บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1581 เจ้าห้าแอบไปเที่ยวแล้ว
หลังจากไปเดินเล่นกับยายชิวกลับมา หยวนชิงหลิงค่อยดึงท่านชายสี่ไปแอบถามว่า “พระชายามีลูกหรือ?”
ท่านชายสี่ถามขึ้นว่า “พี่ชายลุ่ยกับพี่หญิงจวิ้น”
หยวนชิงหลิงรีบพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่ชายลุ่ยกับพี่หญิงจวิ้น พวกเขาอยู่ที่ไหน?”
“ไม่อยู่ที่เป่ยถัง แต่ได้ยินอาจารย์พูดว่าบอกให้พวกเขามาหาป้าชิวแล้ว” ท่านชายสี่เรียกยายชิวว่าป้า เพราะยายชิวกับพระชายาเป็นรุ่นเดียวกัน
“พวกเขาจะกลับมารึ? จริงหรือ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อก่อนไม่รู้ว่าพวกเขามีลูก คิดว่าเป่ยถังเอาเปรียบพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถมีลูกเป็นของตัวเอง ตอนนี้ได้รู้ว่าพวกเขามีลูก จึงรู้สึกดีใจมากจริงๆ
“อืม ไม่รู้ว่าจะกลับมาไหม แต่คิดว่าน่าจะกลับมานะ อาจารย์พ่อสั่งไปแล้ว พวกเขาไม่กล้าขัดคำสั่ง”
“อยากเจอพวกเขาสักครั้งจริงๆ เชื่อว่าเจ้าห้าก็อยากเจอมาก แต่ว่าทำไมพวกเขาไม่อยู่ข้างกายท่านอ๋องกับพระชายาล่ะ?” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“สถานการณ์คร่าวๆเจ้าก็น่าจะรู้ อาจารย์พ่อของข้าเคยเกือบได้เป็นว่าที่กษัตริย์ ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ยอมปรากฏตัว ตอนนี้อู๋ซ่างหวงสละบัลลังก์ พ่อตาสละบัลลังก์ เจ้าห้าขึ้นครองราชย์แล้ว แผ่นดินเปลี่ยนกษัตริย์หลายคนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้นแล้ว”
“พวกเขาระวังมากเกินไปไหม? ข้าคิดว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
ท่านชายสี่หัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “บางทีอาจจะไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น มีอันตรายสักนิดก็ไม่ได้ไง เมื่อมีการเคลื่อนไหว ยังไงก็ต้องมีคนคอยหาเรื่อง”
หยวนชิงหลิงคิดดูแล้วก็ถูก ปัญหามากน้อยทั้งภายในภายนอก หลายสิบปีแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถึงที่สุด มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย
เมื่อคิดดูดีๆแล้ว เป่ยถังยังคงติดค้างพวกเขา
ช่วงพลบค่ำหยวนชิงหลิงหาเวลาว่างเข้ามาในวัง นอกจากบอกข่าวดีนี้ให้กับหยู่เหวินเห้าแล้ว ยังอยากอยู่ทานข้าวกับพวกเขาสองพ่อลูกสักมื้อ
กลับมาถึงวัง ทั่วทั้งตำหนักเสี้ยวเยว่ไม่เห็นเงาสองพ่อลูก ถามลู่หยา ลู่หยาบอกว่าหลังจากฝ่าบาทเสร็จงานราชการแล้วก็พาเจ้าหญิงออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน
หยวนชิงหลิงแปลกใจ นี่ก็ค่ำแล้ว ยังจะไปไหนได้? หรือออกจากวังไปหานาง?
“ไปจวนอ๋องซู่หรือ?” หยวนชิงหลิงถามลู่หยา
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้บอก ใต้เท้าสวีอยากตามไปด้วย ฝ่าบาทไม่ให้ไป เดิมมู่หรูกงกงไล่ตามไปถึงหน้าประตูแล้ว ยังถูก ฝ่าบาทไล่กลับมา” ลู่หยาพูดพร้อมหัวเราะ มู่หรูกงกงน่าสงสารมาก
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “น่าจะไปหาข้าที่จวนอ๋องซู่ ข้าขี่ม้ามาไม่ได้มาทางถนนชิงหลวน ถึงไม่เจอพวกเขา ได้ ข้ากลับไปหาพวกเขา”
หยวนชิงหลิงพูดจบ ก็รีบไปอย่างเร่งรีบแล้ว
ลู่หยาอึ้ง ฝ่าบาทกับเจ้าหญิงไปจวนอ๋องซู่หรือ? แล้วทำไมถึงเอาคันเบ็ดไปด้วย? อ้อ ใช่ จวนอ๋องซู่มีทะเลสาบ สามารถตกปลาในทะเลสาบได้
หยวนชิงหลิงกลับมาถึงจวนอ๋องซู่ ถามองครักษ์เงาดำว่าเจ้าห้ามาที่นี่ไหม
ช่วงนี้องครักษ์เงาดำมักเฝ้าอยู่หน้าประตู เขาจะรู้ดีที่สุด
“ไม่นี่ ไม่เห็น” องครักษ์เงาดำแทะกัดกินเนื้อแห้ง พร้อมพูดขึ้น
“ไม่หรอ? เป็นไปได้อย่างไร?” หยวนชิงหลิงอยากถามอะไรอีก กลับเห็นเขาหันไปเล่นกับหู่เย่แล้ว จึงคิดว่าตอนที่เจ้าห้ามา เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกำลังเล่นอยู่ จึงไม่เห็น จึงตรงไปยังเรือนทิงหยู่เซวียน
หากเจ้าห้ากับกวาเอ๋อมา จะต้องไปถวายพระพรอู๋ซ่างหวงที่เรือนทิงหยู่เซวียนแน่ ตามหลักที่ผ่านมา อู๋ซ่างหวงจะชอบถามโน่นถามนี่ ยืดยื้อให้เจ้าห้าอยู่กับเขานานหน่อย
มาถึงเรือนทิงหยู่เซวียน กลับเห็นท่านอาวุโสทั้งสามกำลังซ้อมชกมวย หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไม่เห็นเจ้าห้ากับกวาเอ๋อ
“เสด็จปู่ เจ้าห้ากับกวาเอ๋อมาหรือยัง?” หยวนชิงหลิงถามอู๋ซ่างหวง
อู๋ซ่างหวงหยุดชะงัก พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจว่า “พวกเขาจะมา? งั้นข้าจะสั่งคนทำกับข้าวหลายอย่างหน่อย ปู่หลานดื่มด้วยกันสักหน่อย”
หยวนชิงหลิงแปลกใจอย่างมาก ได้ยินเช่นนี้แล้ว แสดงว่าทั้งสองพ่อลูกไม่ได้มา
พวกเขาไม่ได้ออกจากวังเพื่อมาหานางหรือ? ที่ผ่านมาเขางานยุ่ง กว่าจะได้มีโอกาสเลิกงานเช้าอย่างคืนนี้ ไม่ออกมาหานาง แล้วไปไหนกัน?
ตอนที่นางออกมาจากวัง เขาเคยรับปากว่าหากเพียงมีเวลาว่างก็จะมาหานางที่จวนอ๋อง
อู๋ซ่างหวงเห็นนางไม่พูดอะไร จึงถามขึ้นว่า “ตกลงจะมาหรือไม่มา?”
หยวนชิงหลิงมั่นใจว่าทั้งสองพ่อลูกทิ้งนางแล้วหนีออกไปเที่ยวแล้ว จึงชักหน้ายาวพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่มาแล้ว”
อู๋ซ่างหวงเชอะสองทีที่ดีใจเก้อ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่สิ จะอยากพากวาเอ๋อมาหาข้าได้ยังไง? ข้าไม่มีความสำคัญอะไรเลย”
เมื่อคนเฒ่าน้อยใจขึ้นมา หยวนชิงหลิงไม่กล้าซ้ำเติมอีก นางรีบพูดขึ้นว่า “บอกว่าจะมาแต่ของเพราะงานยุ่ง กลางคืนยังต้องทำงานล่วงเวลา”
“ถุย” อู๋ซ่างหวงไม่เชื่อ พร้อมพูดขึ้นว่า “เขาทำงานล่วงเวลา แล้วสั่งคนส่งลูกมาไม่ได้หรือ? ใช้ว่าจำเป็นจะต้องอยู่กับเขา ข้าคิดว่า เขากลัวว่ากวาเอ๋อมาแล้วจะไม่อยากกลับไป กลัวว่าพวกเราจะแย่งนาง”
มีความเป็นไปได้เช่นนี้จริง เจ้าห้ามีความคิดแบบนี้ ความรักใคร่ที่มีต่อลูกสาว เขามักจะเผด็จการ กระทั่ง เริ่มปรารถนาที่จะได้สถานะความเป็นแม่ของนางคนนี้แล้ว
หยวนชิงหลิงเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าพระชายามีลูก ท่านรู้ไหม?”
“รู้สิ” อู๋ซ่างหวงมองดูนางพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่รู้หรือ?”
“ไม่เคยมีใครพูดถึงนี่” หยวนชิงหลิงรู้สึกน้อยใจมาก ไม่เคยมีใครพูดกับนางเลย
“เป็นสามีภรรยาต่างก็ต้องมีลูก เรื่องแบบนี้ต้องพูดด้วยหรือ?” อู๋ซ่างหวงรู้สึกว่านางค่อนข้างปัญญาอ่อน
“……” หยวนชิงหลิงคิดไปคิดมา แล้วก็พูดขึ้นว่า “ตอนนั้น เห็นบอกว่าหลังจากท่านขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน พวกเขาก็ไปแล้วไม่ใช่หรือ? หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกตั้งหลายปี”
“ในช่วงสิบปีแรกที่ข้าขึ้นครองราชย์ พวกเขายังกลับมาบ่อยอยู่ หลังจากสถานการณ์ราชสำนักมั่นคงแล้ว ก็กลับมาค่อนข้างน้อยครั้งแล้วเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นที่ว่านางคลอดลูกแล้วจะไม่รู้ ส่วนหลังจากนั้น ก็ไม่ได้ข่าวแล้วจริงๆ แต่จะให้คนส่งของ ส่องจดหมายมาให้เป็นบางครั้ง แต่ก็มักเรียกน้องสิบแปดไปคอยดึงหูเข้ากระซิบกระซาบสั่งสอน ยังมีองครักษ์ลับผี จะถูกกำหนดเวลาคอยรายงานสถานการณ์ในราชสำนักให้เขาฟัง”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าตอนที่พวกเขายังเด็กนั้นอยู่ด้วยกันตลอด จู่ๆไม่ไปมาหาสู่กัน ในใจจากต้องทรมานอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะเห็นใจอู๋ซ่างหวง พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนั้น ท่านคงทรมานมากใช่ไหม?”
อู๋ซ่างหวงครุ่นคิด ยังไงก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ทรมานหรือ? บางทีอาจจะเคยมี
“ตอนนั้น ทั้งภายในและภายนอกราชสำนักล้วนต่างก็ต้องจัดระเบียบใหม่ ต้องมีการพัฒนา ไม่มีเวลาสนใจความรู้สึกส่วนตัวมากมายขนาดนั้น เป้าหมายของทุกคนมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือทำให้เป่ยถังพัฒนาขึ้นมา ให้ประชาชนมีชีวิตที่สุขสบาย ให้เป่ยถังไม่ต้องถูกคนอื่นรังแกอีกต่อไป ทุกคนสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย พี่เหว่ยเคยพูดไว้ว่า รอหลังจากแผ่นดินสงบสุขอย่างแท้จริงแล้ว พวกเราเกษียณลงมาแล้ว จะสามารถได้อยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง แล้วพูดคุยถึงเรื่องที่ผ่านมา ดังนั้นเขาพูดว่า หอจัยซิงจะมีอยู่ตลอดไป”
หยวนชิงหลิงสามารถจินตนาการถึงวันที่ยากลำบากเหล่านั้นได้ คาดหวังกับอนาคตที่ดี และเต็มใจทุ่มสุดตัวเพื่อสิ่งนี้
ดังนั้น แผ่นดินที่พวกเขายกให้กับเจ้าห้า ไม่มีความอันตรายอย่างมากแล้ว แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ เมื่อไม่มีอันตรายจากภายนอกกลับมีความวุ่นวายภายในเกิดขึ้น
หากรู้และเข้าใจสิ่งที่พวกเขาผ่านมาได้อย่างไร ก็คงไม่กล้ามีความคิดที่จะแย่งชิง
โสวฝู่ฉู่กับเซียวเหยากงนั่งพักอยู่ด้านล่างระเบียง ฟังทั้งสองคนพูดคุยกัน ลมโชยมาสัมผัสใบหน้าเบาๆ ทุกอย่างในเรือนทิงหยู่เซวียนนี้ ยังคงเหมือนกับตอนนั้น เพียงแต่วัยหนุ่มกลายเป็นคนเฒ่าผมขาว
ชีวิตเร่งรีบ แต่พวกเขาอยู่ในประวัติศาสตร์ของเป่ยถัง อุดมไปด้วยเรื่องราวภายใต้หมึกพู่กันสีดำ