บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1564 เป็นไปได้ว่าถูกพบเข้าแล้ว
กลับไปถึงเมืองโร่ตูหูหมิงกับหลางโถวก็กลับมาแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าหูหมิงพูดกับหลางโถวว่าอย่างไร สรุปแล้ว เงินก้อนนั้นเป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่สุจริต หลางโถวส่งมอบออกมาให้ หูหมิงให้เขาไปหนึ่งพันตำลึง ใช้สำหรับรักษาโรคของน้องสาวเขา
ในเมื่อหลางโถวก็รู้เรื่องนี้ดี ตัวเองนั้นได้เงินมาเปล่าๆโดยไม่ต้องทำอะไร คนอื่นเขาคำนวณไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าจะไปโจรกรรมอ๋องเจิ่นกั๋ว แม้ว่าเขาจะไม่มา คนอื่นก็สามารถเอาเงินหนึ่งแสนตำลึงนี้กลับมาได้ ฉะนั้น จึงไม่ติดใจอะไร
สุดท้าย ก็ไม่รู้ว่าหูหมิงหลอกล่ออย่างไร ทำให้หลางโถวอยู่ที่เมืองโร่ตูต่อ ช่วยทำงานให้
ได้ตัวหลางโถวมา แม่นางโจวก็รู้สึกว่าเมืองโร่ตูมีกองกำลังที่แข็งแกร่งขึ้น เพราะว่ายังมีเงินเพิ่มขึ้นด้วย
นางเอาเงินส่วนหนึ่งออกมาปรับปรุงจวนที่อยู่อาศัย มาถามเจ๋อหลานว่าชอบการตกแต่งแบบไหน เจ๋อหลานมองนางและพูดว่า “ไม่มีความต้องการอะไรมากมาย แต่มีเพียงนิดเดียว หาคนมาทำป้ายหน้าประตูเสียใหม่ แก้ไขคำผิดให้ถูกต้อง”
แม่นางโจวมึนงงอยู่ชั่วครู่ “คำผิด มีคำผิดที่ไหนกัน ”
“มี ไปดูเองเถอะ”เจ๋อหลานพูด
แม่นางโจวออกไปดูเป็นเวลานานกว่าครึ่งวัน มองจากซ้ายไปขวาจากบนลงล่าง นับจำนวนการขีดเขียน ไม่ว่าจะเป็นตรงไหนก็ไม่มีคำผิดนี่นา
แต่ก็น่าแปลก นายน้อยเพิ่งจะอายุเท่านี้ จะรู้จักตัวอักษรมากแค่ไหนกันเชียว นางเป็นเจ้านาย ต้องทำตามที่นางพูด ให้คนทำป้ายแขวนอันใหม่ขึ้นมา อย่างที่ว่า หลังจากแขวนป้ายประตูแล้ว ก็เพิ่มความน่าเกรงขามขึ้นมาไม่น้อย
หูหมิงสืบข่าวของแคว้นจินอย่างกระตือรือร้น กลับมารายงานว่าอ๋องเจิ่นกั๋วของแคว้นจินได้รับบาดเจ็บสาหัส บอกว่าถูกน้ำแข็งทุบจนได้รับบาดเจ็บ บาดแผลค่อนข้างสาหัสทีเดียว
พวกเขายังคงสร้างเมืองกันต่อไป แต่ว่า คงไม่สามารถย้ายเมืองมาได้ในเร็ววันนี้แล้ว เพราะว่าอ๋องเจิ่นกั๋วได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้ถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงแล้ว
เจ๋อหลานนึกถึงฮ่องเต้หนุ่มน้อยขึ้นมา หวังว่าเขาจะสามารถแย่งอำนาจคืนมาอย่างราบรื่น
เขายังเคยบอกว่าจะแต่งงานกับนาง หนุ่มน้อยเหล่านี้ต่างก็บุ่มบ่ามใจร้อนมาก เพิ่งจะพบหน้ากันหนเดียวก็บอกว่าจะแต่งงานกับนาง คงไม่เคยตระหนักถึงความอบอุ่นในโลกใบนี้กระมัง
เจ๋อหลานไม่สนใจเรื่องนี้อีก ยังคงทำการปฏิวัติเมืองโร่ตูต่ออย่างเฉียบขาด
นางยังออกไปสำรวจพื้นที่รอบข้างอีกด้วย เมืองทั้งหลายของพี่ชาย นางก็คิดว่าจะไปดูสักหน่อย
ที่สำคัญคือต้องปรึกษากับแม่ทัพใหญ่ฮู่ ดูว่าสามารถทำอะไรที่เอื้อประโยชน์ต่อกันได้หรือไม่
หลังจากนั้น นางก็เห็นพวกพี่ชายเหล่านั้นที่สมควรจะต้องเล่าเรียนอยู่ที่โรงเรียนในยุคปัจจุบันเพื่อพัฒนาตนเอง มีเพียงพี่ซาลาเปาเท่านั้นที่ไม่อยู่ด้วย
ทังหยวน ข้าวเหนียว โค้ก เซเว่นอัพ ล้วนกลับมากันหมดแล้ว เหลือเพียงซาลาเปาที่อยู่ในยุคปัจจุบัน กำลังเล่าเรียนเรื่องประสบการณ์การปกครองของแต่ละประเทศอย่างหนัก
ส่วนเรื่องที่หลอกท่านพ่อว่าต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็มีเพียงแค่ซาลาเปาคนเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วมการสอบ
คนอื่นๆ หยุดเรียนแล้ว
ตอนที่เจอกับพวกเขา พวกเขาทั้งหมดต่างก็รวมตัวกันอยู่ที่เมืองหลันโยว ปรึกษากันเรื่องการเป็นพันธมิตรของสี่เมือง
นั่นก็เท่ากับว่า พวกเขาคิดจะรวมทั้งสี่เมืองเป็นพันธมิตรกัน กีดกันเมืองโร่ตูของนางออกไป
น้ำตาของเจ๋อหลันเอ่อขึ้นมาในดวงตาทันที มองพวกเขาอย่างน้อยใจ
พวกพี่ชายไหนเลยจะทนเห็นน้องสาวมีน้ำตาไหลออกมาได้ ต่างก็ลุกขึ้นมาโอ๋ กอดเพื่อปลอบใจ
เมื่ออธิบายเรื่องราวแล้ว จึงรู้ว่าพวกเขาคิดจะเป็นเมืองพันธมิตรทั้งสี่ก่อน จากนั้นก็ผนึกกำลังช่วยเหลือเมืองโร่ตู ยังบอกอีกว่าจะช่วยคนอื่น ก่อนอื่นตัวเองก็ต้องมีความสามารถพอ ฉะนั้น พวกเขาต้องเจริญขึ้นมาให้ได้ก่อน
เจ๋อหลานไม่เชื่อ พวกเขาได้แต่วนเวียนกันอธิบายให้ฟัง เจ๋อหลานก็ไม่ทำอะไรคลุมเครือ ทำสัญญาขึ้นมาทีละฉบับ ให้พวกเขาสัญญาว่าในอนาคตสิบปีนี้ ต้องช่วยเหลือเมืองโร่ตูอย่างไร้เงื่อนไข
เพื่อไม่ให้น้องสาวร้องไห้ พี่ชายทั้งสี่ได้แต่ทำตามทั้งหมด ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นดินแดนของตระกูลตนเอง ใครช่วยเหลือใคร จะมีความสำคัญอะไรเล่า
หูหมิงที่ตามมาด้วย ก็มองอย่างอ้าปากตาค้าง
เขาลากขาที่เดินเป๋อยู่บ้างนั่งลงด้านล่างระเบียง ในสมองยังคงคิดถึงภาพๆหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย นั่นก็คือหากฮ่องเต้ทราบว่าองค์ชายที่ออกไปร่ำเรียนกับองค์หญิงที่เรียนรู้ความสามารถอยู่ในภูเขาต่างก็มาหารือวางแผนพัฒนาเมืองกันที่นี่ จะเป็นอย่างไร
ศีรษะของเขา จะยังคงอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่
จากนั้นเขาก็มองเห็นแม่ทัพฮู่ที่ผมหงอกเต็มหัว จึงรีบลุกขึ้นมาคำนับ
แม่ทัพฮู่นั่งลง ไม่พูดสักคำ หลังจากสูบยาเส้นไปถุงหนึ่ง ค่อยพูดขึ้นด้วยเสียงหนักใจว่า “ถ้าหากเจ้ากลับไปเมืองหลวง อย่าได้พูดเรื่องของพวกเขาต่อหน้าฮ่องเต้อย่างเด็ดขาด ”
หูหมิงยิ้มขม “ไม่มีทาง มิกล้า”
ต่างก็เป็นผู้ประสบชะตากรรมร้ายเช่นเดียวกัน จะกล้าฟ้องร้องได้อย่างไร
จากนั้นแม่ทัพฮู่ก็สูบยาเส้นคำใหญ่ๆอีกถุงหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “พวกเขามาไม่ถึงสามเดือน ข้าก็ผมหงอกไปหมดหัวแล้ว”
ใครจะคาดคิด พวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันก็แล้วไป มาดูก็เป็นเรื่องปกติ แต่พวกเขาพูดเรื่องที่จะรับช่วงดูแลเมืองขึ้นมาอย่างกะทันหัน
รับช่วงดูแลเมืองต่อก็แล้วไปเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็เมืองของพวกเขา แต่เพิ่งจะรับช่วงต่อ ก็เริ่มวางแผนจะขยับขยาย แม้แต่จิตใจของประชาชนก็ยังไม่มั่นคง จะพัฒนาอย่างไร
แต่ว่า องค์ชายทังหยวนบอกว่า ไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน จิตใจของประชาชนไม่มีทางรู้สึกมั่นใจได้ ต้องการความมั่นใจ ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าหลังจากที่ราชสำนักปกครองแล้วจะนำมาซึ่งความหวังแก่พวกเขา
ฉะนั้น ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจ
เขาไม่เข้าใจ ได้แต่จัดการไปตามสมควร แต่เมื่อได้ลงมือทำแล้วจึงรู้ว่ายากกว่าการใช้วรยุทธในการควบคุมเสียอีก
มอบลูกหมูลูกแพะลูกไก่ให้กับราษฎรอย่างไร้เหตุผล ยังมอบเมล็ดพันธุ์ด้วย ล้วนเป็นของให้เปล่า บอกว่าภายหน้าหากเลี้ยงจนเติบโตแล้ว ปลูกได้แล้ว จะมีคนมารับซื้อ
เขาเป็นห่วงว่าภายหน้าหากเลี้ยงจนเติบโตแล้ว ไม่มีคนมารับซื้อจะทำอย่างไร ปลูกต้นไม้ผลไว้เต็มภูเขาเช่นนี้จะทำอย่างไร
ยังไม่สู้เลียนแบบพื้นที่เจียงหนาน ทอผ้า ถึงเวลาก็ขายผ้าออกไป หาเงินที่สามารถจับต้องได้จริง
เขาเองก็เคยเสนอแนะเช่นนี้ แต่องค์ชายทังหยวนบอกว่า ทอผ้าจะทอที่ไหนก็ได้ คนของพื้นที่อื่นไม่ต้องเดินทางมา แต่ว่าการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ สามารถดึงดูดผู้คนจากพื้นที่อื่นมาทำมาหากินได้
เพราะว่า พื้นที่อื่นไม่มีการช่วยเหลือจากราชสำนัก
ช่างเถอะ ไม่สนใจแล้ว
ตำหนักเสี้ยวเยว่ในเมืองหลวงแห่งเป่ยถัง
หยู่เหวินเห้าตื่นมาตั้งแต่เช้า ก็นั่งนิ่งๆอยู่ข้างเตียง
“ทำไมหรือ”หยวนชิงหลิงกอดเขาจากทางด้านหลัง “ตื่นขึ้นมานั่งเหม่อตั้งแต่เช้า วันนี้ไม่ต้องประชุมราชสำนัก ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าเช่นนี้นี่นา”
หยู่เหวินเห้าใช้นิ้วมือลูบคิ้วทั้งสองข้าง “ไม่รู้ทำไม แม้แต่นอนฝันข้าก็หนังตากระตุก คงไม่ใช่ว่าจะมีใครเกิดเรื่องขึ้นกระมัง ”
“พูดเหลวไหล”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ
หยู่เหวินเห้าหมุนตัวไปกอดนางเอาไว้ “ช่วงไหว้พระจันทร์ข้ามีวันหยุด พวกเราไปกันสักครั้งดีหรือไม่ ”
“อืม ดี ”งานในมือของหยวนชิงหลิงก็เกือบจะเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่นางเคยตกลงกับหยางหรูไห่ก่อนหน้านี้ ก็ควรจะลงมือได้แล้ว
ครั้งนี้กลับไปจะปรึกษากับนางสักหน่อย“คิดถึงลูกสาวหรือ ”
“คิดถึง”หยู่เหวินเห้าถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าทำไม เพิ่งจะไปได้ไม่นาน ในใจข้ากลับเอาแต่พะวงถึงพวกเขาอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกเช่นนี้บ้างหรือไม่ ว้าวุ่นมาก บางทีก็ร้อนใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญอันตรายอยู่ภายนอก ”
หยวนชิงหลิงหลุบตาลง “อืม จริงหรือ ข้าไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ ท่านคิดมากไปแล้ว”
“ฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องไปดูสักหน่อย”หยู่เหวินเห้าพูด
“ได้ ข้าฟังท่าน”หยวนชิงหลิงกอดเขาเอาไว้ อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขา สมองกำลังครุ่นคิด เจ้าลูกๆพวกนี้ คงคิดไม่ถึงว่าพ่อของพวกเขาจะจู่โจมอย่างกะทันหันกระมัง
ก่อนจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์สามวัน นกพิราบสื่อสารของเมืองหลวงบินตรงไปยังเมืองทั้งห้า
นายน้อยของเมืองทั้งห้า ได้รับจดหมาย ต่างก็ร้องตกใจเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
แต่ว่า เรื่องนี้แม้แต่ท่านแม่พวกเขาก็ปิดบังเอาไว้ นางรู้ได้อย่างไรกัน
เจ๋อหลานรีบเก็บข้าวของ ต้องรีบเดินทางกลับไปแล้ว
แต่ในใจกลับคิดไม่ออก ท่านแม้รู้ได้อย่างไรว่านางกลับมาแล้ว ถึงแม้ท่านแม่จะรู้ แต่กลับไม่ตำหนิ นางเห็นด้วยอย่างนั้นหรือ
มีท่านแม่คอยสมคบคิดกับตนเอง เจ๋อหลานก็วางใจแล้ว แม้ว่าเรื่องราวจะถูกเปิดเผยขึ้นมา ท่านแม่ก็เอาท่านพ่ออยู่