บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1570 จัดตั้งสาขาของสำนักเหลิ่งหลัง
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1570 จัดตั้งสาขาของสำนักเหลิ่งหลัง
คดีเรื่องการค้าเกลือเถื่อน ภายนอกดูเหมือนพวกอ๋องฉีกำลังตรวจสอบอยู่ แต่แท้ที่จริงแล้ว เป็นหรงเยว่กับสำนักเหลิ่งหลังกำลังตรวจสอบ
อีกอย่าง หรงเยว่ได้ทำการเข้าใกล้กับซุนหยิงหยิงอย่างราบรื่นแล้ว หรือบางทีควรจะบอกว่าซุนหยิงหยิงหาตัวนางพบแล้ว
อ๋องหวยหลังจากรู้ว่าแผนการของตัวเองทำไม่สำเร็จแน่ อยากจะไปหาหรงเยว่เพื่ออธิบาย แต่หรงเยว่ไม่ยอมพบเขา ทำให้เขากลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงก็เห็นและรับรู้ แอบหัวเราะในใจ คิดว่าตัวเองฉลาด ก็ต้องทนรับไป
เรื่องนี้นางได้คุยกับเจ้าห้าแล้ว เจ้าห้าส่ายหน้า “คนอย่างน้องหก เจ้าให้เขาดูแลกรมคลัง ทำบัญชีให้ดี เขาทำได้ดีที่สุด ตอนนี้ยังไม่มีใครเทียบเขาได้ แต่เจ้าบอกให้เขาไปสืบสวนคดี เล่นละคร เสแสร้งแกล้งทำ แม้แต่สวีอีเขายังเทียบไม่ได้ ยังจะใช้แผนชายงาม คิดอยากจะเป็นเชอร์ล็อกโฮมส์ ให้เขาโดนลงโทษซะบ้าง พวกเราไม่ต้องไปสนใจ”
หยวนชิงหลิงขำ “รู้จักเชอร์ล็อกโฮมส์ด้วยหรือ ร้ายกาจจริงๆ”
“นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ แม้จะไปที่นั่นไม่กี่ครั้ง แต่เรื่องใหม่ๆของที่นั่น มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้”
“เชอร์ล็อกโฮมส์ไม่ใช่เรื่องใหม่อย่างแน่นอน”
“ต้องหัวเราะเยาะข้าให้ได้สินะ”หยู่เหวินเห้าถลึงตาให้นางแวบหนึ่ง
หยวนชิงหลิงหอมเขา ยิ้มจนดวงตาโค้งลง “ได้ ไม่หัวเราะท่านแล้ว จะบอกท่านว่า เสือกับหมาป่าหิมะออกเดินทางแล้ว อีกวันสองวันอะซี่ก็จะย้ายเข้ามาอยู่ในวัง”
“อืม ภายหน้าในวังของเราจะมีเด็กๆแล้ว ลูกของอะซี่เพิ่งจะอายุไม่กี่เดือน แก้มกำลังน่าหยิก”เจ้าห้าตื่นเต้นเล็กน้อย
“ที่แท้ก็มีแผนการนี่เอง ถึงว่าตอนที่บอกว่าจะประทานที่อยู่ให้สวีอี ที่แท้ก็หวังในตัวลูกของเขา”หยวนชิงหลิงหัวเราะ
“แน่นอนว่าต้องหวังในตัวลูกของเขา หรือจะให้หวังในตัวสวีอี หวังในตัวเขามีอะไรดี หวังให้เขาอุดฟันหรืออย่างไร”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ปากต้องพูดสิ่งที่เป็นมงคลบ้าง อย่าว่าเขาอย่างนี้อีก ”
“เขาไม่ถูกข้าว่าสักวันคงจะคันเท้ายิบๆ ”
“ใจดำ”หยวนชิงหลิงดุเสียงหนึ่ง แต่ก็รอคอยให้ลูกของอะซี่เข้าหวังจริงๆ คิดแล้ว ก็พูดว่า “ลูกของบ้านน้องเจ็ดอีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว ถึงตอนนั้นต้องจัดงานให้ครึกครื้นสักหน่อย”
“น้องเจ็ดมีวาสนาดี แต่พูดแล้วในบรรดาพี่น้องของข้าทั้งหมด คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุดคือน้องหก เจ้าน้องคนนี้วันหน้าไม่ให้เขาไปสืบคดีอีกแล้ว ให้เขาทำงานบัญชีของเขาไป จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
หยวนชิงหลิงพูดราวกับคิดอะไรอยู่“ที่จริงจะว่ามีชีวิตที่ดี อ๋องอันนั้นมีชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว”
หยู่เหวินเห้านิ่งอึ้ง เมื่อไตร่ตรองแล้วก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า พูดยิ้มๆว่า “ไม่ คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุดคือข้า มีทั้งชาติบ้านเมืองและสาวงาม และมีทั้งลูกสาวลูกชาย ใครจะมีชีวิตที่ดีเท่ากับข้าอีก”
“เดิมทีไม่นับท่านเข้าไปด้วย บอกว่าพี่น้องทั้งหลายของท่านนี่นา”
เจ้าห้าพูดอย่างภูมิใจว่า “ข้าไม่สน ข้านั้นมีชีวิตที่ดีที่สุด”
“ก็ได้ก็ได้ ”หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างฉุนๆ
ยากมากที่หยู่เหวินเห้าจะได้เห็นนางมีท่าทีน่ารักเช่นนี้ หัวใจกระตุก แล้วก็จุมพิตนาง
ที่ลานด้านนอก สวีอีทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว อายุปูนนี้แล้ว ยังกะหนุงกะหนิงกัน ใช้ได้ที่ไหนกัน
เขาคิดว่า การอยู่ร่วมกันตามปกติของสามีภรรยา ย่อมต้องมีคนหนึ่งเป็นคนประจบ เช่นนี้จึงจะทำให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ตัวอย่างเช่นครอบครัวของเขา อะซี่รับบทเป็นคนประจบอย่างเต็มที่ ฉะนั้นในครอบครัวเขาจึงเต็มไปด้วยความสงบสุข ไม่เคยลงไม้ลงมือกันมาก่อน
ถ้าเป็นอย่างพวกเขาที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็แสดงความรักต่อกันอย่างน่าอิจฉา ไม่เหมือนสามีภรรยาปกติทั่วไปจริงๆ
ผ่านไปหลายวัน ความจริงได้ยืนยันว่าหรงเยว่นั้นมีหัวสมองเหมือนกับเชอร์ล็อกโฮมส์จริงๆ ไม่ช้านางก็สืบจนได้หลักฐานเรื่องที่ซุนฉีไปมาหาสู่กับพ่อค้าเกลือเถื่อน ยังมีรายชื่อของพ่อค้าเกลือเถื่อนด้วย
ส่วนทางด้านจางยี่เจียง ก็คงไม่อาจจะรอดพ้นความเกี่ยวพันไปได้
การสืบสวนคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่ต้องใช้กำลังของทางการเลยแม้แต่น้อย แทบจะเป็นสำนักเหลิ่งหลังเป็นผู้ตรวจสอบทั้งสิ้น
เมื่อคดีเกือบจะถึงเวลาปรากฏความจริงแล้ว หยู่เหวินเห้ามองม้วนหนังสือคดีที่ถูกส่งขึ้นมา รู้สึกว่านอกจากความสามารถของสำนักเหลิ่งหลังที่มีในตอนนี้แล้ว บางทีอาจทำอะไรได้มากกว่านี้
ตัวอย่างเช่น การก่อตั้งสาขาสำนักเหลิ่งหลังขึ้นมา ใช้สำหรับสืบสวนคดีใหญ่ต่างๆในแต่จะเมือง
คดีความใหญ่ๆที่ข้ามเขตข้ามเมืองเป็นต้น เพราะมีปัญหาด้านพื้นที่ ทำให้การสืบสวนทำได้ลำบาก แต่ถ้าหากว่ามีอำนาจของสาขาสำนักเหลิ่งหลัง ไม่ถูกควบคุมโดยกรมอาญาและศาลต้าหลี่ เช่นนั้นการทำงานก็จะสะดวกขึ้นมาก ยิ่งจะทำให้เป็นการทำงานที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลทวีคูณ
เขาได้เปิดประชุมปรึกษาหารือทันที แน่นอนว่า ยังต้องได้รับการยินยอมจากท่านชายสี่เหลิ่งด้วย
แม้ว่าหลายปีมานี้สำนักเหลิ่งหลังจะทำงานรับใช้ราชสำนักมาตลอด และนับว่าได้ถูกราชสำนักยอมรับแล้ว แต่การก่อตั้งสำนักให้เป็นทางการ นั่นก็เท่ากับเป็นหนึ่งหน่วยงานของประเทศ ทำให้ออกจากอำนาจการควบคุมของท่านชายสี่เหลิ่งอย่างสิ้นเชิง ความหมายที่แฝงอยู่ก็ไม่เหมือนกัน
หลังจากปรึกษากันแล้ว ขุนนางในเน่ย์เก๋อต่างก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หยู่เหวินเห้าถอนหายใจและพูดว่า “หลายปีมานี้ เหมือนเอาแต่เอารัดเปรียบท่านชายสี่เหลิ่งมาตลอด ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องเหล่านั้นจะล้มเลิกหรือ”
หยู่เหวินเห้าโบกมือ “ไม่ได้ ละอายใจส่วนละอายใจ แต่งานอย่างไรเสียก็ต้องทำ ”
เขามองไปทางเหลิ่งจิ้งเหยียน “เพียงแต่ ข้าไม่อาจออกหน้าได้อีกแล้ว เจ้าลองไปคุยกับท่านชายสี่เหลิ่งดูแล้วกัน”
เหลิ่งจิ้งเหยียนส่ายหน้า “ข้าเองก็รักศักดิ์ศรี ทำไมไม่ให้ฮองเฮาไปคุยเล่า อย่างน้อยก็เป็นศิษย์อาจารย์กัน พูดกันง่ายหน่อย”
“ยายหยวนไม่มีศักดิ์ศรีหรืออย่างไร ไม่ได้ นางได้ขอร้องท่านชายสี่เหลิ่งหลายครั้งแล้ว เจ้าเป็นโสวฝู่ ควรเป็นเจ้าที่ต้องไป ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนนิ่งคิด และพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้หาโสวฝู่ที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือสักคนไปหารือ โสวฝู่ฉู่เป็นอย่างไร”
“เห็นด้วย”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นก็ขอให้ฮองเฮาไปคุยกับโสวฝู่ฉู่ตอนที่ไปตรวจร่างกายของพวกเขา”เหลิ่งจิ้งเหยียนทิ้งคำพูดเอาไว้ แล้วรีบจากไปอย่างรีบร้อน
หยู่เหวินเห้านิ่งอึ้ง เป็นยายหยวนอีกแล้ว ทำไมจึงรู้สึกว่าอ้อมไปตั้งไกล สุดท้ายก็เป็นเรื่องของพวกเขาสองสามีภรรยากันนะ
แต่ยายหยวนก็ต้องไปน้อมคำนับและทำการจับชีพจรจริงๆ หรือบางทีจะใช้ข้ออ้างไปน้อมคำนับและจับชีพจรให้ไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเขา พร้อมกับพูดเรื่องนี้ ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
หยวนชิงหลิงนั้นอย่างไรก็ได้ วันรุ่งขึ้นก็ออกจากวังไป
ตอนนี้บ้านพักคนชราจวนอ๋องซู่นั้น ยังคงค่อนข้างคึกคัก มีคนเยอะมาก เหล่าผู้อาวุโสคนชุดดำได้ทำการเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงแพะเพื่อดำรงชีพ นับว่าสามารถเลี้ยงตัวเองได้
หยวนชิงหลิงถือกล่องยาเดินเข้าไป ได้ยินเสียงจากด้านนอกของเรือน ได้ยินพวกอาวุโสทั้งสามคนกำลังปรึกษากันในปัญหาบางอย่างที่ค่อนข้างจะลึกซึ้ง
อีกทั้ง ราวกับปรึกษามาเป็นเวลานานแล้ว น้ำเสียงของอู๋ซ่างหวงไม่หลงเหลือความอดทนแล้ว “การหมุนรอบตัวเอง ทำไมเจ้าจึงไม่เข้าใจนะ ยกตัวอย่างเช่น ข้าเป็นดวงอาทิตย์ เจ้ากับฉู่เสี่ยวอู่เป็นโลกหรือไม่ก็ดาวอังคาร มา ยืนขึ้นมา หมุนรอบตัวข้า เดินสิ จะยืนบื้อทำไม”
“แล้วตัวท่านเองไม่หมุนหรือ”เซียวเหยากงถาม
“ข้าหมุนอยู่นี่ไง ดู ข้ากำลังหมุน ”ระหว่างที่พูดอู๋ซ่างหวงก็หมุนร่างตัวเองเป็นวง
โสวฝู่ฉู่พูดว่า “หยุดก่อน ไม่ใช่เช่นนี้ ท่านเป็นดวงอาทิตย์ที่หนุมวน แต่ไม่ใช่การหมุนอยู่กับที่ เจ้าต้องหมุนวนไปข้างหน้าเรื่อยๆเป็นวงกลม”
“ไม่ใช่หรือ”ทันใดนั้นท่าทีของอู๋ซ่างหวงก็อ่อนลงไปมาก
“ไม่ใช่ ท่านต้องเดินหมุนไปข้างหน้าตลอด จากนั้นพวกเราสองคนจะหมุนไปข้างหน้าท่าน แต่เพราะว่าต้องหมุนตัวเองด้วย ฉะนั้นพวกเราต้องหมุนวนคนที่หมุนอยู่ข้างหน้า เหมือนพวกคนจรตามถนน ใช่ หมุนเร็วหน่อย”
หยวนชิงหลิงแอบมองที่ประตูอยู่ชั่วครู่ เห็นผู้อาวุโสทั้งสามเดินอย่างครื้นเครงราวกับคนจรตามถนนอย่างไรอย่างนั้นจริงๆ พลางเดินพลางหมุนตัว เซียวเหยากงงุ่มง่ามมาก เกือบจะหกล้มตั้งหลายครั้ง นางแอบหัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหล ท้องก็ชาไปหมด
ไม่พูดไม่ได้ว่า การแสดงงุ่มง่ามมาก แต่โสวฝู่ฉู่นั้นทำให้ถูกต้อง ผู้คงแก่เรียนอย่างไรก็เป็นผู้คงแก่เรียน แค่อาศัยการดูข้อมูลจากปัจจุบันเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว
รอให้พวกเขาหยุดลงแล้ว นั่งลงด้านล่างระเบียงทางเดินด้วยอาการหายใจหอบ หยวนชิงหลิงค่อยเดินเข้าไป คำนับแล้วสุดท้ายก็อดใจไม่ไหว ถามขึ้นว่า “ช่วงนี้ศึกษาเรื่องจักรวาลหรือ”
“วิถีแห่งเต๋า นี่ก็เป็นวิถีแห่งธรรมชาติ”โสวฝู่พูด