บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1557 จับหูหมิงไว้ให้มั่น
พวกแม่นางโจวต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ และการปกครองเมืองโร่ตูกว่าครึ่งเป็นการใช้กำลังในการข่ม ที่จริงนี่เป็นเรื่องที่จนด้วยหนทาง เพราะมีคนประสงค์ร้ายมากมายต้องการปลุกปั่น
ระยะแรกจำเป็นต้องทำเช่นนี้
แต่เวลานี้ผ่านไปเจ็ดแปดปีแล้ว จะใช้วิธีเดิมอีกไม่ได้ ใช้กำลังเปลืองเงิน ใช้ปัญญาประหยัด ดังนั้นจึงควรเลือกอย่างหลัง
“ได้เพคะ จัดการตามประสงค์เจ้าหญิงน้อยทุกประการ!” แม่นางโจวเอ่ยขึ้นทันที
คนที่เหลือต่างก็เอ่ย “จะทำตามรับสั่งเจ้าหญิงน้อยทุกประการเพคะ!”
เจ๋อหลานลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปนอนต่อแล้ว”
ครั้นกล่าวถึงอ๋องเว่ยและอ๋องอาน เมื่อกลับถึงจวนเจียงเป่ย ทบทวนหลายตลบ ก็รู้สึกแปลกๆ
แต่ก็พูดไม่ออกว่าแปลกตรงไหน
อ๋องเว่ยสะบัดศีรษะ ลากอ๋องอานมาร่วมวิเคราะห์ “เสี่ยวกวามา เราส่งจดหมายไปถึงน้องห้า ถามเขา น้องห้าบอกให้พาเสี่ยวกวาไปเมืองโร่ตู ให้นางได้เปิดหูเปิดตา ใช่ไหม?”
“ใช่!” อ๋องอานพยักหน้าทื่อๆ
“จากนั้น เราก็ไป แล้วก็ทำอย่างที่น้องห้าบอก พาเสี่ยวกวาไปเดินดูเมืองสองวัน”
“ถูกต้อง!”
“แล้วเราก็กลับมา ระหว่างทางกวากวาก็ไปกับอาจารย์”
“มิผิด!”
“แต่เราไม่เห็นอาจารย์ของกวากวานี่!”
“ไม่เห็น! แต่ก็น่าจะจริง!”
“อือ ก็จริง” อ๋องเว่ยรู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ อาจารย์ของกวากวาต้องมาแน่ เขาเป็นพวกปริชานแกร่ง อย่างไรสมองก็สลัดความคิดนี้ไม่ได้ มั่นใจว่าอาจารย์นางต้องมารับนางแล้วแน่ จากนั้นก็คิดถึงอีกเรื่อง “เรารับปากว่าจะส่งทหารไปสองพันนายใช่ไหม?”
“ใช่!” อ๋องอานลุกขึ้นแล้วหาว “ข้าเหนื่อยแล้ว พี่สาม ท่านก็ไปเลือกทหารเถอะ”
อ๋องเว่ยฉุดผมเขาไว้ “ห้ามไป เจ้าหนึ่งพัน ข้าหนึ่งพัน!”
อ๋องอานประหลาดใจ “พี่สาม ท่านบื้อหรือไง? เป็นท่านที่รับปากมิใช่ข้า สองพันนายก็ต้องเป็นคนของท่านสิ”
อ๋องเว่ยหรี่ดวงตา “ตอนนั้น…เจ้าทำให้ข้ากับจิ้งเหอ…”
อ๋องอานยกมือยอมแพ้ “ได้ ท่านพันห้า ข้าห้าร้อย อย่าพูดอีกเลย หลายปีมานี้ท่านต้องการอะไรก็เอาแต่ยกเรื่องนี้มาพูด ไม่เบื่อหรืออย่างไร?”
“ตอนนั้น…เจ้าทำให้ข้ากับจิ้งเหอ…”
อ๋องอานตะคอก “ท่านหนึ่งพัน! ข้าหนึ่งพัน! พอใจหรือยัง?”
อ๋องเว่ยปล่อยเขา แล้วสวมแว่นตาดำที่กวาจื่อให้ หมุนตัวจากไปอย่างสง่า “พรุ่งนี้เลือกเสร็จแล้วก็ให้คนมาบอกข้า!”
อ๋องอานโมโหเสียไม่มี ติดเขาหนึ่งเรื่องต้องมาชดใช้ตลอดชีวิต
สองสามเดือนก่อนได้กระบี่ชิงเฟิงมาเล่มหนึ่ง เป็นของล้ำค่าหายาก แม้นเจ็บบาดแผลก็ยังร่ายกระบี่ไปหนึ่งเพลง สุดท้ายเขาพูดคำเดียวว่า “ตอนนั้น…เจ้าทำให้…” และแล้วกระบี่ชิงเฟิงก็หลุดมือไป
ครั้งก่อนอีก มียอดฝีมืออู่หลินมาขอลี้ภัย…
แล้วยังครั้งก่อนๆ ราชสำนักให้คนส่งวัตถุดิบยามาก็…
เรื่องเช่นนี้ ยกตัวอย่างไม่หวั่นไม่ไหว ชาตินี้ติดหนี้เขาไม่สิ้น
พระชายาอานเดินออกมา เห็นเขาโมโหจัด จึงเอ่ยถาม “ทำไมกลับมาถึงอารมณ์เสียเล่า? ใครทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ?”
“ยังจะมีผู้ใดอีก? พี่สามเอาทหารข้าไปพันนายดื้อๆ” อ๋องอานโมโหเอ่ย
“อ้อ เรื่องเล็ก เสี่ยวกวาล่ะ?” พระชายาอานถาม
“อาจารย์มารับตัวนางไประหว่างทางแล้ว” อ๋องอานเอ่ย
“ไปแล้วหรือ?” พระชายาอานอดผิดหวังเป็นไม่ได้ “ยังนึกว่านางจะได้อยู่ที่นี่นานหน่อย ไปเสียแล้ว ไม่รู้เมื่อไรจะได้พบกันอีก”
พวกเขาไม่ค่อยได้กลับเมืองหลวง แต่ถึงจะกลับไป กวากวาก็ไม่อยู่ในเมืองหลวง ไปเรียนวิชากับอาจารย์ จนถึงตอนนี้กวากวาอายุแปดขวบ ก็ได้เจอเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
“ไม่เป็นไร น้องห้าบอกแล้วว่าอีกสองปีนางก็จะกลับมา ถึงตอนนั้นหากเจ้ากับอานจืออยากพบนาง เราก็กลับเมืองหลวงกัน” อ๋องอานยื่นมือออกมานวดคิ้วของชายา “อย่าย่นคิ้วสิ”
“เช่นนั้นก็ได้ เดี๋ยวนี้นับวันก็ยิ่งคิดถึงผู้คนและเรื่องราวในเมืองหลวง หากเรามีเวลาก็กลับไปอยู่มากหน่อยเถอะ” นางเอ่ย จากนั้นก็ยิ้มอีก “ตอนนี้จิ้งเหอก็ย้ายกลับจวนอ๋องเว่ยแล้ว ข้าว่า…ระหว่างนางกับพี่สามน่าจะยังมีหวังนะ”
อ๋องอานมองนาง “ย้ายกลับไปก็มิได้หมายถึงว่ายังมีหวัง”
พระชายาอานยิ้มเอ่ย “ข้าว่ามี เมื่อก่อนเรากลับไป นางไม่เคยพูดถึงพี่สาม แต่ครั้งนี้กลับให้ข้าหาคนดูแลเรื่องการอยู่การกินของพี่สามด้วยแน่ะ”
“จริงหรือ?” อ๋องอานตะลึงไปเสียงหนึ่ง “มิน่าล่ะกลับมาครั้งนี้ถึงรู้สึกว่าเขาได้ใจใหญ่”
บัดนี้เรื่องที่เขาหวังที่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องที่ให้พวกเขาคืนดีกัน
เพราะเช่นนี้ก็จะไม่มีจุดอ่อนให้เขากำอยู่ในมือ ไม่ต้องเสียประโยชน์อีก
เรื่องนี้จึงผ่านไปทั้งอย่างนี้ อ๋องอานก็คิดไม่ออกว่าเรื่องของกวากวาจะแปลกอะไรตรงไหน
เจ้าห้าในเมืองหลวงก็วางใจมาก เพราะรู้ว่ากวากวาอยู่ในยุคปัจจุบัน ใจจดใจจ่อรอสองปีให้หลังกวากวาจะได้กลับมา
ณ เมืองโร่ตู
ขั้นแรกของเจ๋อหลานก็คือการรักษาความสงบในเมือง
คนที่มาจากต่างแดนต้องมีใบผ่านแดน มิเช่นนั้นจะเข้าเมืองไม่ได้ และโรงเตี๊ยมก็ห้ามรับแขกที่ไม่มีใบผ่านแดนนี่จึงทำให้คนที่อยากทำการค้าในเมืองโร่ตูจำต้องไปทำใบผ่านแดนกับทางการ จากเรื่องนี้จึงได้บันทึกฐานะและภูมิลำเนาของพวกเขา
จากนั้นก็กำหนดนโยบายการพัฒนา
สองเรื่องนี้ทำพร้อมกันได้
แต่ขาดกำลังคน ดีที่ไม่กี่วันให้หลังคนของอ๋องเว่ยก็มาถึง สองพันคน นำโดยหูหมิง หูหมิงจัดการที่พักให้ทหารเรียบร้อยแล้วถึงไปปรึกษาแม่นางโจวเรื่องการปราบโจรที่จวน
หลายปีมานี้หูหมิงทำงานอยู่ด้านนอกตลอด ที่ใดต้องการคนเขาก็จะไปที่นั่น สองปีนี้อยู่ที่จวนเจียงเป่ยกับหกเกอเอ๋อมากหน่อย กลับเมืองหลวงปีละครั้ง
ปีที่เจ๋อหลานอายุหกขวบ เขากลับเมืองหลวงมารายงานการปฏิบัติหน้าที่ และได้พบกับเจ้าหญิง
ดังนั้นหลังจากเขาเข้าจวนมาแล้วก็จำเจ๋อหลานได้ทันที
และพูดได้ว่าเขาก็จำฟีนิกซ์ได้ในแวบแรกเช่นกัน สายตาทะนงตน มีเพียงหนึ่งเดียว
เขาตะลึงหนัก รีบเข้าไปคารวะ
เจ๋อหลานย่อมจำเขาได้ ก่อนหน้านี้หูหมิงพักอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ตลอด เจอกันทุกวัน
“พี่หู ท่านก็มาแล้วหรือ?” เจ๋อหลานยิ้มทักทาย
“เหตุใดเจ้าหญิงจึงประทับอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ?” หูหมิงถาม
“เสด็จพ่อให้ข้ามาเปิดหูเปิดตาที่เมืองโร่ตู” เจ๋อหลานพูดแบบหน้านิ่ง
หูหมิงแอบประหลาดใจ “เช่นนี้นี่เอง!”
แต่เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเจ้าหญิงเพียงไร คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขาเป็นคนที่มาจากจวนอ๋องฉู่รู้ดี อย่าว่าแต่จะให้เจ้าหญิงมาอยู่ยาวที่เมืองโร่ตู แม้นจะแค่วันเดียว พระทัยของฝ่าบาทก็ต้องตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดแน่
“เช่นนี้แหละ!”
หูหมิงอ้อเสียงหนึ่ง แต่ในใจกลับมีความคิด ดูท่าต้องส่งจดหมายไปถามกับพ่อบุญธรรมทังหยางให้แน่ชัดเสียแล้ว
ครั้นแม่นางโจวรู้ว่าเขามา ก็พาข่งเยี่ยนออกมาพบเขา เมื่อหูหมิงพูดเรื่องการปราบโจร แม่นางโจวก็หัวเราะ “ไม่จำเป็นแล้ว เขาลั่งซานไม่มีโจรอีกแล้ว”
“หา?” หูหมิงตะลึงอีก “จะไม่มีได้อย่างไร ตอนที่ท่านอ๋องให้เรามาก็เพื่อมาปราบโจร นี่เพิ่งจะกี่วันเอง”
“สรุปก็คือไม่มีแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็วางใจอยู่เมืองโร่ตู ช่วยทำเรื่องอื่นเถอะ” แม่นางโจวได้ใจใหญ่ ตั้งสองพันคน จะให้พวกเขากลับไปได้อย่างไร
หูหมิงส่ายหน้า “ในเมื่อไม่จำเป็นต้องปราบโจรแล้ว พวกข้าก็จะกลับล่ะ”
เจ๋อหลานมองหูหมิง “พี่หูเพิ่งมาก็จะกลับไปแล้วหรือ? ดูแคลนเมืองโร่ตูของข้าหรือไร?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้นเด็ดขาด” เมื่อนั้นหูหมิงถึงนึกขึ้นได้ว่าเมืองโร่ตูเป็นเมืองของเจ้าหญิง รีบอธิบาย
รอยยิ้มเจ๋อหลานปานบุปผาทันที “พี่หูหมิงยอมอยู่ที่เมืองโร่ตู ช่างวิเศษไปเลย!”
หูหมิงตะลึง เขาบอกว่าจะอยู่หรือ?
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเจ้าหญิงแล้ว เขาก็พูดไม่ออกว่าจะไป