บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1563 ข้าบอกแล้วว่าจะแต่งงานกับเจ้า
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1563 ข้าบอกแล้วว่าจะแต่งงานกับเจ้า
หนุ่มน้อยเริ่มดิ้นรนลุกขึ้นมา “ข้าต้องไปเดี๋ยวนี้ จะทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้”
เจ๋อหลานกดไหล่ของเขาเอาไว้ “ตอนนี้เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น คนของเสด็จอาของเจ้ากำลังออกตามหาเจ้า เจ้าออกไปก็เท่ากับไปตาย รักษาตัวให้หายก่อนค่อยออกไป”
หนุ่มน้อยเพิ่งจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาจากบริเวณหน้าท้อง ความเจ็บปวดไม่ได้ชัดเจนมาก เขาอยากจะดูสักหน่อย เจ๋อหลานพูดว่า “อย่าเคลื่อนไหว รักษาแผลให้ดีก่อน รักษาตัวสามวัน เจ้าก็สามารถออกไปได้แล้ว ”
หนุ่มน้อยนอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง รู้สึกหมดพลังอย่างรุนแรง ทั่วทั้งร่างกายไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย ที่จริงเขาไร้หนทางจะเดินออกไปได้ แต่เขาเกรงว่าจะทำให้นางเดือดร้อนไปด้วย
“เขา ต้องหาข้าพบแน่ ข้าหนีไม่พ้นแล้ว เจ้าอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”
“ข้าไม่กลัวว่าจะเดือดร้อน เจ้าแค่สนใจเรื่องที่ต้องรักษาตัวที่นี่อีกสามวันก็พอ รักษาแผลให้หายดี”
“ไม่มีประโยชน์”หนุ่มน้อยสีหน้าขาวซีด ดวงตาสีฟ้าอ่อนไม่มีความหวังใดๆแฝงอยู่เลย “คนสนิทที่รู้ใจข้าก็ตายไปแล้ว เขาเองก็รู้ว่าข้าเป็นคนทำ ขอเพียงเห็นบาดแผลของข้า เขาก็สามารถฆ่าข้าได้แล้ว”
“บาดแผลหายดีแล้ว ก็จะไม่เหลือร่องรอยอะไร”เจ๋อหลานพูดยิ้มๆ
หนุ่มน้อยมองนาง แล้วก็ยิ้มขึ้นมา ใช่แล้ว เด็กคนหนึ่งจะไปรู้อะไร
บาดแผลหายดี แต่ก็ยังคงทิ้งแผลเป็นเอาไว้
ก็ดี ถ้าหากสามารถอยู่ที่นี่ได้อีกสามวัน ก็นับว่าชีวิตนี้มีเวลาช่วงหนึ่งที่ไม่ต้องถูกเขาคอยจับตาดูอยู่
เขาค่อยๆนอนหลับไปอีกครั้ง
พอตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าข้างนอกก็มืดแล้ว ในห้องมีแสงเล็กๆดุจเมล็ดถั่วจุดเอาไว้ บนโต๊ะมีโจ๊กเนื้อวางอยู่ กลิ่นหอมหวน
เจ๋อหลานเห็นเขาตื่นขึ้นมา ยกโจ๊กเข้ามาป้อนให้เขากลืนลงไปทีละคำ และพูดว่า “ข้าบอกกับพวกเขาว่าข้าอยากจะกินโจ๊ก พวกเขาก็ส่งมาให้ข้า ท่านกินอย่างวางใจเถอะ ยังมีอีกหม้อใหญ่”
หนุ่มน้อยหิวมาก เจ๋อหลานป้อนหนึ่งคำ เขาก็กินหนึ่งคำ ยังกินด้วยท่าทีค่อนข้างรีบร้อน ไม่สนใจเลยสักนิดว่าโจ๊กมีความร้อนอยู่บ้าง
กินโจ๊กเสร็จแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง มองเจ๋อหลานที่กำลังเก็บกวาดอย่างขยันขันแข็งเงียบๆ ในหัวใจมีความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย
รอให้เจ๋อหลานเก็บกวาดเสร็จแล้วเดินกลับมา ในมือหนึ่งถือน้ำไว้แก้วหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็กำยาเม็ดไว้หลายเม็ด ยื่นไปที่ปากของเขา “ยาเม็ด กินเถอะ กินแล้วบาดแผลจะดีขึ้น”
เขาอ้าปากกินยาเข้าไป จากนั้นก็ดื่มน้ำที่อยู่ในมือของนางอึกหนึ่ง กลืนยาลงไปแล้ว ยาหยุดอยู่ในปากเป็นเวลานานอยู่บ้าง หลังจากกลืนเข้าไปแล้ว รู้สึกขมมาก
จากนั้นเจ๋อหลานก็ส่งลูกอมมาให้หนึ่งเม็ด เขาไม่ชอบกินของหวาน แต่ว่า ไร้หนทางจะต้านทานรอยยิ้มบนใบหน้าของนางได้ จึงอ้าปากกิน
ความหวานขับไล่ความขมในปาก หนุ่มน้อยรู้สึกเพียงแค่ว่าเกิดรสชาติหลากหลายขึ้นมาในใจ จมูกตื้อตันขึ้นมา อยากจะร้องไห้มาก
แต่เขาไม่มีสิทธิ์ร้องไห้
“ข้าชื่อหวันเหยียนจิ่งเทียน”ทันใดนั้นหนุ่มน้อยก็พูดขึ้นมา
เจ๋อหลานยิ้มสดใส “ข้ารู้ ”ชื่อของฮ่องเต้แห่งแคว้นจิน นางรู้ตั้งนานแล้ว
“ข้าต้องการบอกเจ้าด้วยตนเอง”หนุ่มน้อยมีความดื้อรั้นอยู่บ้าง ผิวที่ขาวซีดเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย
เจ๋อหลานออหนึ่งเสียง แล้วก็แนะนำตัวเองอีกครั้ง “ข้าชื่อเจ๋อหลาน”
“แซ่เจ๋อหรือ”
“นามสกุลของข้าท่านพ่อเป็นคนตั้งให้ เจ้ารู้ชื่อของข้าก็พอ ”เจ๋อหลานนั่งอยู่บนเตียง ขัดสมาธิ เส้นผมอ่อนนุ่มตกลงมา เส้นผมตรงขมับและหูมีความม้วนงอนอยู่บ้าง ความโค้งงอนของเส้นผมจรดอยู่ข้างแก้มขาวนวลของนาง
ราวกับตุ๊กตาดินเผาที่ถูกแกะสลักออกมาอย่างประณีต
หนุ่มน้อยมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย “ถ้าหากข้ารอดพ้นจากเคราะห์ร้ายครั้งนี้ได้ หลังจากข้าโตแล้ว เจ้าจะยินดีแต่งงานกับข้าหรือไม่”
ในสมองของเจ๋อหลานนึกถึงละครที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ ถอนหายใจหนักๆอย่างสุขุมเฮือกหนึ่ง“ข้าคิดว่าในตอนนี้ พวกเราต่างก็ไม่ควรให้คำมั่นสัญญาต่อกันมากนัก”
“เจ้าแค่บอกมาว่ายินดีหรือไม่ ”หนุ่มน้อยดื้อดึงขึ้นมา เปลวไฟในดวงตาชัดเจนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลับไม่เห็นสีฟ้าอ่อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เจ๋อหลานรู้สึกว่าภายใต้ความตื่นเต้นของเขา จะทำให้บาดแผลปริได้ จึงตอบตกลงไป“ได้”
ในเมื่อ อาจารย์เคยบอกว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องรักษาคำมั่นสัญญา เป็นผู้หญิงต้องเป็นหญิงเลวจึงจะดี จะได้ไม่ถูกผู้ชายนิสัยไม่ดีรังแก
หนุ่มน้อยถอนหายใจออกมาเบาๆเฮือกหนึ่ง รอยยิ้มค่อยๆเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขา “ดี ข้าจะต้องมีชีวิตรอด เพื่อจะได้แต่งงานกับเจ้า”
“……”
“ขอโจ๊กอีกถ้วย ถ้วยใหญ่”หนุ่มน้อยเอ่ยขึ้นด้วยจิตใจที่กระฉับกระเฉงสดชื่นขึ้น
“……”
เจ๋อหลานป้อนให้เขาอีกถ้วยหนึ่ง เริ่มสะลึมสะลือ แล้วเขาก็นอนหลับไปอีกครั้ง
กลางคืนของวันที่สอง เขาสามารถลงมาจากเตียงได้แล้ว กลางวันเขาไม่สามารถออกไปได้ กลางคืนจึงจะสามารถออกไปเข้าห้องน้ำได้ ฉะนั้น จึงแอบย่องออกไปเข้าห้องน้ำ
หลังจากกลับมา เขามองเห็นบริเวณหน้าท้องของตัวเอง ไม่มีบาดแผลแล้ว
เขารู้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้บาดแผลก็ยังคงเจ็บอยู่ เขามองเจ๋อหลานอย่างตกตะลึง
เจ๋อหลานพูดอธิบายว่า “วิชาบังตา ขอเพียงมีแสงสว่างมากกว่านี้อีกหน่อย ก็สามารถมองเห็นได้ ”
“จริงหรือ”
“อืม ใต้แสงอาทิตย์ จะสามารถมองเห็นได้ ”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า ถ้าหากอยู่ในห้อง แม้คนอื่นจะเห็นบริเวณนี้ของข้า ก็ไม่สามารถมองเห็นบาดแผลได้ ใช่หรือไม่ ”แววตาของหนุ่มน้อยเปล่งประกาย ใบหน้าเป็นประกายขึ้นมาด้วย
“ใช่แล้ว”เจ๋อหลานพูด
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี ”หนุ่มน้อยพูดพึมพำ ความหวังค่อยๆกลับคืนมา
ขอเพียงไม่ให้คนอื่นเห็นบาดแผล ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าเขาเป็นมือสังหาร
เขาไม่เคยลอบสังหารอ๋องเจิ่นกั๋วมาก่อน
เขาถามเจ๋อหลาน “ทำไมเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ เจ้ากับเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไร ”
“ข้าถูกลักพาตัวมา ”เจ๋อหลานเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก
“ถูกลักพาตัวมา เขาคิดจะทำอะไร”
เจ๋อหลานมองเขา “เจ้าไม่รู้หรือ”
หนุ่มน้อยส่ายหน้า “เรื่องของเขา ไม่เคยให้ข้ารับรู้มาก่อน ”
เจ๋อหลานบอกว่า “พ่อข้ามีเงิน เขาอยากจะลักพาตัวข้ามาเรียกค่าไถ่”
ตอนที่เจ๋อหลานพูดประโยคนี้ สีหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย พ่อนางไม่มีเงิน พ่อนางเป็นคนที่ยากจนมาก
หนุ่มน้อยพูดอย่างแน่วแน่ว่า “รอให้ข้าปลอดภัยแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าออกไป ”
เจ๋อหลานยิ้มหน้าบาน “ดี”
แต่ว่าผ่านไปชั่วครู่เขาก็เริ่มกลุ้มใจ จะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรเล่า
อย่างไรเสียเขาก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าไปเที่ยวเล่นกลับมาจากข้างนอก อย่างนี้จึงจะสมเหตุสมผล
เจ๋อหลานไม่ได้พูดอะไรอีก กำลังครุ่นคิด ฮ่องเต้ในอนาคตของแคว้นจินจะเป็นใคร ช่างสำคัญมากจริงๆ อ๋องเจิ่นกั๋วเป็นฮ่องเต้คงไม่ไหวแน่ๆ
เขาโหดเหี้ยมทะเยอทะยาน จ้องเมืองโร่ตู ตาเป็นมัน พร้อมจะเขมือบเมืองโร่ตูเข้าไปอยู่แล้ว ยังมีอีกหลายเมือง เกรงว่าเขาก็คงคิดจะเก็บมาเป็นของตนเอง
ใต้หล้านี้ ย่อมต้องเกิดสงครามขึ้นทุกหย่อมหญ้าเพราะความทะเยอทะยานของคนที่มีอำนาจเช่นนี้ ประชาชนต้องตกอยู่ในความลำบาก
ในค่ำคืนของวันที่สาม บาดแผลของเขาได้หายดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อย ถ้าหากไม่ถูกคนอื่นจงใจโจมตี ก็ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี เจ๋อหลานฉวยโอกาสตอนที่เขายังหลับสนิทอยู่ ผิวปากเรียกน้องฟีนิกซ์มา ให้น้องฟีนิกซ์นำตัวเขาบินออกไปนอกประตูเมือง
ทหารที่เฝ้าประตูจะพบเห็นเขา ถึงตอนนั้นแค่แต่งเรื่องหาข้ออ้าง บอกว่าถูกคนลักพาตัวไป จากนั้นก็หลบหนีออกมาอย่างยากลำบาก แม้อ๋องเจิ้นกั่วจะไม่เชื่อ ก็ไม่มีทางทำอะไรได้
หลังจากฟีนิกซ์จัดการวางเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ก็บินกลับมา พูดคุยกับเจ๋อหลานชั่วครู่ อ๋องเจิ่นกั๋วกำลังรวบรวมกำลังพลแล้ว จะมาชิงตัวนางกลับไป
เจ๋อหลานรู้อยู่แล้วว่าแม่นางโจวคงจะอดทนได้ไม่นาน คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ได้เงินมาแล้ว จากไปก็คงไม่เป็นไร
นางสัญญากับฟีนิกซ์ว่า รอให้หนุ่มน้อยกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วก็จะจากไป
เมื่อถึงช่วงเที่ยง หนุ่มน้อยถูกนำตัวกลับมาจริงๆ เขาสร้างเรื่องเป็นข้ออ้าง บอกว่าถูกลักพาตัวไป แต่ว่าถูกคนช่วยเหลือกลับมาโยนไว้ที่หน้าประตูเมือง
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็มึนงงมาก บอกไม่ได้ว่าใครช่วยเขาเอาไว้ ความรู้สึกสับสนนี้ ออกมาจากใจจริง ทำให้มองไม่ออกถึงความเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
อ๋องเจิ่นกั๋วดูบริเวณหน้าท้องของเขา ไม่มีบาดแผล ได้แต่ประกาศต่อภายนอกว่า ฮ่องเต้กลับมาแล้ว ยังคงประกาศตามจับมือสังหารและคนที่ลักพาตัวฮ่องเต้ต่อไป
หลังจากที่เจ๋อหลานรู้แล้ว ยามจื่อของคืนนั้น นางก็ขี่ฟีนิกซ์จากไป เรือนที่นางพักอาศัยอยู่หลังจากที่นางจากไปแล้ว ก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างหนัก รวดเร็วมาก ทุกสิ่งถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน
หนุ่มน้อยพอรู้ว่าเรือนหลังนั้นถูกไฟลุกไหม้ ก็วิ่งไปราวกับคนบ้าคลั่ง แต่เรือนได้ถูกเผาเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้ว แม้เขาจะใช้วิชาควบคุมน้ำย้ายน้ำของทะเลสาบมาช่วยดับไฟ ก็ไร้ประโยชน์ ข้างใน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่เลย
หนุ่มน้อยน้ำตานองหน้า
ตอนที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความเกลียดชังในดวงตาก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นมหึมา สองมือกำหมัดแน่น ควบคุมน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็งทุบไปยังอ๋องเจิ่นกั๋วที่อยู่ด้านหลัง