บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1576 บอกเจ้าห้าให้รู้ก่อน
บ้านเรือนส่วนใหญ่ของเมืองโร่ตูได้พังถล่มหมดแล้ว ราษฎรต่างก็อาศัยอยู่ในบ้านไม้และเพิงหญ้าที่สร้างขึ้นชั่วคราว ทั่วทั้งเมือง กลายเป็นซากปรักหักพัง ทุกที่ที่หยวนชิงหลิงเห็น ล้วนมีแต่ความวุ่นวาย หัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสล้วนถูกย้ายเข้าไปอยู่ในจวน นี่เป็นความคิดของกวากวา หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ากวากวาทำได้ถูกต้องที่สุด
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมีนางและหมออีกหลายคนเป็นผู้รับผิดชอบทำการรักษา ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ไปทำการรักษาให้คนที่บาดเจ็บเล็กน้อย
เจ๋อหลานอยู่เคียงข้างท่านแม่ ช่วยท่านแม่ดูแลคนป่วย นางก็รู้วิชาแพทย์อยู่บ้างเล็กน้อย สามารถช่วยงานด้านการล้างแผลและทำแผลได้ ผู้ได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่มีอาการปวดเป็นอย่างยิ่ง เจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว ให้กินยาแก้ปวด ฉีดยาแก้ปวด เจ๋อหลานฉีดยาเป็น อายุแค่นี้ งานยุ่งแทบไม่ได้วางมือ คนเจ็บเหล่านั้นเห็นองค์หญิงทำงานหนักเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า คนที่มีอำนาจจะสนใจความเป็นความตายของพวกเขาจริงๆ แม้แต่ฮองเฮายังมาด้วยตนเอง การต่อต้านและเป็นปรปักษ์ก่อนหน้านี้ แทบจะกลายเป็นเรื่องขำขันไปเสียแล้ว
ช่วงเวลาค่ำ เหล่าหนุ่มน้อยมาพบกับท่านแม่ ยังไม่ทันได้พูดคุยกัน หลังจากกอดกันชั่วครู่ ต่างก็รีบไปช่วยเหลือคนอื่นแล้ว
มีประชาชนอาสามาทำกับข้าว ต้มยา ทรัพยากรในจวนขาดแคลนมาก แต่ยังดีที่มีความช่วยเหลือจากเมืองรอบข้างที่ทยอยส่งมาเรื่อยๆไม่หยุด หูหมิงได้จัดตั้งกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเพื่อออกไปแจกจ่ายอาหารและเสื้อผ้า นิสัยที่เห็นแก่ตัว แทบจะไม่มีหลงเหลือในทันที
เพราะฮองเฮามาเยือนเมืองโร่ตูด้วยตนเอง ขุนนางทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือต่างก็มาดูแลด้วยตนเอง พาหมอและสิ่งของจำเป็นมาช่วยเหลือที่เมืองโร่ตู
เมืองโร่ตูได้รับความสนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่จึงเป็นเหตุทำให้ประชาชนในเมืองโร่ตูยอมรับราชสำนักได้อย่างรวดเร็วที่สุดในบรรดาห้าเมืองที่มีอยู่ในแถบนี้ แต่ตอนนี้คนในเมืองไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ได้แต่รีบช่วยเหลือคน จัดหาที่อยู่ ทำการก่อสร้าง รีบฟื้นฟูให้เมืองกลับมาสู่สภาพเดิมก่อนเกิดภัยพิบัติขึ้น
หลังจากเกิดภัยพิบัติผ่านไปครึ่งเดือน ที่ขุดหาจนพบล้วนเป็นผู้เคราะห์ร้าย หลังจากตรวจนับจำนวนแล้ว ก็ทำการฝังร่างพร้อมกัน
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ คนของเมืองโร่ตูตายไปห้าหมื่นกว่าคน ตัวเลขนี้น่าตกใจมาก แต่ว่า ถ้าหากไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าของเจ๋อหลาน จำนวนของผู้เคราะห์ร้ายอย่างน้อยคงจะมีมากกว่านี้อีกเท่าตัว
แม้แต่หยวนชิงหลิงที่ได้ฟังแล้ว ก็ชื่นชมว่าลูกสาวนั้นละเอียดรอบคอบ และมีความกล้าหาญ
เมื่อผู้ได้รับบาดเจ็บถูกเคลื่อนย้ายออกไปพอสมควรแล้ว หยวนชิงหลิงจึงเรียกลูกๆมาพูดคุย
ถามเรื่องราวของทางนี้กับพวกเขา ตอนที่พวกทังหยวนเห็นเสือกับหมาป่าหิมะ ในใจก็รู้ทันทีว่าปิดบังเรื่องนี้กับท่านพ่อไม่ได้ ในจุดนี้ พวกพี่ชายต่างก็ยอมรับว่าตัวเองสู้น้องสาวไม่ได้ เพราะน้องสาวสามารถปิดบังท่านพ่อได้อย่างไร้ร่องรอย
พวกเขาหุนหันพลันแล่นไปหน่อย ถึงได้เอามือถือมาถ่ายรูปที่นี่ด้วย
น้องสาวมีจิตใจละเอียดอ่อน พวกเขาต้องเรียนรู้กับนางให้ดี
หยวนชิงหลิงมองเจ๋อหลาน“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป จะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือกลับไปพบท่านพ่อของเจ้า เรื่องนี้คงปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว หลังจากทุกคนกลับเมืองหลวงแล้ว ท่านพ่อของเจ้าต้องรู้เรื่องที่เจ้าอยู่ในเมืองโร่ตูแน่ กวาเอ๋อ แม่คิดว่า ยอมจำนนเองโทษจะได้เบาลง ”เจ๋อหลานก็รู้ว่าคงปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าคนที่เดินทางมาที่นี่มีมากมายนัก ขุนนางของแต่ละเมืองต่างก็เคยเห็นนาง และรู้สถานะของนางดี หากมีฎีกาส่งกลับไปยังเมืองหลวง ท่านพ่อต้องรู้แน่ๆ ดีไม่ดี ตอนนี้ก็รู้ความจริงแล้ว
ฉะนั้น นางเดินไปข้างกายท่านแม่ ดึงแขนเสื้อของท่านแม่เอาไว้“ข้าจะกลับไปพร้อมกับท่าน แต่ท่านต้องช่วยข้าพูดกับท่านพ่อดีๆ ”
“ได้ วางใจเถอะ พ่อเจ้าก็คงไม่กล้าตีเจ้า มากสุดก็แค่ตำหนิสักหน่อย ”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ
“ถูกท่านพ่อตำหนิก็น่ากลัวเช่นกัน”ทังหยวนพูดขึ้นอย่างหวาดกลัว
“ไม่น่ากลัว ท่านพ่ออบอุ่นมาก ”เจ้าโค้กรีบพูดขึ้น
แม้ว่าท่านพ่อจะมองไม่เห็น แต่ท่าทีก็ต้องมีท่าทีเรียบร้อย เพราะบางครั้งท่านแม่ก็เข้าข้างท่านพ่อ ฉะนั้นพูดถึงท่านพ่อลับหลังเช่นนี้ ต้องป้องกันไม่ให้ท่านแม่ไปฟ้องร้องได้
พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน
หยวนชิงหลิงมองพวกเด็กๆ “เอาล่ะ ตอนนี้ลองเล่ามาซิว่า พวกเจ้าไปทำเรื่องอะไรกันบ้าง เห็นผลบ้างหรือยัง ท่านพ่อของพวกเขายินยอมพร้อมใจให้พวกเจ้ามาที่นี่ พวกเจ้าต้องตอบแทนด้วยผลงานที่น่าพอใจ ไม่เช่นนั้น ก็เท่ากับปล่อยให้พวกเจ้าทำตามอำเภอใจไปเปล่าๆ ”
พวกลูกๆต่างก็เล่าเรื่องที่ตัวเองได้ทำลงไปอย่างพัลวัน ทำเอาหยวนชิงหลิงที่ได้ยินแล้วรู้สึกเบิกบานใจมาก
ก่อนหน้านี้เจ้าห้าเคยบอกว่า หัวเมืองทั้งห้า อย่างน้อยต้องมีการวางแผนพัฒนาเป็นเวลาสามสิบปีหรือไม่ก็ห้าสิบปี แต่ตอนนี้ดูแล้ว ใช้เวลาอีกแค่ยี่สิบปี ก็สามารถทำให้สวามิภักดิ์ต่อราชสำนักได้ อีกอย่าง นอกจากเป็นการปกป้องชายแดนไว้ได้ ยังสามารถพัฒนาและเพิ่มการจัดเก็บภาษีให้กับราชสำนักได้อีกด้วย ลูกๆรู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ในยุคปัจจุบัน ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ช่วยคลี่คลายความกังวลที่มีในใจของเจ้าห้าได้ และเหตุแผ่นดินไหวในเมืองโร่ตูครั้งนี้ แม้จะใช้เงินในท้องพระคลังไปไม่น้อย และได้ใช้ทรัพยากรของเมืองรอบข้างเช่นกัน แต่ว่า กลับสามารถทำให้เป่ยถังและชาวเมืองโร่ตูมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น ร่วมแรงร่วมใจกัน เป็นความโชคดีในความโชคร้ายจริงๆ
หลังจากที่ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างกายฟื้นฟูแล้ว หยวนชิงหลิงก็พอเจ๋อหลานกลับเมืองหลวง
ก่อนจะออกเดินทาง ก็ได้ส่งนกพิราบสื่อสารไปส่งข่าวให้เจ้าห้า ให้เจ้าห้าเตรียมใจไว้ก่อน มีเวลาอีกหลายวันที่จะระงับอารมณ์ เมื่อได้เห็นเจ๋อหลาน เขาจะได้ไม่ร้อนใจจนโมโห
หัวใจของเจ๋อหลานรู้สึกหวาดกลัวมาก กลัวท่านพ่อโมโหหรือเสียใจมากที่สุด ท่านพ่อรักนางมาก นางก็รู้ดี
ระหว่างทาง นางออกความเห็นว่าควรจะซื้อของไปฝากท่านพ่อบ้าง หยวนชิงหลิงเห็นนางต้องการเอาตัวรอด ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าลูกสาวอันเป็นที่รักของเจ้าห้านั้น ทำดีกับนางนั้นคุ้มค่าจริงๆ ลูกสาวก็ใส่ใจเขามาก รักเขามากเช่นกัน
“พ่อเจ้าไม่ได้ชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ ชอบดื่มเหล้าบ้าง พวกเราเอาเหล้าไปฝากสักหน่อย ดีหรือไม่”หยวนชิงหลิงพูด
“ได้ ซื้อ พวกเราไปซื้อ ซื้อให้มากหน่อย ใช้รถม้าส่งกลับไป”เจ๋อหลานรีบพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงยิ้มออกมา ความเมตตาที่เจ้าห้ามีต่อลูกๆ ยังทำให้ลูกๆรู้สึกกลัวเขาด้วยเขาทำได้อย่างไรกันนะ
แน่นอนว่า เอาคำโบราณมาพูด ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความเคารพ รัก
ในเมืองหลวง หยู่เหวินเห้าได้รับจดหมายจากพิราบสื่อสาร พอเปิดออกดู แทบจะล้มทั้งยืน
กวากวาอยู่ในเมืองโร่ตู จะเป็นไปได้อย่างไร ลูกสาวที่แสนจะเชื่อฟังของเขา ทำไมจึงแอบหนีมาอยู่ที่เมืองโร่ตูได้
อีกอย่าง พี่สามกับพี่สี่ต่างก็รู้ แต่พวกเขาไม่ได้เขียนจดหมายมาบอก เจ้าลุงสองคนนี้ ต้องจัดการพวกเขาสักวัน
เจ้าห้ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกทรมานร้อนใจ เดิมทีส่งลูกไปอยู่ข้างกายฉีฮั่ว เขาก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์มากอยู่แล้ว ได้แต่รอคอยให้นางสำเร็จการศึกษากลับมา
แต่ว่า ตอนนี้นางสำเร็จการศึกษาแล้ว กลับไม่ยินดีจะมาอยู่ข้างกายเขา แต่ไปยังเมืองโร่ตู ห่างไกลจากเขามาก ลูกไม่ชอบเขาแล้วหรือ
เขาทบทวนตัวเองไปมา หลายปีมานี้ตอนที่กวากวากลับมาช่วงปิดเทอมฤดูหนาวและฤดูร้อน ส่วนใหญ่เขาจะยุ่งกับราชกิจ แม้จะมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนกันบ้าง แต่ส่วนมากมักจะถูกขัดคอและต้องจากไปก่อนเวลาทุกที เป็นเขาที่ไม่เฝ้าดูลูกๆอย่างดีก่อน ไม่กระตือรือร้นที่จะเข้าหาลูก จะไปตำหนิว่าลูกทำตัวห่างเหินเขาไม่ได้
เรียกตัวทังหยางเข้าวัง ให้ทังหยางพูดคุยเป็นเพื่อนเขา เขาไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ พอสงบลงแล้วก็เกิดความรู้สึกกลัวเหมือนลูกๆจะตีปีกบินจากไป
“ตอนนั้นคาดหวังไว้มากมาย จึงให้กำเนิดกวากวา อยู่ข้างกายข้าได้ไม่นานก็ต้องส่งไปที่อื่น ตอนนี้นางกลับมาแล้ว แต่กลับไม่อยู่ข้างกายข้า หัวใจข้ารู้สึกทรมานจริงๆ ”
ทังหยางพูดว่า“ฮ่องเต้ พระองค์อย่าเพิ่งคิดเหลวไหล ที่องค์หญิงทำเช่นนี้ ต้องมีเหตุผลแน่ นางรักพระองค์มาก พวกเราก็ดูออก จริงนะพ่ะย่ะค่ะ ”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าไม่เข้าใจ เพราะเจ้าไม่มีลูก”
“คำพูดของพระองค์ช่างแทงใจดำจริงๆ”ทังหยางเอ่ยอย่างระอาใจ นี่ไม่ได้เป็นการเชิญเขามาพูดคุยแล้ว แต่เป็นการทิ่มแทงกันมากกว่า
หยู่เหวินเห้ามองเขาแวบหนึ่ง “แทงใจอะไรกัน เจ้าไม่มีลูกน่ะดีแล้ว สบายใจดี มีลูกแล้ว ก็ต้องผูกใจเป็นห่วงชั่วชีวิต”
ทังหยางแอบยิ้ม ท่าทีของฮ่องเต้ ช่างเหมือนสะใภ้ที่ถูกทอดทิ้งเสียจริง