บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1553 ไปแล้วก็กลับมาอีก
ความคิดของอ๋องเว่ยสวยงามมาก พากวากวาพักอยู่ที่นี่สองวัน จากนั้นก็กลับ ถือว่าได้มาเห็นเมืองโร่ตูแล้ว
ส่วนหยู่เหวินเจ๋อหลานก็ทำตามแต่โดยดี สองวันมานี้ปล่อยให้พวกเขาพาตนไปเดินในเมือง ครั้นเห็นอะไรที่ไม่ดี อ๋องเว่ยก็จะแต่งเรื่องขึ้นมาอธิบายว่าเหตุใดคนผู้นั้นจึงต้องทำเช่นนี้
อย่างหากมีคนลักขโมย อ๋องเว่ยก็จะอธิบายว่า “คนผู้นี้ข้ารู้จัก บ้านเขาจนมาก มีแม่ชราอายุแปดสิบ มีปากที่อ้าปากรอป้อนอาหารอีกแปดคน รอให้เขาเลี้ยงดู จนด้วยหนทางจึงต้องขโมย”
อ๋องอานรับผิดชอบไปตามคนที่ขโมย จากนั้นก็นำเงินกลับมา
ครั้นเห็นการวิวาท อ๋องเว่ยก็อธิบายว่า “เมืองโร่ตูเป็นเมืองที่สนับสนุนศาสตร์ป้องกันตัว ทุกคนรักในการฝึกยุทธ์ ชอบเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวตามท้องถนนเป็นประจำ เออ…สองสามคนนี้ที่เจ้าเห็นว่าถูกตีจนหัวแตกเลือดออก พวกเขารู้ว่าฝีมือตนสู้คนอื่นไม่ได้ กลับไปก็จะหมั่นเพียรฝึกฝน”
“ทำไมขอทานที่ขาเน่าจึงวิ่งได้น่ะหรือ? เออ…น่าอัศจรรย์จริง เมืองโร่ตูก็เป็นเมืองที่มีเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้แหละ”
“ยาที่ร้านยาแพงมาก? มิผิด ยาพวกนี้แพงมาก อย่างไรก็ขนส่งมาไกล ค่าขนส่งแพง”
“นางพวกนี้ที่สวมใส่น้อยชิ้นก็เพราะอากาศร้อนมาก เจ้าดูไม่ได้ รีบหันหน้าไปเร็ว”
หยู่เหวินเจ๋อหลานผงกศีรษะอย่างเอ๋อๆ ใสซื่อบริสุทธิ์ ยอมรับการอธิบายของอ๋องเว่ย เมื่อวานตอนที่มาก็ได้เห็นแล้ว เสด็จลุงคิดจะลบความทรงจำของนางหรืออย่างไร?
มิน่าเล่า ตอนนี้ถึงชนะใจเสด็จป้าไม่ได้สักที ดูท่าสมองต้องมีปัญหาแน่
อ๋องเว่ยกลบเกลื่อนหยู่เหวินเจ๋อหลานเช่นนี้ไปสองวัน แล้วจึงบอกว่าจะพานางกลับ
หยู่เหวินเจ๋อหลานก็ไม่คัดค้าน บอกให้แม่นางโจวเตรียมอาหารโต๊ะหนึ่ง กินอาหารกับทุกคนแล้วก็จะออกเดินทาง
แม่นางโจวรับคำไวมาก แม้เจ้าเมืองจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่มาหนหนึ่งยังได้ทหารสองพันนาย ดังนั้นรับรองดีๆ สักมื้อก็ยังถือว่าคุ้มค่า
นางคิดว่าเด็กชอบกิน จึงสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารสวยงามมากมาย ปกตินางไม่กล้ากินที่บรรจงขนาดนี้ และไม่จำเป็นต้องกินเช่นนี้ด้วย เพราะต่างเป็นคนทำงานหยาบ
แม่นางโจวเอาใจเด็กไม่เป็น ดีที่กวากวาจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว ต่อไปไม่ต้องรับรองอีก
อาหารมื้อนี้หยู่เหวินเจ๋อหลานกินอย่างมีความสุขมาก เอาแต่รินสุราให้เสด็จลุงทั้งสอง
สุราที่หลานสาวรินให้กับมือ เสด็จลุงทั้งสองไหนเลยจะบอกปัดได้? แม้จะกินอาหารแล้วเดินทาง แต่ก็ยังต้องดื่มให้สะใจ
ดื่มจนเมาเจ็ดแปดส่วนก็เตรียมออกเดินทาง หยู่เหวินเจ๋อหลานควบม้าอยู่ด้านหน้า ผู้ติดตามประคองพวกเขาที่เป็นคนเมา จากนั้นพวกเขาทั้งกลุ่มก็ออกจากเมือง
แม่นางโจวโล่งอก เอ่ยกับข่งเยี่ยนคนสนิทมือดีข้างกายว่า “นายน้อยมาครั้งนี้ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ หวังแต่อีกหน่อยนางเติบใหญ่แล้วจะแบกรับภาระได้”
ข่งเยี่ยนหัวเราะเยาะ “เกรงแต่นางจะไม่มาเมืองโร่ตูอีก เราช่วยนางดูแลก็พอ อย่างไรตอนนี้เมืองเส็งเคร็งนี่ก็ไม่ได้เก็บภาษี”
แม่นางโจวหัวเราะเอ่ย “เจ้าพูดถูก เมืองเส็งเคร็งนี่ใครจะอยากมาเล่า? เจ้าหญิงที่ถูกดูแลจนเคยชินเช่นนี้จะอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร? หวังว่าราชสำนักจะส่งแม่ทัพเก่งกาจมาสักคนสองคน แบ่งเบาภาระพวกเราสักหน่อย ชีวิตเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เหนื่อยใจจริงๆ”
ข่งเยี่ยนมองนาง “คำพูดนี้แม่นางเอ่ยกับข้าได้ แต่อย่าให้คนระดับล่างได้ยินเชียว ท่านยังบอกว่าเหนื่อย เช่นนั้นทุกคนจะทนต่อได้อย่างไรเล่า?”
ไม่นางโจวตบบ่านาง ถอนใจ “ข้าก็พูดแต่กับเจ้าเท่านั้น ระบายความทุกข์ ไหนเลยจะกล้าพูดกับพวกนาง”
รอยยิ้มแม่นางโจวค่อยๆ เลือนไป เคลื่อนนัยน์ตาขมขื่นลงล่าง ครั้งนั้นพาพวกนางมา หรือจะตัดสินใจผิดจริง
“ไปกันเถอะ ไปลาดตระเวนสักหน่อย ช่วงนี้โจรพวกนั้นเริ่มมีความเคลื่อนไหวอีกแล้ว เราต้องทำการป้องกันล่วงหน้า” ข่งเยี่ยนเอ่ย
ทั้งสองนำขบวนออกลาดตระเวนจนค่ำจึงจะกลับมา
ขณะเพิ่งเข้าประตูก็เห็นอามู่เดินออกมา ฉุดแม่นางโจวไว้กดเสียงลงต่ำ “นายน้อยกลับมาอีกแล้ว ครั้งนี้นางกลับมาคนเดียว อ๋องเว่ยกับอ๋องอานมิได้มาด้วย”
แม่นางโจวร้อนใจ “หา? เหตุใดจึงกลับมาเองเล่า? อ๋องเว่ยช่างสะเพร่าเสียจริง ให้นางกลับมาคนเดียวได้อย่างไร? ไหนล่ะ? ปลอดภัยดีกระมัง?”
“ปลอดภัยดี เพิ่งกินข้าวไป เวลานี้กำลังเดินอยู่ในลานบ้าน” อามู่เอ่ย
แม่นางโจวเดินเร็วเข้าไป เลี้ยวไปเลี้ยวมาก็เห็นหยู่เหวินเจ๋อหลานอยู่ลานบ้านด้านหลัง นางกำลังเล่นกับนกฟีนิกซ์น้อยอยู่ ครั้นเห็นแม่นางโจวมาก็ยื่นมือ นกฟีนิกซ์น้อยยืนอยู่บนแขนนาง ค่อยๆ เดินกลับมายืนที่บ่า
หยู่เหวินเจ๋อหลานโฉมเฉลาเลือดฝาก หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเป็นประกาย ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย “กลับมาแล้วหรือ?”
แม่นางโจวถาม “เจ้าหญิงน้อยกลับมาทำไมเพคะ? ท่านอ๋องล่ะ?”
“พวกเขากลับไปแล้ว บอกว่าจะไปทำธุระ” หยู่เหวินเจ๋อหลานยิ้มเอ่ย
ทว่าความจริงขณะอยู่ระหว่างทาง นางบอกว่าอาจารย์มารับนางแล้ว ต้องไปแล้ว ตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อ แต่พอเห็นก้อนหินที่ไม่รู้ว่าโยนมาจากทางไหนแล้วถึงเชื่อ ว่าอาจารย์นางซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งจริงๆ
แต่ที่เชื่อง่ายๆ เช่นนี้ ก็เพราะดื่มหนักเป็นหลัก อีกทั้งในสุรายังเจือปนบางอย่างอยู่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จกันแน่
“ทิ้งเจ้าหญิงเช่นนี้ได้อย่างไร? ไร้ความรับผิดชอบจริงเชียว!” แม่นางโจวโพล่งก่นด่า น่าโมโหนัก ที่โมโหที่สุดไม่ใช่เพราะอ๋องเว่ยไม่สนใจความปลอดภัยของนายน้อย แต่เพราะเขากลับทิ้งนายน้อยอยู่นี่ให้เป็นปัญหากับนาง
นางมีเวลาดูแลเด็กที่ไหน? หากว่างงานจริง นางก็ไปหาผู้ชายออกเรือน คลอดลูกมาเล่นสักสองสามคนแล้ว
แต่อย่างไรก็เป็นนายแม้จะไม่พอใจแต่ก็แสดงออกมาไม่ได้
“เอาล่ะ สรงน้ำเข้าบรรทมเร็วหน่อยเถอะเพคะ ดูสิพระพักตร์เปรอะเปื้อนหมดแล้ว อาภรณ์ก็สกปรก” แม่นางโจวเอ่ยเรียบ
“อือ ก็ดี วันพรุ่งเจ้าไปที่แห่งหนึ่งเป็นเพื่อนข้า!” หยู่เหวินเจ๋อหลานเอ่ย
“ที่ใดหรือเพคะ? ข้าน้อยไม่แน่ว่าจะมีเวลา” แม่นางโจวขมวดคิ้ว พรุ่งนี้นางยุ่งมาก ถัดจากนั้นก็ยุ่งเช่นกัน ตามการสืบความเมื่อก่อนหน้านี้ เกรงว่าโจรบนเขาลั่งซานต้องซ่องสุมกำลังใหม่แน่
น้ำเสียงเจ๋อหลานเบานุ่ม แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้ง “พรุ่งนี้ค่อยบอกว่าที่ไหน ออกเดินทางยามเหม่า ไม่ต้องพาคนไปมาก สองสามคนก็พอ”
“หากเจ้าหญิงน้อยต้องการเดินชมละแวกนี้ ข้าน้อยจะหาคนสองคนไปเป็นเพื่อนเพคะ” แม่นางโจวอึดอัดคับใจเล็กน้อย นางมีเวลาไปเดินเล่นเป็นเพื่อนนางที่ไหนกัน?
“ไม่ เจ้าต้องไปด้วย!” เจ๋อหลานมองนาง
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเพคะ!” แม่นางโจวเอ่ยเรียบ ให้ข่งเยี่ยนเข้าไปจัดการให้นางเข้านอน
ข่งเยี่ยนทำหน้าหงุดหงิด นางก็เอาใจเด็กไม่เป็นเหมือนกัน กลางคืนไม่รู้ว่ายังต้องเล่านิทานหรือไม่
หากไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน พูดมาก ก็จะวางยาให้นางหลับเป็นตายไปเลย นอนสักสองสามวันแล้วให้อ๋องเว่ยมารับตัวกลับ
และเป็นเช่นนั้นจริง ครั้นส่งเจ๋อหลานกลับห้องแล้ว นางก็ถามข่งเยี่ยนเกี่ยวกับเรื่องโจรบนเขาลั่งซานเดิมทีข่งเยี่ยนก็หงุดหงิดกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่อยากพูดอีก แต่นางก็ถามไม่หยุด ทำจนข่งเยี่ยนวุ่นวายใจ ดังนั้นจึงจุดควันสลบ อ้างว่าจะออกไปเอาของหน่อย รอจนสิบนาทีให้หลังแล้วจึงกลับมา เห็นนางหลับสนิทแล้วข่งเยี่ยนจึงโล่งอก
แต่เมื่อเห็นใบหน้าบริสุทธิ์ไร้พิษภัยของนายน้อยแล้วก็รู้สึกว่าตนบาปหนาเหลือเกิน เป็นแค่เด็กเท่านั้น ใยต้องใช้วิธีพวกนี้ด้วย?
นางห่มผ้าให้เจ๋อหลาน เปิดหน้าต่างระบายควันสลบ แล้วก็กลัวว่านางจะสูดควันสลบแล้วจะเกิดผลข้างเคียง จึงนั่งอยู่ข้างเตียงอีกระยะหนึ่ง มั่นใจว่าหายใจสะดวกแล้วถึงจะไป