บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1555 เพลิงไหม้บนภูเขา
โจรไร้หลักแหล่งทางตะวันออกมีทั้งหมดสามร้อยกว่าคน โหดเหี้ยมเป็นที่สุด แต่จำนวนคนก็น้อยที่สุดเช่นกัน
คนเหล่านี้ชั่วช้าสามานย์อย่างยิ่งยวด ฉุดคร่าหญิงสาวชิงทรัพย์ ทำทุกอย่าง ชุดดำล้วนทำให้ชาวบ้านต้องอกสั่นขวัญแขวน
แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นวันตายของพวกเขาแล้ว
กลองหนังทางตะวันออกถูกตีดังขึ้น
ทั่วทั้งเขาลั่งซานต่างได้ยินเสียงกลองนี้ ครั้นโจรภูเขาได้ยินแล้วก็มาทันที รู้ว่าพวกเขาจะลงเขาแล้วจึงรอส่วนแบ่ง
แต่พอพวกเขามาถึง กลับเห็นเผิง (*สัตว์ในเทพนิยายจีน เทียบได้กับครุฑในพุทธศาสนา) บินอยู่กลางอากาศ บนเผิงตัวนั้นมีแม่นางน้อยนั่งอยู่คนหนึ่ง ความสูงประมาณสามสิบจั้ง แต่กลับมองไม่เห็นโฉมหน้าของนาง เห็นเพียงแสงไฟในดวงตา
รังโจรทางตะวันออกลุกเป็นไฟ เป็นเพลิงที่ลุกโชนโดยไม่รู้สาเหตุ
ไม่มีใครเห็นว่าไหม้ได้อย่างไร แม้แต่โจรที่ยืนอยู่ข้างกำแพงไม้ไผ่ก็รู้สึกเพียงตัวร้อนๆ ครั้นแหงนหน้าก็เห็นไฟทะยานขึ้นฟ้าแล้ว
โจรภูเขาและโจรไร้หลักแหล่งต่างตกใจหน้าถอดสี ไม่มีเวลาสนใจว่าแม่นางน้อยผู้นั้นคือใคร รีบเข้าสถานที่เกิดเพลิงจะดับไฟทันที เพราะที่นี่เป็นค่ายใหญ่ของพวกเขา หากเพลิงลามออกไป เขาลั่งซานก็จะถูกเผาจนวอดวาย
แต่ไฟเหล่านี้กลับไม่อาจดับได้ ทั้งยังค่อยๆ ลามออกไป แพล็บเดียวก็กลายเป็นวงอัคคี ด้านนอกไม่ไหม้ แต่ก็ออกไปไม่ได้ พวกเขาถูกขังให้อยู่ในทะเลเพลิง
จู่ๆ เสียงของแม่นางน้อยก็ดังขึ้น เสียงไม่ดัง แต่ท่ามกลางเสียงโอดครวญร่ำไห้กลับได้ยินชัด “พวกเจ้ายึดเขาลั่งซาน เข่นฆ่าประชาชน วันนี้ต้องตายอยู่ในทะเลเพลิง เป็นกงกรรมแห่งฟ้า ตอบสนองความชั่ว ข้าจะถามพวกเจ้า พวกเจ้ารู้ความผิดแล้วหรือยัง?”
ลักษณะเพลิงแปลกเช่นนี้ ทั้งยังเห็นเด็กสาวนั่งอยู่บนตัวเผิงอีก ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา อันที่จริงคนชั่วช้าจะงมงายมากที่สุด ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงร้องขอชีวิต ปากก็ว่า “ข้ารู้ความผิดแล้ว เรารู้ความผิดแล้ว ท่านเซียนโปรดไว้ชีวิตด้วย”
แต่มีสองสามคนในนั้นแอบหยิบดาบหยิบกระบี่ รอให้เด็กสาวลงมาก็จะฆ่านางซะ
และเป็นเช่นนั้นจริง ครั้นเผิงค่อยๆ ร่อนลง พวกเขาก็เงยหน้า เห็นรอยยิ้มเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้พิษภัย ถูกแสงไฟสะท้อนจนส่องสว่าง แต่หน้าตาอ่อนโยนมีเมตตานั้น กลับเอ่ยคำพูดที่อำมหิตที่สุด “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ความผิดแล้ว เช่นนั้นก็วางใจไปตายเถอะ!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
มีคนจำนวนหนึ่งกดฟันกรอดถือดาบมุ่งเข้ามา ฟันมาทางเจ๋อหลาน
ทันใดนั้นนกฟีนิกซ์ก็โฉบลงมาจากอากาศ เพลิงไหม้ทวีความรุนแรงขึ้น ไฟโหมพัดกระพือ ครั้งนี้เผาทุกหลังคาเรือน สิ่งของ วงอัคคีล้อมทุกสิ่ง ล้วนถูกเผาเป็นจุณ ทว่าต้นไม้ใบหญ้าด้านข้างกลับไม่ได้รับผลกระทบสักนิด
โจรบนเขาลั่งซาน เหนือใต้ออกตก ทุกคนล้วนจมอยู่ในทะเลเพลิง ไม่มีผู้รอดชีวิต
นี่เป็นการล้างบางแบบถอนรากถอนโคน
ก่อนจบชีวิตโจรภูเขาและโจรไร้หลักแหล่งต่างไม่อยากจะเชื่อ ว่าสาวน้อยที่หน้าตาอ่อนโยนเช่นนั้นจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้
กระทั่งพวกแม่นางโจวและข่งเยี่ยนมาถึง เพลิงไฟไหม้ก็สงบลงแล้ว
แม่นางโจวพบม้าของเจ๋อหลานอยู่ที่ตีนเขา รู้ว่านางขึ้นเขา วินาทีที่เห็นม้า แม่นางโจวก็ตกใจจนหัวใจแทบจะหลุดออกมา
แต่เมื่อนางเห็นนายน้อยกับนกฟีนิกซ์ยืนนับจำนวนศพอยู่ท่ามกลางกองซากเพลิงแล้ว นางก็รู้สึกหายใจติดขัดหนักขึ้นมา
การปิดล้อมหลายปี มีแต่สูญเสียกำลังทหาร แต่กลับไม่อาจสังหารศัตรูได้
ทว่านายน้อยกลับสังหารโจรภูเขาและโจรไร้หลักแหล่งทั้งหมดบนภูเขา?
นี่เป็นไปไม่ได้ ต้องเกิดไฟภูเขาขึ้นพอดีแน่ พวกโจรหนีไม่ทัน ก็เลยตายอยู่ในกองเพลิงนั้นกระมัง
นางยอมที่จะเชื่ออย่างหลัง
แต่ครั้นนางเห็นดวงตานายน้อยมีเปลวเพลิงวิบวับ นางก็รู้ว่าอย่างแรกสิจึงจะถูก
นางนึกถึงหูหมิงที่มาเมืองโร่ตูเมื่อก่อนหน้านี้ เขาเคยบอกว่านายน้อยของเมืองโร่ตูวางเพลิงได้ ตอนนั้นนางรู้สึกเพียงหูหมิงพูดจาเลอะเทอะ แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นจริง
เจ๋อหลานค่อยๆ เดินขึ้นหน้า เงยหน้า แล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าหิวแล้ว!”
นางสะกดความตระหนก แล้วค่อยๆ เดินมา ยื่นมือ พยายามควบคุมเสียง แต่กลับแปร่งไปเล็กน้อย “เจ้าหญิง เราลงเขากันเถอะเพคะ ไปเสวยของอร่อย”
มือของเจ๋อหลานวางอยู่ในฝ่ามือของแม่นางโจว แม่นางโจวมีความคิดจะดึงมือกลับตามสัญชาตญาณ ร้อนเหลือเกิน
แต่พออดทนต่อความร้อนพักหนึ่งแล้ว กลับรู้สึกสบายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับมีความอุ่นไหลผ่านจากฝ่ามือไปยังแขนและแล่นเข้าหัวใจ ความอ่อนล้าที่เร่งรีบตลอดทางหายไปทันควัน
นางสะดุ้งในใจ ไยเป็นเช่นนี้ไปได้?
นายน้อยเป็นผู้ใดกันแน่? มิใช่เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ที่ถูกดูแลจนเคยชินหรือ?
นางอยากถาม แต่ครั้นคำพูดถึงริมฝีปากก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ได้แต่สั่งให้ข่งเยี่ยนกับคนที่เหลืออยู่เก็บกวาดจุดเกิดเหตุบนเขา จากนั้นก็พาเจ๋อหลานและนกฟีนิกซ์น้อยลงเขาไป
ตลอดทางที่ลงเขา สองขาอ่อนเปลี้ย เกือบทรุดลงหลายครั้ง
กระทั่งถึงตีนเขาเจ๋อหลานดึงมือกลับแล้วยื่นมือไปจูงม้า ในที่สุดแม่นางโจวก็ทนไม่ไหวอีก สองเข่าล้มพับ ทรุดคุกเข่าลงกับพื้น
เจ๋อหลานประหลาดใจเล็กน้อย มองนางด้วยนัยน์ตาราวกับดวงดารา
แม่นางโจวรู้สึกว่าตนไม่เอาไหน ไร้ประโยชน์ ไม่กล้าบอกว่าตัวเองตกใจจนเข่าอ่อน เพียงแต่อึกๆ อักๆ พูด “ข้าน้อยนึกขึ้นได้ว่ายังไม่เคยทำพิธีคุกเข่าคารวะเจ้าหญิง…ข้าน้อยโจวจื้อชัน คารวะเจ้าหญิงเพคะ!”
นางคารวะอย่างตั้งใจ ในใจนึกเสียใจนัก เหตุใดตอนนั้นจึงคิดว่านายน้อยเป็นเจ้าหญิงที่ทะนงตนอ่อนแอ?
รู้อยู่แล้วว่าฮองเฮามิใช่คนธรรมดา ธิดาของนางก็ย่อมต้องเหนือคนอยู่แล้ว
เจ๋อหลานพลิกตัวขึ้นหลังม้า แลนางจากด้านบน ใบหน้ายังคงยิ้มบาง สุภาพอ่อนโยน น่ารักอย่างเช่นเคย “ลุกขึ้นเถอะ ข้าหิวแล้ว!”
“เพคะ!” แม่นางโจวลุกขึ้นมา แต่กลับไม่กล้ามองประกายในดวงตานางตรงๆ
ทั้งสองคนควบม้าจากไปไล่เลี่ยกัน นกฟีนิกซ์บินอยู่ด้านบนเจ๋อหลาน ครั้นบินออกไปไกลก็ย้อนกลับมาวนเวียนกลางอากาศอีก อย่างกับกระโดดโลดเต้น ท่าทางอารมณ์ดีมาก
เจ๋อหลานเงียบตลอดทาง สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน ราวกับเมื่อครู่นางแค่ขึ้นเขาไปท่องเที่ยวเท่านั้น ชมวิวทิวทัศน์นิดหน่อย ไม่เห็นความอ่อนล้าสักนิด
แม่นางโจวที่แต่ไรมาร่างกายก็แข็งแรงมาก อ่อนเปียกตลอดทาง เกือบจะหล่นจากหลังม้าหลายครั้ง
เมื่อกลับถึงจวนเจ้าเมือง แม่นางโจวก็ให้คนเตรียมอาหาร เจ๋อหลานนั่งอยู่บนเก้าอี้ เริ่มกินช้าๆ
นางดื่มน้ำซุปไปถ้วยหนึ่ง กินข้าวสวยไปสองถ้วย จากนั้นจึงจะกินกับข้าว
นางกินอาหารช้ามาก ดื่มด่ำเหลือเกิน แค่ท่าทางกินข้าวสวยก็ดูเอร็ดอร่อยแล้ว
แม่นางโจวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนาง แต่กลับกินไม่ลงสักคำ
นางดีใจ แต่กลับระทึกใจมากกว่า นางไม่เข้าใจว่านี่เป็นความสามารถอะไรกัน
คำถามที่อดมาตลอดทาง ในที่สุดก็ยังเอ่ยออกมา “เจ้าหญิงน้อยเพคะ ทรงวางเพลิงหรือเพคะ? คนเหล่านั้นล้วนถูกพระองค์สังหาร?”
เจ๋อหลานช้อนตาขึ้น กินกับข้าวไปคำหนึ่ง “ข้าวางเพลิง แต่คนพวกนั้นถูกไฟคลอกตาย ข้าไม่ได้ฆ่า”
แล้วนี่มันต่างกันหรือ? แม่นางโจวฉงนใจหนัก
“พวกเขาถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!” เจ๋อหลานเอ่ย
“จะเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์ได้อย่างไรเพคะ?”
เจ๋อหลายเอ่ยอย่างจริงจัง “หากเจอกับเพลิงไหม้ เจ้าจะหนีไหม?”
“แน่นอนเพคะ!”
“เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาไม่หนีเล่า?”
“นั่นสิเพคะ เหตุใดพวกเขาจึงไม่หนี?”
เจ๋อหลานหัวเราะ “ก็เพราะพวกเขาหนีไม่ได้ กรรมตามสนองพวกเขา วิ่งไม่ได้ พวกเขาก็เลยต้องตายในทะเลเพลิง ข้าไม่ได้ฆ่า”
ก็ยังไม่ต่างกันอยู่ดี
แต่พอเห็นนายกินอาหารต่อ ท่าทางไม่อยากถกปัญหาเรื่องนี้อีก นางจึงหยุดปาก แล้วค่อยๆ กินข้าว ทว่าในใจกลับรู้สึกเปรมปรีดิ์ ต่อไปเมืองโร่ตูยังมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้อีก?