทำได้
พอฟ้าสางทุกคนก็ออกเดินทาง
ทีแรกอ๋องเว่ยเตรียมรถม้า แต่หยู่เหวินเจ๋อหลานบอกว่าวิชาขี่ม้านางเยี่ยมยอดมาก ขี่ม้าไปได้
อ๋องเว่ยก็เห็นด้วย เพราะเส้นทางเขาค่อนข้างมาก ถนนหลวงน้อย อย่างไรขี่ม้าก็สะดวกกว่านั่งรถม้า
สองอ๋อง หนึ่งเจ้าหญิง หนึ่งนกฟีนิกซ์ และผู้ติดตามจำนวนหนึ่งจึงเริ่มเดินทางไปเมืองโร่ตู
เมืองโร่ตูห่างจากจวนเจียงเป่ยเพียงสองร้อยลี้ ไม่จัดขบวนเฆี่ยนม้าครึ่งวันก็ถึง
ระหว่างทางพักครึ่งชั่วยาม กินขนมนิดหน่อย อ๋องเว่ยยังหยอกนกฟีนิกซ์น้อย นกฟีนิกซ์น้อยแสดงท่าทีสุขุมนิ่ง เหมือนเจ้านายมันมาก
แต่บางครั้งพอเห็นมันบินสยายปีก ประเดี๋ยวสูงประเดี๋ยวต่ำ โฉบเฉี่ยวหมุนวนแล้วก็มักรู้สึกว่ามีนิสัยฉุนเฉียว
ก็เหมือนกับการมองเสี่ยวกวาจื่อ รู้สึกว่านางเรียบร้อยเชื่อฟัง แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้นส่วนลึกของนาง
ยามเว่ย ก็ถึงเมืองโร่ตู
เมืองโร่ตูมีภูเขาโอบล้อมสามด้าน มีลักษณะเป็นช้อนคันหนึ่ง ทางทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาที่ยาวทอดต่อกันไม่ขาดสาย ยอดเขาที่สูงที่สุดเรียกว่ายอดเขาโร่ตู เหนือระดับน้ำทะเลประมาณสองพันเมตร
ทางทิศใต้เป็นภูเขา แต่ลักษณะค่อนข้างต่ำ เหมาะแก่การเพาะปลูก
ภูมิศาสตร์ทางทิศตะวันตกราบเรียบ มีทุ่มหญ้าเป็นส่วนมาก เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์
ภูเขาทางทิศเหนือสูงชัน เรียกว่าเขาโร่ตู ตั้งตระหง่านดุจอสูรยักษ์ที่นอนสงบอยู่ คั่นตัดการสัญจรกับแคว้นจิน
ที่นี่มีทรัพยากรแร่อุดมสมบูรณ์ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่แคว้นจินต้องการย้ายเมืองหลวง คงเพราะหวังแร่จากที่นี่นั่นเอง
เมืองโร่ตูมีประชากรทั้งหมดสามแสนกว่าคน ประชาชนกว่าครึ่งยึดการเลี้ยงสัตว์ในการดำรงชีพ ปลูกข้าวบาร์เล่ย์ สมัยก่อนที่นี่เป็นสนามเลี้ยงม้าของเป่ยโม่ ม้าศึกจำนวนมากส่งมาจากเมืองโร่ตูนั่นเอง
เศรษฐกิจที่นี่ด้อยการพัฒนามาก ถูกราชสำนักของเป่ยโม่เอารัดเอาเปรียบหนัก ม้าศึกห้ามขาย ได้แต่เลี้ยงให้ราชสำนักเท่านั้น และราชสำนักของเป่ยโม่ก็ยากจนมาก ควบคุมกดดันหนัก รีดภาษีสูงเป็นภูเขาเลาเกา ทำให้ประชาชนที่นี่ลำบากอัตคัด
หลังจากเมืองโร่ตูตกเป็นของเป่ยถัง ที่จริงถ้าเทียบแล้วก็ดีกว่าบ้าง เพราะราชสำนักเป่ยถังไม่ได้เก็บภาษีจากที่นี่ พวกเขาหาได้เท่าไร ก็ใช้จ่ายได้เท่านั้น เพราะปลูกเท่าไร ก็กินได้เท่านั้น
ปกครองมาเกือบสิบปี ก็ดีกว่าตอนที่เพิ่งได้เมืองโร่ตูมาหน่อย อย่างน้อยประชาชนก็ไม่ต่อต้านราชสำนักเป่ยถังอีก เพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
กอปรกับสองสามปีมานี้ มีคนเป่ยถังจำนวนมากทะลักเข้ามาแต่งงานกับคนท้องถิ่น มีครอบครัวหลายครอบครัวญาติเป็นคนเป่ยถัง รักคนเป่ยถังก็รักแคว้นเป่ยถังด้วย ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้สึกขัดกับการปกครองของเป่ยถังอยู่แล้ว
แต่เพราะการยุยงปลุกปั่นของแคว้นจินในสองปีมานี้ บวกกับคนร่อนเร่ที่ทะลักมาจากเมืองอื่น ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นมากะทันหัน
หยู่เหวินเจ๋อหลานควบม้าอยู่นอกเมือง มองประตูเมืองเมืองโร่ตู พระอาทิตย์เพิ่งคล้อยไปหน่อยหนึ่ง แต่กลางวันก็ยังร้อนมาก ทหารเฝ้าประตูเมืองมีทั้งชายหญิง ต่างอยู่ในชุดทหาร ช่างน่าเกรงขาม ห้าวหาญ เกรียงไกร
นี่คือภาพลักษณ์แรกของเมืองโร่ตู หยู่เหวินเจ๋อหลานหลับตา สัมผัสกลิ่นอายต่างๆ ในเมือง ที่สัมผัสได้ก่อนเป็นกลิ่นอายของเป่ยถัง แต่ในนั้นปะปนไปด้วยความวุ่นวาย เน่าเฟะ เหม็นเอียน ขุ่นเคือง ก่นด่าสาปแช่ง แหลกเหลว แต่กลับเป็นของเมืองโร่ตูจริงๆ
นี่เป็นเมืองที่ควบคุมลำบากมากเมืองหนึ่ง
หยู่เหวินเจ๋อหลานลืมตา มุมปากเปื้อนรอยยิ้มเล็กน้อย นี่แหละคือสมรภูมิแรกที่นางจะฝึกในแดนมนุษย์!
มีความท้าทายมาก
ที่ประตูเมืองมีคนเดินเข้ามา เป็นหญิงนามหนึ่ง อายุราวสามสิบ ผิวสีแทน ใบหน้ามีรอยมีดใหญ่ นางยกมือมาทางอ๋องทั้งสอง ดวงตาเจือมีประหลาดใจ “ท่านอ๋องเว่ยกับท่านอ๋องอานจะเสด็จมา เหตุใดไม่แจ้งแม่นางโจวก่อนเพคะ? พวกเราจะได้ออกมาต้อนรับ!”
น้ำเสียงนางไม่ถือว่านอบน้อมมาก หรืออาจพูดได้ว่าไม่จัดว่าเป็นมิตรกับอ๋องเว่ย