บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1556 สันติภาพระยะยาว
ความเปรมปรีดิ์ของแม่นางโจวคงอยู่ไม่นาน หลังจากเจ๋อหลานกินอาหารเสร็จ เช็ดปากแล้วก็มองนางพลางเอ่ย “ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว หากต้องการขจัดปัญหาของเมืองโร่ตูจริงๆ ยังต้องใช้เวลาอีกนาน นั่นไม่เหมือนกับโจรภูเขา คนชั่วบนเขาลั่งซ่านเผาได้ในคราเดียว แต่ปัญหาสังคมของที่นี่ อย่างไรก็ฆ่าล้างบางไม่ได้”
แม่นางโจวอึ้ง นางตะลึงพรึงเพริดเกินไปจึงพูดเรื่องที่ตนคิดออกมาหรือ? แต่นางจำได้ว่านางไม่ได้พูดนี่ เห็นท่าทางนัยน์ตาเป็นมิตรที่มองมาของนายน้อยแล้ว นางก็ปัดความทรงจำของตนทันที นางต้องพูดออกไปแน่!
“ข้าจะอยู่ที่เมืองโร่ตูประมาณหนึ่งปี หนึ่งปีนี้เรื่องที่เราทำได้มีขีดจำกัด แต่อย่างน้อยก็กำจัดความวุ่นวายได้ส่วนหนึ่ง สำหรับความสมานฉันท์ระหว่างชนเผ่าในอนาคต การหลอมรวมทางวัฒนธรรม ความเคยชินในการดำรงชีวิตจนไปถึงการสวามิภักดิ์ต่อราชสำนักนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนานจริงๆ”
“เพคะ เพคะ ข้าน้อยยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหญิงน้อย”
เจ๋อหลานยิ้มบาง “ไม่ เหล่าโจว เป็นข้าที่ให้ความร่วมมือกับเจ้า ข้ายังไม่ได้รับเมืองโร่ตูมาปกครองอย่างเป็นทางการ เวลานี้เจ้านั่นแหละถึงจะเป็นผู้ดูแลเมืองโร่ตูที่แท้จริง”
“ข้าน้อยมิกล้า มิกล้าเพคะ!” แม่นางโจวรีบเอ่ย ต่อหน้านายน้อย จะบอกว่าตนเป็นผู้ดูแลหลักได้อย่างไร? นี่เป็นการล่วงเกินอย่างสูง
แม่นางโจวไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ตนจึงกลายเป็นคนประจบขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เพลิงไหม้ที่เขาลั่งซานทำให้นางสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณ แล้วยังยินดียอมรับศิโรราบจากใจจริง
“ให้เจ้าทำอย่างไร เจ้าก็ทำเช่นนั้นเถอะ” เจ๋อหลานลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก “ข้าจะนอนสักเดี๋ยว ง่วงนิดหน่อย ยามจื่อเรียกข้าตื่นมากินมื้อดึกนะ”
นางเคยชินกับการกินวันละสามมื้อ ตอนเช้ากินผลไม้ถือว่ามื้อหนึ่ง เวลานี้แม้จะค่ำแล้วแต่ก็จัดเป็นได้แค่มื้อเที่ยง ยามจื่อตอนนั้นถึงจะเรียกว่ามื้อเย็น
ความเคยชินมิอาจเปลี่ยน
อุ๊ยๆๆ ทันใดนั้นเมื่อนางโจวก็แตกตื่น วิ่งจู๊ดด้วยความเร็วร้อยเมตรไปทางตลาด
ปกติในจวนไม่มีผักเหลือค้าง แต่ถึงจะมี อาการร้อนเช่นนี้ ถึงยามจื่อก็เหี่ยวหมดแล้ว วันนี้นายน้อยเหน็ดเหนื่อยจริงๆ จะกินอาหารที่ไม่สดใหม่ไม่ได้
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม แม่นางโจวก็แบกวัตถุดิบอาหารกลับมาหนึ่งเข่ง ไก่หนึ่งตัว เป็ดหนึ่งตัว เนื้อไร้มันเล็กน้อย ผลไม้ผักสดเป็นกอง นางเข้าครัวด้วยตนเอง ทำอาหารมื้อใหญ่ให้นาย
นางเคยเห็นปริมาณกินของนายน้อยมาก่อน นางรู้ว่านายน้อยสามารถกินของในเข่งคนเดียวได้กว่าครึ่ง
เพื่อเอาใจนาง ยังรวบรวมหญิงในจวนมาทำขนมจำนวนหนึ่ง
ที่จริงสมัยก่อนคนทั้งจวนกระทั่งทั้งเมืองโร่ตู มีเพียงไม่กี่คนที่ทำขนมเป็น เป็นหูหมิงที่มาลาดตระเวนในตอนหลังสอนพวกนางทำขนม ให้นางเผยแพร่ออกไป ให้ประชาชนเมืองโร่ตูสัมผัสวัฒนธรรมการกินดื่มของเป่ยถัง
แต่ทั้งหมดก็แค่ไม่กี่อย่าง ที่ทำเป็นก็มีเพียงไม่กี่คน
ด้วยเหตุนี้ ขนมจึงเป็นของหายากมาก
แม่นางโจวหมกตัวอยู่ในครัวตลอดทั้งคืน เริ่มเตรียมมื้อเย็นให้นายน้อย
รอจนทำเสร็จ จัดวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถง ก็ใกล้ได้เวลาพอดี ดังนั้นจึงไปเฝ้าอยู่ในเรือนของนายน้อย รอนางตื่นขึ้นมา
ฆ้องยามสามเคาะแล้ว แต่นายน้อยกลับไม่มีความเคลื่อนไหว นางจึงเคาะประตูอยู่ด้านนอก พักหนึ่งก็มีเสียงเจ๋อหลานแว่วออกมาจากข้างใน “เดี๋ยวนี้แหละ!”
นางเอ่ย “เจ้าหญิง ข้าน้อยจะรออยู่ที่ห้องโถงนะเพคะ”
ว่าแล้วนางก็หมุนตัวเดินกลับ
ครั้นถึงห้องโถงกลับเห็นข่งเยี่ยนพาคนอีกจำนวนหนึ่งนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะกันยกใหญ่ อาหารทั้งโต๊ะ กินไปแล้วกว่าครึ่ง
แม่นางโจววิ่งเข้าไปราวกับคนบ้า เท้าเอวตะคอก “ใครให้พวกเจ้ากิน?! นี่เป็นอาหารของเจ้าหญิงน้อย อาหารพวกเจ้าอุ่นอยู่ในหม้อ!”
ข่งเยี่ยนและคนอื่นๆ หาเสียงหนึ่ง ลุกขึ้นยืนพรวด “จริงหรือ? ข้านึกว่านี่เป็นอาหารที่ทิ้งให้พวกเรา กลับมาหิวจะแย่ ยังไม่ได้เข้าห้องครัวเลย เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”
แม่นางโจวโมโหพลุแตก “ยังไม่รีบเก็บกระดูกอีก?”
นางมองอาหารแวบหนึ่ง ไก่หนึ่งตัว เหลือแต่ตีนไก่ ตูดไก่ กับเนื้ออกไม่กี่ชิ้น เป็ดตุ๋นก็เช่นกัน อาหารจานอื่น ส่วนที่อร่อยก็ถูกกินไปหมดแล้ว เหลือแต่ที่ไม่อร่อย ขนมสองสามจานก็เหลือเพียงสามชิ้น
“พวกเจ้าช่างน่าโมโหเสียจริง!” แม่นางโจวรีบเก็บ คนอื่นก็ร่วมด้วย
ครั้นเจ๋อหลานกับนกฟีนิกซ์น้อยออกมา เห็นพวกนางกำลังเก็บกันอยู่จึงเอ่ยถาม “พวกเจ้ากินกันเสร็จแล้วหรือ?”
“เปล่า…” แม่นางโจวตอบไปแบบไม่ทันคิด แต่ก็เหลือแต่เศษๆ แล้วจริงๆ นางจึงเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “เจ้าหญิงน้อย ทรงบรรทมอีกสักประเดี๋ยวเถอะเพคะ ข้าน้อยจะไปฆ่าไก่ ในจวนมีแม่ไก่ออกไข่สองสามตัว ข้าน้อยจะเอามาตุ๋นตัวหนึ่ง”
เจ๋อหลานนั่งลง ยิ้มเอ่ย “ไม่ต้อง นี่มิใช่ยังมีอาหารอีกหรือ? ข้ากินนี่ก็พอ”
“แต่…นี่เป็นของเหลือเพคะ” ข่งเยี่ยนรู้สึกผิดมาก นายน้อยมีฐานะเป็นถึงเจ้าหญิง จะให้นางกินของเหลือได้อย่างไร?
“ไม่เป็นไร อิ่มท้องก็พอ จะสิ้นเปลืองอาหารไม่ได้!” เจ๋อหลานหยิบตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มกิน
แม่นางโจวเห็นดังนั้นแล้วจึงรีบเร่งพวกนาง “ไปยกกับข้าวพวกเจ้าในหม้อมา ให้เจ้าหญิงน้อยได้กินอาหารสดใหม่”
“ได้ ได้!” พวกนางเดินเร็วปรี่ไปห้องครัวทันที
กับข้าวของพวกนางค่อนข้างเรียบง่าย ผัดเนื้อ ผัดผัก ต้มแตง ไข่พะโล้สิบกว่าฟอง ยกเข้ามากันใหญ่
เจ๋อหลานให้ทุกคนนั่งลงกินอาหารต่อ ทุกคนทำตามคำสั่ง นั่งลงแต่กลับไม่กล้ากิน
เกรงว่าจะไม่พอ
เจ๋อหลานกินเร็วกว่ามื้อก่อนหน้านี้นิดหน่อย กินไปก็ถามไป “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ทูลเจ้าหญิงน้อยแค่นับศพไปเท่านั้นเพคะ ยังมิได้ฝัง”
“มิต้องฝัง แค่นับก็พอ”
“ไม่ฝังหรือเพคะ?”
“ใช่ ปล่อยตามธรรมชาติ!” เจ๋อหลานเอ่ย
บนเขาลั่งซานมีสัตว์ร้ายมากมาย เหยี่ยวก็ไม่น้อย ถ้าเทียบกับการฝังให้สกปรกแผ่นดิน ก็มิสู้ให้สัตว์อิ่มท้องจะดีกว่า เพราะนางควบคุมการเผาได้ไม่เลวเลยทีเดียว
แม่นางโจวถามข่งเยี่ยน “มีที่เล็ดลอดหรือไม่?”
“ไม่ ไม่มี สิ้นซากแล้ว!” ข่งเยี่ยนเอ่ย
“ทั้งหมดกี่คน?”
“สองพันสามร้อยสามสิบคน!”
แม่นางโจวแค้นคนพวกนี้ถึงกระดูก นางนึกว่าบนเขามีห้าพันกว่าคนมาตลอด ไหนเลยจะรู้ว่ามีเพียงสองพันกว่าคนเท่านั้น เขาลั่งซานเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ให้โจรพวกนี้ปักหลักได้หลายปีแต่กลับบุกทลายไม่ได้
“คนพวกนี้มีคนของแคว้นจินหรือไม่?”
ข่งเยี่ยนตอบแม่นางโจว “ข้าไม่รู้ เห็นหน้าไม่ชัด”
“มี” เจ๋อหลานกำลังกินอาหาร เอ่ยอย่างออกเสียงไม่ชัด “ข้าเคยเห็น และมองออก โจรไร้หลักแหล่งทางตะวันออก มีหลายสิบคนที่เป็นคนของแคว้นจิน”
แม่นางโจวเดือดจนเนื้อเต้น “ข้าน้อยว่าแล้วเชียวว่าต้องมีคนแคว้นจินยุยงอยู่ พวกเขาสร้างความหวั่นวิตกมาโดยตลอด ทำให้ประชาชนเอาใจออกห่างราชสำนัก”
เจ๋อหลานเอ่ย “อือ ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปก็แล้วกัน ให้ทุกคนรู้ว่าคนแคว้นจินกำลังปลุกปั่น สำหรับเรื่องที่ประชาชนถูกโจรสังหารในหลายปีนี้ก็โยนให้พวกเขาด้วย”
“เออ…นี่จำเป็นหรือเพคะ?” แม่นางโจวลังเลเล็กน้อย ที่จริงก่อนที่โจรไร้หลักแหล่งจะมา บนเขาลั่งซานก็มีโจรภูเขาปล้นสะดมอยู่แล้ว
“ใช่ โยนให้พวกเขาทั้งหมด ชักนำให้ประชาชนโกรธแค้นแคว้นจิน แล้วให้เมืองโร่ตูทั้งหมดมีศัตรูร่วมแค้นคนเดียวกัน!” เจ๋อหลานวางตะเกียบ เอ่ยอย่างจริงจัง “แคว้นจินต้องการให้ประชาชนเมืองโร่ตูเอาใจออกห่างราชสำนัก พวกเราก็ต้องหนามยอกเอาหนามบ่ง ให้ประชาชนแค้นแคว้นจินเข้ากระดูก ต่อไปไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ก็จะไม่ได้รับความเชื่อถือจากเมืองโร่ตูสักนิด หากต้องการให้เกิดสันติภาพระยะยาว ก็ต้องทำให้เมืองโร่ตูมีศัตรูคนเดียวกับราชสำนัก”